GGS:บทที่ 895 พังทลาย
“เกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้วโว้ย” หวู่ฉิงติงตะโกนขึ้นมาลั่นรถในทันทีที่เขานั้นขึ้นมาบนรถหลังจากออกมาจากร้านอาหารที่เกิดเรื่องขึ้น พลางทุบที่พวงมาลัยขับรถของเขาอย่างบ้านคลั่งพร้อมใบหน้าที่ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าปอดหมูซะอีก
ต่อหน้าภรรยาเก่า ต่อหน้าธารกำนัล เขานั้นต้องคุกเข่าให้เด็กสาวไร้ค่าคนหนึ่งเพื่อขอโทษนี่มันทำให้เขานั้นต้องอับอายเกินไปแล้ว
เขาตอนนี้ไม่มีหน้าไปพบใครได้อีกต่อไปอย่างแน่นอน เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมจ้าวซือเฟิงถึงกลัวซูจิ้งมากมายขนาดนี้ เขาเพียงโดนซูจิ้งกดดันนิดหน่อยถึงกับยอมถอยหนีและถีบเขาออกมาเผชิญหน้าเรื่องแบบนี้เพียงลำพังเนี่ยนะ
“ช่างแม่…ง ฉันมันหาเรื่องเองจะโทษคนอื่นไปก็เท่านั้น” หวู่ฉิงติงนั้นบนพึมพำกับตัวเองในตอนนี้ก่อนที่จะตัดสินใจหันไปพูดกับคนขับออกมาว่า “โทรหาโอฉิงหยุนบอกหมอนั่นให้มาหาฉันในทันที บอกหมอนั่นด้วยว่าให้เอาข้อมูลทั้งหมดที่มันได้มาจากสถาบันวิจัยให้ฉันด้วย”
“ได้ครับนายน้อย” คนขับรถที่ชื่อเอี้ยหยันได้รับคำในทันที
ไม่นานนักรถของหวู่ฉิงติงได้ขับไปยังจุดนัดพบแต่โอฉิงหยุนยังไม่มาแต่อย่างใด หลังจากรอไปสักพักก็ได้มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาในทันที หลังจากเขารับสายเขาก็ได้ถามไปยังปลายสายทันทีว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ลูกพี่หวู่ พี่ให้ผมจับตาดูซูจิ้งเอาไว้ใช่รึเปล่า ผมมีข่าวที่น่าเหลือเชื่อมาบอกพี่ด้วยล่ะ”
“ข่าวอะไรกัน”
“กฎหมายอุตสาหกรรมยาสูบได้รับการแก้ไขน่ะ”
“ฉันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด หรือว่ามันเกี่ยวกับซูจิ้ง”
“เรื่องนี้ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมจะส่งข้อมูลไปให้ลูกพี่ดูแล้วกัน” ปลายสายนั้นได้ทำการส่งข้อมูลให้หวู่ฉิงติงในทันที
หลังจากหวู่ฉิงติงมองข้อมูลที่ได้แบบผ่านตาเท่านั้น แต่แค่นั้นก็พอที่จะทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที อุตสาหกรรมยาสูบในตอนนี้ได้เปลี่ยนระบบผู้ถือหุ้นใหม่ แถมยงลดภาษีลงมากกว่าปกติอีกด้วย
เขาเห็นข้อมูลที่บอกว่าซูจิ้งนั้นได้เพาะพันธุ์ต้นยาสูบที่ให้ผลดีกับร่างกายมนุษย์เมื่อสูบและไม่มีผลเสียใดๆเลยแม้แต่น้อย
มันเป็นเพียงข้อความแค่นี้จริงๆและไม่รายละเอียดมากกว่านี้ แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยว่าซูจิ้งนั้นได้เป็นผู้ถือหุ้นในอุตสาหกรรมยาสูบแห่งรัฐในตอนนี้จำนวน10%
“เป็น…เป็นไปได้ยังไงกัน” หวู่ฉิงติงในตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เขารู้ดีว่าหุ้นส่วน10%ในที่นี้หมายถึงอะไร ต่อให้เขานั้นโง่งมยังไงแต่ก็ยังรู้ดีว่าสิ่งที่ภาครัฐเสนอให้ซูจิ้งนั้นมากมายขนาดไหน และเขาเองก็เข้าใจระบบอุตสาหกรรมยาสูบนี้อย่างดีอีกด้วย
