GGS:บทที่ 894 ยอมรึเปล่า
ในห้องเพลงที่อยู่ข้างๆกันนั้น ชายหัวเหลืองได้ผลักประตูเข้ามา จ้าวซือเฟิงที่มือของเขากำลังโอบสาวสวที่คอยยกแก้วเหล้าให้เขาดื่มอยู่บนตักนั้นได้ถามออกมาว่า “เป็นยังไงบ้าง”
ชายหัวเหลืองมองไปยังจ้าวซือเฟิงด้วยหน้าหน้าตาน่าเกลียดพร้อมบอกว่า “หวังจ้าวนั้นเขายอมรับ แต่ซูจิ้งนั้นบอกว่ายังไงซะฉิงติงต้องไปคุกเข่าขอโทษนังเด็กนั่น”
“ห้ะ” จ้าวซือเฟิงยืนขึ้นในทันทีจนทำให้สาวสวยที่นั่งบนตักนั้นร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น
“ฉันไม่มีวันยอมคุกเข่าให้นังเด็กนั่นแน่นอน มันคิดว่ามันเป็นใครกัน ต่อให้ไม่ไว้หน้าฉันแต่มันกลับกล้าไม่ยอมไว้หน้าจ้าวซือเฟิงเนี่ยนะ” หวู่ฉิงติงในตอนนี้โกรธจนหน้าเปลี่ยนสีในทันที
“ฉิงติง แน่ใจนะว่าคนที่นายไปลวนลามเป็นเพียงพนักงานในกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศน่ะ” จ้าวซือเฟิงถามออกมาเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ดูจากชุดก็น่าจะใช่อย่างนั้นนะครับ” หวู่ฉิงติงพยักหน้า
“ยัยเด็กนั่นเป็นแค่พนักงานชั้นล่างจริงๆครับ หมอนั่นยังบอกอีกว่าหากลูกพี่ต้องการออกหน้าจริงๆก็ควรไปด้วยตัวเอง…” ชายหนุ่มหัวเหลืองพูดออกมา
“กะอีแค่เกียรติของคนชั้นต่ำจะให้ฉันยอมเสียหน้า นี่มันคิดว่าฉันลูกพลับรึไงกัน” จ้าวซือเฟิงในตอนนี้โกรธขึ้นมาในทันที
“แล้วก็ ผมยังเห็นซูฉือที่ห้องนั้นด้วยครับ” ชายหัวเหลืองกระซิบกระซาบออกมา
“ว่าไงนะ” จ้าวซือเฟิงนั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันที ตอนนี้เขาโกรธจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาจนราวกับจะระเบิดได้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นโกรธถึงขั้นสุด แต่ให้ยังไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาแต่เพียงคนเห็นหน้าเขาในตอนนี้ก็ต้องหวาดกลัวไปตามๆกัน
“ลูกพี่จ้าว ผมพอจะมีวิธีการรับมือเรื่องนี้อยู่ครับ ผมว่าเรานั้นใส่ใจเรื่องนี้มากเกินไปนะ เราน่าจะไม่ต้องสนคำพูดของหมอนั่นดีกว่า” ทันทีที่หวู่ฉิงติงพูดจบนั้นก็ต้องรู้สึกแปลกใจในทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าซือเฟิงที่น่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม
“หุบปาก” จ้าวซือเฟิงตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้หวู่ฉิงติงนั้นไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
จ้าวซือเฟิงนั้นไม่มีทางยอมก้มหัวของเขาอย่างแน่นอน ขนาดซูฉืออยู่ที่นี่กับซูจิ้งเขาก็ยังไม่ยอมไว้หน้าให้เขาแม้แต่น้อย อย่าบอกว่าให้ทำเป็นไม่ใส่ใจเลย
ตอนนี้ความแค้นของเขานั้นจะล้นออกมาจนน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปแล้วจะให้เขานั้นยอมกล้ำกลืนลงไปเนี่ยนะ ถึงแม้ตอนนี้เขาอยากจะพุ่งเข้าไปซัดซูจิ้งใจจะขาด
แต่ด้วยเรื่องการปฏิรูปกฎหมายอุตสาหกรรมยาสูบเองก็ทำให้เขารู้ว่าซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากแค่ไหน แถมก่อนหน้านี้จากการสืบสวนของเขาที่พบว่าเพียงตัวซูจิ้งเองก็มีความสามารถเหนือคณานับแล้ว
ถึงแม้เขานั้นจะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแถมยังคิดว่าเป็นเรื่องหลอกด้วยซ้ำในตอนแรก ในที่สุดเขาก็แน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแต่อย่างใด แถมหมอนั่นเองก็ยังไม่คิดว่าตระกูลจ้าวอยู่ในสายตาแล้ว
