GGS:บทที่ 893 ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก

 

ซูจิ้ง หวังจ้าว และคนอื่นๆกลับไปยังห้องที่จัดเลี้ยงของตัวเอง สาวผมสั้นเองก็ยังคงร้องไห้อยู่โดยมีเฉิงหนานและสาวๆรุ่นพี่ของเธอคอยอยู่ข้างๆปลอบประโลมให้ดีขึ้น

หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแหยๆว่า “คุณซูและคุณหวังครับ ผมต้องขอโทษกับเรื่องที่…”

“เลิกพูดเรื่องนี้ไปได้เลย นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ คุณแค่ไปบอกไอ้หวู่ฉิงติงนั่นมานี่ก็พอ” หวังจ้าวยกมือเชิงให้หยุดพูดแล้วตัดเข้าประเด็นทันที

“ได้ครับ ได้” หวังเจิ้งหยางได้ชี้ให้คนไปจัดการในทันที แม้ว่าโดยปกตินั้นหวู่ฉิงติงจะไม่ใช่คนที่เขาจะตอแยด้วยได้ก็ตาม แถมส่วนใหญ่เขายังต้องคล้อยตามหมอนั่นไปอย่างไม่อยากเลยด้วยซ้ำ

แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ระหว่างหวังจ้าวและซูจิ้งกับหวู่ฉิงติงนั้น เมื่อเทียบกันแล้วต่อให้ไม่มีซูจิ้งอยู่หวังจ้าวก็ยังภาษีดีกว่าเห็นๆ

หวันเจิ้งหยางเองเหมือนคิดอะไรก็ได้รีบออกไปยังห้องข้างๆด้วยตัวเองในทันที ไม่นานนักเขาก็กลับมาแต่กลายเป็นว่าเขากลับพาเด็กหัวเหลืองมาแทน หวังจ้าวเห็นดังนั้นถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะถามออกมาว่า

“หวู่ฉิงติง?”

“หวู่ฉิงติงอยู่ห้องข้างๆจริงครับ แต่จ้าวซือเฟิงแห่งตระจ้าวก็อยู่ด้วย ผมเองก็เอ่อ…” หวันเจิ้งหยางได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมา เขารู้ดีว่าห้องข้างๆนั้นมีหวู่ฉิงติงอยู่แต่ไม่คิดว่าจ้าวซือเฟิงจะมาด้วย เรื่องนี้ดันรอดสายตาเขาได้ยังไงกัน

เขาตอนนี้ถูกประกบหน้าหลังด้วยเหล่าคุณชายทั้งสองตระกูลจนเขานั้นรู้สึกว่าอยากตายให้พ้นๆไปเลยจริงๆ ไม่ว่าจะว่ายไปไหนก็เจอแต่ขอบสระทั้งนั้น(หนีเสือปะจรเข้)

“คุณหวังครับ คุณซูครับ นายน้อยของผมส่งผมมาเพื่อขอโทษแทนครับ” หนุ่มหัวเหลืองพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เหอออออ นี่จ้าวซือเฟิงคิดจะปกป้องหวู่ฉิงติงงั้นเหรอ” หวังจ้าวขมวดคิ้ว

“ก็จริงครับที่หวู่ฉิงติงนั้นผิดเต็มๆที่เขาไปทำไม่ดีกับพนักงานของบริษัทคุณ แต่มันก็เป็นเพราะเขาเมาสติเลยเลอะเลือนไปช่วยขณะเท่านั้นเอง

ตอนนี้เขานั้นตัดสินใจจะติดตามนายน้อยของผมแล้ว แน่นอนว่าจะเป็นหรือตายนายน้อยของผมก็ไม่อาจจะเพิกเฉยได้เช่นกัน

เขาเลย…เอ่ออออ..นายน้อยของผมเลยมาถามว่าลูกพี่หวังจะพอไว้หน้าเขาหน่อยได้รึเปล่าครับ” หนุ่มหัวเหลืองเองก็ได้พูดออกมาน้ำเสียงเบาๆ