ตอนนี้เขารู้แล้ว่าทำไมจ้าวซือเฟิงนั้นถึงได้กลัวซูจิ้งมากมายนัก อย่าว่าแต่ซูจิ้งเลย แม้แต่ทั้งตระกูลหวังก็ยังต้องยอมคุกเข่าให้ซูจิ้ง
“นายน้อยครับ และโอฉิงหยุนนี่เอายังไงดีครับ” คนขับเองก็ได้เห็นข้อมูลด้วยเหมือนกันเขาจึงได้รีบถามออกมา เขานั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนขับรถ ด้วยการที่เขานั้นอยู่กับหวู่หลิวหยิงมานานปีจนเขาเองเปรียบได้กับมือขวาของตระกูลไปแล้ว
หวู่ฉิงติงในตอนนี้มีใบหน้าหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เขาเงียบไปพักหนึ่งในที่สุดเขาก็กัดฟันจนได้ยินเสียงและพูดออกมาว่า
“ต่อให้ซูจิ้งมีเบื้องหลังที่ฉันยากจะต่อกรและยังไม่รู้แน่ชัดก็ตาม แต่ในเมื่อฉันตัดสินใจเริ่มไปแล้วก็ต้องทำจนกว่าจะจบ ฉันไม่ยอมแบกรับความอับอายในครั้งนี้อยู่เฉยๆหรอกโว้ย”
เอาจริงๆนั้นหวู่ฉิงติงนั้นไม่มีอะไรที่จะไปต่อกรกับซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขานั้นมีความรู้สึกว่าซูจิ้งไม่ได้ระแวงโอฉิงหยุนแม้แต่น้อย
หากโอฉิงหยุนสามารถขโมยข้อมูลมาจากสถาบันวิจัยมาได้ล่ะก็ เขาประเมินดูแล้วว่าต้องได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างมหาศาลแน่นอน และยังเป็นการสร้างความลำบากให้กับซูจิ้งได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วเขาต้องรออะไรล่ะ
หลังจากรอไปพักใหญ่ มีรถคันหนึ่งได้วิ่งเข้ามาจอดข้างๆกัน เมื่อประตูเปิดออกนั้นก็เป็นโอฉิงหยุนเองที่ก้าวเดินออกมาจากรถ
แต่เขานั้นไม่ได้เดินไปหาหวู่ฉิงติงแต่อย่างใด เขาเดินไปที่ประตูรถที่นั่งหลังคนขับ และนั่นเป็นหวู่หลิวหยิงที่ก้าวเดินลงมา
หวู่ฉิงติงได้นิ่งอึ้งไปในทันที เขาพยายามที่จะพูดอะไรออกมาแต่ก็ได้หุบปากลงเมื่อได้เห็นซูจิ้งที่เดินออกมาจากประตูอีกฝั่งและมีหวู่หลิวหยิงเดินตามมาไม่ห่างนัก
ตอนนี้หน้าอกของหวู่ฉิงติงนั้นราวกับร่วงลงไปที่พื้นในทันที ทั้งเขาและเอี้ยหยันนั้นต่างก็สับสนจนพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ จนกระทั่งหวู่ฉิงติงตั้งสติได้จึงได้พยายามถามออกมาว่า
“พ่อ… ทำไมพ่อมาที่นี่แล้วทำไมพ่อถึงได้ทำท่าเหมือนกับว่าพ่อติดตาม…”
“แกตามมาเดี๋ยวนี้และเราจะพูดเรื่องนี้กัน” หวู่หลิวหยิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาในทันทีโดยไม่รอให้หวู่ฉิงติงพูดจบ ทั้งหมดได้เดินเข้ายังบ้านหลังหนึ่งโดยมีโอฉิงหยุนเดินตามไม่ห่างนัก
ตอนนี้ทั้งหวู่ฉิงติงและเอี้ยหยันต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จะเดินตามไป