ตอนที่เขารู้ว่าซูฉือนั้นแกล้งตาย ใจของเขาบอกออกมาในทันทีว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย เขานั้นนึกถึงข้อมูลที่เขาได้รับมาว่าน้องชายของเขานั้นได้ไปพัวพันกับแฟนของซูจิ้งตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้ว
เขาเองก็คิดมาตลอดว่าการฆ่าตัวตายของน้องชายเขานั้นมันช่างแปลกประหลาด และรู้ดีอยู่แล้วว่ามันต้องเกี่ยวกับซูจิ้งเพียงแต่เขานั้นหาเหตุเชื่อมกันไม่ได้
แต่เมื่อเขารู้ว่าซูฉือแกล้งตาย เขาก็เข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเองก็ไม่อยากทำอะไรในตอนนี้เพราะมันจะไปขัดขวางแผนการใหญ่ของตระกูลเขาในอนาคตอันใกล้
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าหมอนั่นแค่ลองเชิงฉันหรอกเหรอ” จ้าวซือเฟิงที่คิดได้ดังนั้นก็ถึงกับใจเต้นด้วยความระทึกขวัญในทันที
ด้วยการที่ในตอนนี้มีซูฉืออยู่ข้างๆหมอนั่นแต่กลับยังกล้ามาหาเรื่องเขาแบบนี้นั่นหมายความว่าหมอนั่นสมควรที่จะต้องการลองเชิงดูว่าควรจะทำยังไงกับตระกูลจ้าวต่อไปดี
หากตัวเขานั้นได้โกรธจนหน้ามืดตามัวไปหาเรื่องซูจิ้งตอนนี้ล่ะก็ แน่นอนว่าตระกูลจ้าวต้องมีปัญหาใหญ่แน่
เมื่อคิดได้ดังนั้นจ้าวซือเฟิงได้หันไปจ้องหวู่ฉิงติงด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะคิดในใจว่า
“หวู่ฉิงติงนี่มันขยะจริงๆ จะไปลวนลามผู้หญิงดูให้มันดีๆกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ สมควรแล้วที่มันต้องเจอเรื่องแบบนี้ ฉันไม่ยอมให้ตระกูลทั้งตระกูลไปเสี่ยงเพราะคนแบบแกแน่นอน”
“ฉิงติง ในเมื่อซูจิ้งไม่ยอมไว้หน้าฉัน ฉันเองก็ช่วยไม่ได้แล้วเหมือนกัน เห็นทีนายต้องไปแล้วล่ะ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมา
“นี่…” หวู่ฉิงติงถึงกับหน้าซีดในทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ เขาไม่คิดว่าจ้าวซือเฟิงนั้นจะถีบเขาออกมารับหน้าตรงๆ
ถึงแม้เรื่องนี้จะดูเหมือนว่าจ้าวซือเฟิงนั้นกลัวซูจิ้ง แต่สำหรับเขานั้นไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆแบบนั้นแน่นอน เพราะยังไงซะจ้าวซือเฟิงคือว่าที่ผู้นำตระกูลจ้าว ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้คนนอกตระกูลหวังที่คอยเกาะแข้งเกาะขาตระกูลที่ทรงอำนาจแบบนี้แน่นอน
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้วเขาควรจะทำยังไงดี นี่เขาต้องไปคุกเข่าให้นังเด็กนั่นเนี่ยนะ
“ลูกพี่จ้าว ลูกพี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ ได้โปรดช่วยผมด้วย” หวู่ฉิงติงได้ขอร้องอ้อนวอนกับจ้าวซือเฟิงจนดังลั่นห้อง
“ขอบอกแกตรงๆเลยนะว่าฉันในตอนนี้นั้นไม่สามารถต่อกรกับไอ้หมอนั่นได้จริงๆ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาอย่างไม่ไยดีต่อหวู่ฉิงติงแม้แต่น้อยก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า “เหตุผลข้อนี้นั้น ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานแกก็คงจะเข้าใจ และเรื่องในนี้เองเป็นแกที่ไปทำผิดด้วยการลวนลามเด็กของคนอื่นเข้าแน่นอนว่าแกผิดเต็มๆ ฉันขอแนะนำว่าให้แกไปคุกเข่าขอโทษดีๆซะ”
“……..”