“ห้ะ อะไรกันที่ทำให้จ้าวซือเฟิงคิดว่าการที่ส่งไอ้หนูอย่างแกมาพูดแล้วฉันจะไว้หน้า นี่มันอยากให้ฉันไปด้วยตัวเองงั้นสิ” หวังจ้าวสบถออกมา

“ไม่ครับ เรื่องนั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ผมนั้นจะพาตัวหวู่ฉิงติงมาดิ่มขอโทษอย่างแน่นอนครับ ผมเพียงมาพูดก่อนจะตัดสินใจหุนหันกันแค่นั้นเอง” ชายหนุ่มหัวเหลืองถึงกับพูดไม่เป็นจังหวะในทันทีเมื่อได้ยิน

หวันเจิ้งหยางเองก็เข้าใจในทันทีว่าฝั่งจ้าวซือเฟิงนั้นพยายามทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กอยู่

หวังจ้าวได้นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะหันไปมองสาวผมสั้นที่เขาเองก็ไม่รู้แม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ เขานิ่งไปสักพักก่อนจะถามออกมาว่า

“สาวน้อย เธอคิดว่ายังไง ถ้าจะให้หวู่ฉิงติงนั้นมาขอโทษแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไป” ด้วยการที่พนักงานนี้เป็นเพียงพนักงานตัวน้อยๆ

ซึ่งตามนิสัยของหวังจ้าวเองก็ไม่ใช่คนที่จะช่วยเหลือคนไปทั่วแบบซูจิ้งโดยไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหม

และจ้าวซือเฟิงเองไม่ใช่คนที่จะออกหน้าให้ใครง่ายๆก็ยังมาออกหน้าให้หวู่ฉิงติงด้วยเช่นเดียวกันทำให้เขาเองก็ต้องคิดนิดหน่อย

“ขอบคุณค่ะหัวหน้า” สาวน้อยผมสั้นเองก็พยักหน้ารับในทันที เธอรู้ดีว่าเธอเองก็เป็นเพียงพนักงานตำแหน่งเล็กๆแต่หวู่ฉิงติงที่เป็นคนตระกูลหวู่ แถมอีกคนคือจ้าวซือเฟิงที่เป็นคนตระกูลจ้าว เพียงแค่ให้หวู่ฉิงติงมาขอโทษเธอก็ดีมากแล้ว

“ขอบคุณที่ไว้หน้าครับ ผมจะไปนำตัวหวู่ฉิงติงมาที่นี่ในทันทีเพื่อขอโทษครับ” หนุ่มหัวเหลืองเองก็รู้สึกยินดีที่ได้ยินคำตอบแบบที่เขาหวังจนต้องยิ้มออกมาอย่างสบายใจ เขานั้นไม่คิดว่าเรื่องจะจบลงง่ายแบบนี้

แต่ในขณะที่หนุ่มหัวเหลืองกำลังหันออกไปเพื่อจะไปลากหวู่ฉิงติงมานั้น ซูจิ้งที่นิ่งเงียบไปนานก็ได้พูดออกมาว่า “เดี๋ยวก่อน”

หนุ่มหัวเหลืองใจเต้นระส่ำในทันทีที่ได้ยินเสียงซูจิ้ง เขาหยุดในทันทีและค่อยหันไปหาซูจิ้งแบบเกร็งๆก่อนจะถามออกมาว่า “คุณ…คุณซูต้องการชี้แนะเรื่องอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกว่าพวกเรานั้นไม่ต้องการการขอโทษตามธรรมเนียมปฏิบัติอะไรพวกนั้นหรอก

มันยุ่งยากเกินไปหน่อย เอางี้หากพวกเขาอยากจะมาขอโทษจริงๆก็เพียงแค่มาคุกเข่าต่อหน้าสาวน้อยคนนี้และตบหน้าสามครั้งก็พอ แค่นี้เรื่องก็จบแล้วล่ะ”  ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

หนุ่มหัวเหลืองเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับหน้าถอดสีในทันที ส่วนหวันเจิ้งหยางเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน แต่กับหวังจ้าวและเฉิงหนานนั้นทั้งสองกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ส่วนสาวผมสั้นและลู่ชุนเย่ถึงได้ยินต่างก็ทำหน้าเหวอตามๆกันไป

 