เมื่อเข้าไปในบ้านได้ หวู่ฉิงติงได้ชิงพูดออกมาในทันทีว่า “พ่อนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” หวู่ฉิงติงถามออกมาด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ
การที่เขาเรียกโอฉิงหยุนมานั้นต่อให้พ่อเขารู้เรื่องและตามมาด้วยเขานั้นจะไม่แปลกใจอะไรแม้แต่น้อย แต่นี่กลายเป็นว่าเขากลับพาซูจิ้งมาด้วย
จะบอกว่าซูจิ้งรู้เรื่องที่เขาส่งโอฉิงหยุนไปโจรกรรมข้อมูลแต่ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้แถมยังเป็นคนที่เชื่อถือได้ทั้งสิ้น เรื่องนี้จะถูกเปิดโปงได้ได้ยังไง
“ฉิงติง รีบมาหาคุณซูซะ” หวู่หลิวหยิงพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ว่าไงนะ” หวู่ฉิงติงถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที
“ความจริงแล้วโอฉิงหยุนนั้นเป็นคนของคุณซูและคุณซูเองก็รู้ดีว่าเราส่งโอฉิงหยุนเข้าไปสืบข้อมูลในสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาตั้งแต่แรกแล้ว ฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากได้พูดคุยกับคุณซูมาก่อนหน้านี้นานมากแล้ว และฉันนั้นทำได้เพียงหลอกคนในตระกูลให้มีความหวังลมแล้งๆเท่านั้นเอง”
“ห้ะ” หวู่ฉิงติงนั้นในตอนนี้รู้สึกราวกับความคิดในหัวสมองถูกระเบิดลงในทันทีจนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มันราวกับว่าโลกของเขาตามแบบที่หวังไว้นั้นได้พังทลายลง
โอฉิงหยุนนั้นจะเป็นคนของซูจิ้งไปได้ยังไงกัน โอฉิงหยุนนั้นเป็นคนของตระกูลหวู่แท้ๆนั่นจึงเป็นเหตุผลที่หมอนี่ถือเป็นไพ่ตายเพื่อใช้ต่อกรกับซูจิ้งโดยเฉพาะ แล้วทำไมกลายเป็นว่าหมอนี่ถึงกลายเป็นคนของซูจิ้งได้
หวู่ฉิงติงในตอนนี้ความรู้สึกของเขาเปรียบได้ดั่งกับตัวเองอยู่ในสนามรบที่กำลังขว้างระเบิดมือเพื่อหมายสังหารศัตรูที่ล้อมมาในทุกทิศทาง แต่ทันทีที่เขากำลังจะขว้างก็พบว่าระเบิดมือนั้นเป็นของปลอมที่ถูกหยิบยื่นให้จากศัตรูตั้งแต่ต้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือมีคนฝั่งเดียวกันที่รับรู้แผนการนี้อยู่แล้วแถมคนๆนั้นยังเป็นพ่อของเขาเองซะอีก
“ไม่จริง นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน ฉันต้องฝันไปแน่ๆ ใช่แล้ว ฉันกำลังฝันร้ายอยู่แน่ๆ” หวู่ฉิงติงในตอนนี้ทำท่าราวกับเป็นบ้า เขาพยายามตบหน้าตัวเองอย่างแรงไปสองสามหน แต่นั่นเองก็ทำให้เขารู้ในทันทีว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ตรงหน้าของเขานั้นไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด
หวู่ฉิงติงนั้นพยายามฝืนบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ลงให้ได้มากที่สุด เขาในตอนนี้ต้องการคำตอบให้ชัดเจนที่สุดในความสัมพันธ์ของสามคนนี้