“ไอ้หวู่ฉิงติงอะไรนั่นทำไมยังไม่มาอีกล่ะ”
“ไม่ใช่ว่ามันหนีไปแล้วหรอกเหรอ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เป็นฉันฉันก็หนีดีกว่าต้องมาคุกเข่าขอโทษแบบนี้”
ตอนนี้เหล่าพนักงานในห้องงานเลี้ยงของซูจิ้งนั้นต่างก็ซุบซิบกันจนดังระงม พวกเขาเองก็คิดเหมือนๆกันว่าไม่มีทางที่หวู่ฉิงติงจะยอมมาคุกเข่าขอโทษแต่โดยดี และจ้าวซือเฟิงเองก็ไม่สมควรไว้หน้าซูจิ้งแต่อย่างใด
ในตอนนั้นเองประตูของห้องงานเลี้ยงก็ได้เปิดออก และชายหัวเหลืองคนก่อนหน้าก็ได้เดินเข้ามาพร้อมหวู่ฉิงติงที่ทำหน้าน่าเกลียดแบบสุดๆที่ทำท่าไม่อยากมาอย่างเห็นได้ชัด
ซูจิ้งได้จ้องมองไปทั้งสองคนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงยกแก้วเบียร์ของตัวเองดิ่มเท่านั้น
หวู่ฉิงติงในตอนนี้เขานั้นได้มองไปยังซูจิ้ง ก่อนที่จะมองไปยังเฉิงหนาน และทำท่าเหมือนกับว่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เขานั้นก็ไม่ได้พูดออะไรทำเพียงแค่กัดฟันจนแน่น แน่นขนาดที่ว่าทำให้หน้าของเขาสีแดงฉาน
เขาค่อยๆเดินไปยังหญิงสาวผมสั้นที่เขาเคยลวนลามก่อนหน้านี้แล้วได้คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ หลังจากนั้นได้รีบทำการตบหน้าสามครั้งก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงดังลั่นว่า “เป็นผมผิดเองที่ทำเรื่องไม่ดีกลับคุณ ผมเสียใจจริงๆครับ เป็นความผิดผมเอง”
ตอนนี้ทุกคนในห้องต่างก็อึ้งกันไปหมด นั่นก็เพราะว่าทุกคนนั้นไม่คาดคิดมาก่อนว่าหวู่ฉิงติงนั้นจะยอมมาคุกเข่าแบบนี้จริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นใครน่าไหนที่มาจากตระกูลหวู่ก็ตาม การที่เขานั้นจะต้องมาคุกเข่าให้กับพนักงานบริษัทตำแหน่งเล็กๆแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างกว้างนิ่งอึ้งไป
แม้แต่หวังจ้าวเองก็ยังประหลาดใจในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขาให้ไปมองซูจิ้งที่กำลังมองเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมพยักหน้าเห็นดีเห็นงามราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอยู่แล้ว
ตอนนี้ซูจิ้งนั้นถือได้ว่ามีอำนาจสูงล้ำชนิดที่ว่าอย่าว่าแต่ตระกูลหวู่เลย ต่อให้เป็นตระกูลจ้าวเขาก็ไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“คุณซู” หวู่ฉิงติงนั้นยังไม่ยอมลุกขึ้นแต่อย่างใด เขามองไปยังซูจิ้งและพยายามยิ้มออกมาถึงแม้รอยยิ้มนั้นจะดูเหมือนเป็นการกล้ำกลืนฝืนทนจนอยากร้องไห้ออกมาก็ตาม