การที่จะให้ผู้ชายไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือจะเป็นเด็กน้อยหอยสังข์ที่ไหนมาคุกเข่าต่อหน้าสาวน้อยเพื่อขอโทษเนี่ยนะ

ทุกคนเข้าใจความหมายของเรื่องนี้ดีโดยไม่ต้องอธิบายแต่อย่างใด มันหมายความว่าเขาต้องการให้หวู่ฉิงติงนั้นยอมรับความผิดโดยไม่ไว้หน้าจ้าวซือเฟิงแม้แต่น้อย

เอาจริงๆนั้นแค่หวู่ฉิงติงมายอมขอโทษแบบที่หวังจ้าวต้องการนั้น แค่นั้นก็ถือว่ามากพอที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้ทุกคนแล้ว ต่อให้การที่หวู่ฉิงติงมาขอโทษตามมารยาทมันจะกลายเป็นว่าสาวผมสั้นเป็นคนผิดก็ตามแต่นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้วเพราะโลกมันก็ไม่เคยยุติธรรมแบบนี้จริงๆ

บางคนนั้นเกิดมาอยู่บนสุดแห่งห่วงโซ่ของสังคมอยู่เหนือเหล่าคนชั้นล่างทั้งหลาย คนพวกนี้ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นความรู้สึกตัวเองไว้ แม้แต่สาวน้อยคนนี้เองแม้จะโกรธเพียงไหนแต่แค่นั้นก็ถือว่าดีแล้วสำหรับเธอจริงๆ

อย่างไรก็ตามโลกที่ซูจิ้งต้องการนั้นเป็นโลกที่สงบสุขและเท่าเทียมที่คนแบบหวู่ฉิงติงและจ้าวซือเฟิงนั้นไม่มีวันได้ลืมตาอ้าหากได้ นั่นหมายความว่าเขานั้นไม่ยินยอมให้เรื่องใหญ่เช่นนี้กลายเป็นเรื่องเล็กได้เช่นกัน

 

ซูฉือที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับคนแบบสาวน้อยคนนี้ที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมาโดยตลอดถึงกับต้องใจหวั่นไหวในทันที

เธอเองก็ถูกช่วยเอาไว้ด้วยซูจิ้งเช่นเดียวกัน แม้แต่จ้าวซือเฟิงที่เป็นคนตระกูลจ้าวเองนั้นก็อดที่จะเดือดดาลไม่ได้ตอนที่ได้เห็นเธอมาเดินเฉิดฉายแบบนี้

แม้ว่าเธอจะรู้ว่าการที่เธอจะรอดได้นั้นเป็นเรื่องยากแต่ซูจิ้งก็ยังคอยช่วยเหลือเธอไว้ และในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันที่ซูจิ้งยอมช่วยคนชั้นล่างแบบนี้มีหรือที่จ้าวซือเฟิงจะไม่โกรธเขาได้

“หัวหน้าคะ ฉัน…” สาวน้อยผมสั้นนั้นรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวซูจิ้งจริงๆที่ปกป้องศักดิ์ศรีของเธอ แต่เธอนั้นกลัวว่าจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นจริงๆ

“เธอแค่รอเฉยๆก็พอน่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มละมุนให้กับสาวน้อยผมสั้น ด้วยรอยยิ้มของซูจิ้งในตอนนี้ทำให้สาวๆโดยรอบนั้นรู้สึกผ่อนคลายในทันที และรู้สึกดีมากๆที่ซูจิ้งนั้นยังคงยืนอยู่ข้างคนชั้นล่างแบบพวกเธอ

“คุณ…คุณซูครับ ผมว่าเราไม่น่าจะต้อง…ทำกันถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ… แค่พนักงานเล็กๆ…” หนุ่มหัวเหลืองในตอนนี้แม้ว่าจะยิ้มออกมาแต่เขานั้นกลับยิ้มแห้งแบบแห้งผากเลยทีเดียว

“คุณซู ครับ หวู่ฉิงติงนั้นมันควรที่จะเมาจนไม่รู้เรื่องรู้ราว หากว่าคุณคิดว่าเรื่องที่เขามาขอโทษอย่างเป็นทางการไม่พอ ผมยอมเลี้ยงพวกคุณทั้งหมดในที่นี้ฟรีๆเลยก็ได้นะครับ”