แต่เมื่อเขารู้รับรู้ได้อย่างกระจ่างชัดแล้วว่าพ่อของเขาและโอฉิงหยุนนั้นสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้งเป็นทีเรียบร้อยแล้วทำให้เขารู้สึกขนลุกตั้งชันในทันทีด้วยความหวาดกลัว
หากนี่ไม่ใช่ความฝันไปล่ะก็นี่หมายความว่าทั้งพ่อของเขาและโอฉิงหยุนนั้นสมควรสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้งมานานมากแล้ว เรื่องที่โอฉิงหยุนเป็นคนของซูจิ้งไปแล้วเรื่องนี้เขานั้นพอรับได้แต่ แต่เขารับไม่ได้จริงๆที่รู้ว่าพ่อของตัวเองก็ยอมสวามิภัดิ์ต่อซูจิ้งเช่นเดียวกัน
เขาไม่รู้ว่าซูจิ้งใช้วิธีการไหนที่ทำให้พ่อของเขานั้นยอมสวามิภักดิ์ได้ขนาดนี้นี่จึงเหตุผลที่เขานั้นรู้สึกกลัวจับจิตขึ้นมา
เขาเองก็โทษใครไม่ได้เพราะตัวเองเป็นคนนำโอฉิงหยุนเข้ามายังตระกูล เขานั้นตั้งเป้าไว้ว่าให้หมอนี่เป็นสุดยอดนักจารกรรมของตระกูล ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องเด็กเล่นต่อหน้าศัตรูไปได้
“นี่หมายความว่าซูจิ้งนั้นมีเบื้องหลังที่สุดจะหยั่งถึงได้สินะ” นี่เป็นสิ่งที่แวบเข้ามาในจิตใต้สำนึกของหวู่ฉิงติงในทันที นี่ทำให้ประการด่านสุดท้ายในจิตสำนึกของเขาสลายไปในบัดดล
ไม่ว่าเขานั้นจะทำอะไรก็สมควรที่จะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ตอนนี้เขารู้ดีแล้วว่าหากเขาทำอะไรที่ดูขัดขืนแม้แต่น้อยย่อมหมายถึงความตายอย่างแน่นอนแล้ว
ขนาดพ่อของเขาเองยังยอมทำตามอย่างว่าง่ายแล้วนับประสาอะไรกับเขากัน ก็จริงที่ก่อนหน้านี้เขาโกรธแค้นที่ถูกบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าสาธารณะชน แต่เรื่องนั้นเมื่อเทียบกับชีวิตตัวเองแล้วอย่างหลังย่อมสำคัญกว่า
“สวัสดีขอรับคุณซู” หวู่ฉิงติงในตอนนี้แทบจะโยนศักดิ์ศรีและเกียรติยศที่เขาภูมิใจนักหนาทิ้งไปหมดแล้ว
“สวัสดี หวังว่านายคงจะเข้าใจนะว่าการที่ฉันยอมปล่อยคนแบบนายให้ลอยหน้าลอยตาแบบนี้ได้เป็นเพราะคำขอของพ่อนายทั้งนั้น ฉันจะไม่ดีอีกต่อไปแล้วหากว่านายยังมาคอยขัดแข้งขัดขาฉันแบบนี้อีก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เข้าใจแล้วครับ ผมเข้าใจอย่างดีแล้ว” หวู่ฉิงติงในตอนนี้พูดตอบรับคำของซูจิ้งอย่างนอบน้อมที่สุดในชีวิตเสียยิ่งกว่าตอนที่คุยกับพ่อของเขาซะอีก หวู่ฉิงติงได้ถามออกมาต่อว่า “แล้วผมต้องคอยสอดส่องจ้าวซือเฟิงด้วยรึเปล่าครับ”
“นอกจากการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องของฉันกับตระกูลหวู่และสร้างปัญหาให้ฉันอีกในอนาคตแล้วล่ะก็ ที่เหลือก็แล้วแต่นายแล้วล่ะ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง หวู่ฉิงติงที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับราวกับไก่จิกข้าวสารในทันที เขาเข้าใจในทันทีว่าซูจิ้งนั้นไม่ได้มองเห็นว่าเขานั้นเป็นคนของซูจิ้งแต่อย่างใด เห็นเพียงเขาเป็นตัวเกะกะเท่านั้นเอง