“เธอคิดว่าการขอขมาของไอ้หมอนี่มากพอรึยังสาวน้อย” ซูจิ้งหันไปมองสาวผมสั้นที่เป็นคู่กรณีแล้วถามออกมา
“พอแล้วค่ะ มากเกินพอแล้ว”
เมื่อเธอที่เห็นหวู่ฉิงติงที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าเธอในตอนนี้ เธอเองทำได้แต่เพียงงุนงงจนตกตะลึงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ในระหว่างเกิดเหตุการณ์คุกเข่าขอขมาจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนที่อยู่รอบๆเองก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเช่นเดียวกัน
หลังจากฟื้นคืนสติได้เธอเองจึงรีบพูดออกมาในทันที ความโกรธของเธอนั้นหายไปแล้ว และเธอเองกลับรู้สึกเริ่มเห็นใจหวู่ฉิงติงขึ้นมาในทันทีเพราะกลัวว่าหวู่ฉิงติง่จะฟิวส์ขาดทำอะไรไม่ดีออกมา
ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะโกรธแทนเธอยังไงก็ตามแต่ แต่เธอเองก็กลัวปัญหาที่ซูจิ้งต้องแบกรับเอาไว้เช่นเดียวกัน
“หากฉันรู้นะว่าแกยังมาราวีสาวน้อยคนนี้ทีหลังอีก ฉันรับรองได้เลยว่าแกจะต้องอ้อนวอนให้ฆ่าแกตายให้พ้นๆจากโลกนี้ไปซะ” ซูจิ้งมองไปยังหวู่ฉิงติงและพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ผมไม่กล้าแล้ว เป็นความผิดผมเองในเรื่องนี้ และสมควรแล้วที่ผมต้องมาขอโทษ” หวู่ฉิงติงในตอนนี้เริ่มอ่อนน้อมขึ้นมา
“ในเมื่อเสร็จเรื่องแล้วก็ไสหัวไปซะ” ซูจิ้งพูดพลางผายมือให้ฉิงติงไปให้พ้นๆหน้าในทันที
“ได้ครับ” หลังจากพูดออกมา หวู่ฉิงติงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำเพียงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องเท่านั้นเอง หนุ่มหัวเหลืองก็เดินตามออกไปแบบติดๆ
ใบหน้าของเขาในตอนนี้ค่อนข้างจะแข็งๆ และเขาก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่เริ่มเข้ามารอบนี้แล้ว
หลังจากหวู่ฉิงติงออกไปจากห้องได้พักใหญ่ก็ได้บังเกิดเสียงโห่ร้องดีใจวี้ดวิ้วกันจนดังลั่นห้องกลบความเงียบก่อนหน้านี้ไปในทันที
เรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขานั้นคือเรื่องจริงที่คนที่รังแกคนอื่นยอมมาคุกเข่าขอโทษ และนี่เองยิ่งทำให้ทุกคนนั้นต่างนับถือและชื่นชมเจ้านายของตัวเองมากยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนว่าช่วงสองปีมานี้หมอนี่จะกลายเป็นคนใหญ่คนโตไปเลยแหะ หมอนี่ไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย”
ลู่ชิงเย่เองในตอนนี้นั้นมองไปซูจิ้งอยู่นิ่งๆในระยะไกล และก็รับรู้ในทันทีว่าตัวซูจิ้งนั้นแปลกประหลาดและแตกต่างจากที่เธอเคยรู้จัก และมีสถานะที่ห่างไกลจากเธอมากมายนัก