หวันเจิ้งหยางเองในตอนนี้พยายามไกล่เกลี่ยให้กลายเป็นเรื่องเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะไม่อยากให้คนใหญ่คนโตแห่งยุคนี้ต้องมารบรากันที่นี่เพียงเพราะพนักงานตัวเล็กๆเท่านั้น ตัวเขาเองนั้นก็มองเรื่องนี้ว่าได้ไม่คุ้มเสียเลยสักนิด

ต่อให้ซูจิ้งในตอนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป แต่ยังไงซะจ้าวซือเฟิงเองก็ไม่ใช่ว่าจะกินได้ลงง่ายๆเพราะยังไงซะเขานั้นก็เป็นนายน้อยแห่งตระกูลจ้าวแน่นอนว่าตระกูลจ้าวต้องถือหางเต็มที่

หวันเจิ้งหยางนั้นยังได้หันไปมองยังหวังจ้าวและเฉิงหนานโดยหวังว่าทั้งสองจะยอมพูดกับซูจิ้งให้

แต่กลายเป็นว่าทั้งสองไม่หือไม่อือกับเรื่องนี้แต่อย่างใด โดยเฉพาะหวังจ้าวถึงแม้ว่าเขานั้นจะเบื่อที่จะวุ่นวายกับเรื่องแบบนี้มากที่สุด แต่เขาก็ไม่มีทางจะไปขวางน้องรักของเขาอย่างแน่นอน

“หืมมมม นายแน่ใจหรือว่าจะเข้ามาเกี่ยวด้วยเนี่ย” ซูจิ้งถามอย่างเริ่มไม่สบอารมณ์ก่อนจะจ้องมองไปยังหวันเจิ้งหยางอย่างสายตาเรียบเฉย

“ไม่ต้องการอย่างแน่นอนครับ” หวันเจิ้งหยางรีบส่ายหัวพลางยกมือยอมแพ้ทั้งสองข้างก่อนถอยหลังไปในทันที

“พนักงานของฉันถูกรังแกต่อหน้าแล้วจะให้ฉันยอมปล่อยไปเฉยๆงั้นเรอะ ฉันว่าฉันคงไม่ไม่ถูกคนรังแกแบบสาวน้อยคนนี้ได้ง่ายๆหรอกนะ”

ซูจิ้งพูดออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อยพลางหันไปชายหัวเหลืองและได้พูดมาต่อว่า “ไปบอกหวู่ฉิงติงว่าให้มาคุกเข่าซะ ถ้าจ้าวซือเฟิงอยากจะช่วยจริงล่ะก็บอกมันไปว่าพยายามให้ดีกว่านี้ดีกว่านะ”

ชายหัวเหลืองเองเห็รแรงกดดันของซูจิ้งในตอนนี้ถึงกับสะดุ้งเฮือกพลางคิดในใจว่าทำไมเขาต้องออกตัวแรงซะขนาดนี้กับพนักงานตัวเล็กๆด้วยกัน หรือว่าเขาต้องการวางอำนาจกัน

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ชายหัวเหลืองนั้นยอมก้มหัวรับและออกไปอย่างรวดเร็วเพราะว่าเขานั้นเมื่อเจอซูจิ้งแล้วทำอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน

 

ตอนนี้บรรยากาศในห้องงานเลี้ยงต่างเงียบสนิทชนิดที่เงียบจนน่ากลัวอย่างกับป่าช้า แม้แต่เหล่าพนักงานเองก็ไม่กล้าจะทำอะไรอีกต่อไป

นั่นก็เพราะว่าเหล่าพนักงานกำลังรู้สึกอุ่นใจอย่างเต็มที่ที่ซูจิ้งนั้นคอยสนับสนุนคนแบบพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็กลัวสิ่งที่จะตามมา

นั่นก็เพราะว่าคำขอของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าใหญ่หลวงมากนัก แน่นอนว่าทั้งหวู่ฉิงติงและจ้าวซือเฟิงนั้นไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน พนักงานทุกคนทำได้เพียงคาดการณ์ไปต่างๆนานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเท่านั้น