GGS:บทที่ 892 เปรียบ

“หัวหน้าคะนี่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของทางเราแต่เป็นคุณซูเป็นผู้นำมาค่ะ” บริกรสาวน่ารักคนหนึ่งตอบออกมา
“เบียร์ที่คุณซูนำมาเองอย่างนั้นเหรอ” ชายหัวล้านรู้สึกตกใจไปเล็กน้อยในทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เขาได้หยิบขวดขึ้นมาขวดหนึ่งและพยายามส่องเบียร์ที่เหลือเพียงน้อยนิดมากๆในขวดและถามออกมาว่า “เบียร์หยันจิ้งหรอ”
“มีแต่ขวดเท่านั้นแหล่ะค่ะที่เป็นเบียร์หยันจิ้ง ข้างในนั้นเป็นเบียร์มอลต์ที่คุณซูบ่มด้วยตัวเอง” บริกรสาวสวยอธิบายออกมา
“อ้อ” ชายหัวล้านลองยกปากขวดขึ้นมาใกล้ๆจมูกเพื่อลองดมกลิ่นเบียร์ดู ทันใดนั้นสายตาของเขาตกใจจนสว่างวาบ ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆอีกสองสามที โดยไม่ใส่ใจต่อสายตาลูกน้องที่รักที่อยู่ข้างหลังเขา
ทั้งสองเองก็เป็นคนที่คอยเฝ้าประตูหน้าร้านไว้และก็ได้กลิ่นเบียร์นี้เป็นคนแรกๆในที่นี้ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกันที่ได้กลิ่นในตอนแรกเช่นกัน
ชายหัวล้านได้รีบหยิบขวดเบียร์อันว่างเปล่าแล้วเดินตรงไปยังซูจิ้งที่กำลังนั่งสังสรรค์อยู่ในห้องอย่างรวดเร็ว โดยมีชายหนุ่มและชายวัยกลางคนตามเข้ามาติดๆ
“สวัสดีครับคุณซู คุณหวัง ผมชื่อหวันเจิ้งหยางเป็นหัวหน้าของร้านคาราโอเกะแห่งนี้ครับ”
“โอ้ คุณหวัน ยินดีครับที่ได้รู้จักครับ” หวังจ้าวและซูจิ้งหยักหน้าทักทายเล็กน้อย
“การมาของพวกคุณนั้นทำให้ทางผมรู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งครับ พอผมได้ยินมาจากลูกน้องว่าเป็นคุณซูและคุณหวังที่มาเป็นแขกของที่นี่ในวันนี้ผมจึงได้เตรียมของเล็กๆน้อยๆมาให้” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ” ซูจิ้งผายมือออกเชิงอนุญาต เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องทำเป็นพิธีรีตรองแต่อย่างใด
หวันเจิ้งหยางเองเห็นดังนั้นก็ได้ส่งสายตาให้ลูกน้อง ลูกน้องคนนั้นเห็นจึงได้ทำการยกเบียร์ขึ้นมาขวดหนึ่งเปิดฝาแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดังชัดถ้อยชัดคำว่า
“คุณซู คุณหวัง ก่อนหน้านี้ผมทำเรื่องเสียมารยาทไป ผมขอดื่มเบียร์ขวดนี้เป็นการขอโทษครับ” พูดจบลูกน้องของชายหัวล้านก็กระดกเบียร์เข้าไปทีเดียวหมดขวด ถึงแม้การดื่มเบียร์นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรแต่การกระดกทีเดียวหมดขวดนั้นก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ หลังจากดื่มเสร็จ หน้าของลูกน้องคนนั้นก็แดงฉานในทันที
“คุณซูถ้าไม่ว่าอะไร…” หวันเจิ้งหยางได้หยุดไปชั่วขณะ หมายความว่าเขานั้นอยากจะให้ซูจิ้งตัดสินว่าควรจะให้ทำอะไรต่อกับลูกน้องของเขาที่ทำเรื่องไม่ดีกับซูจิ้งไว้ก่อนหน้านี้
“ไม่เป็นไรครับ แหม่ เรื่องแค่นี้เอง” ซูจิ้งยกมือเชิงห้ามปรามและหวันเจิ้งหยานก็หยุดในทันที เมื่อเขาเห็นว่าซูจิ้งยอมปล่อยเรื่องในครั้งนี้ไปแล้วจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ถ้าไม่อย่างนั้นเขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน
เพราะเรื่องในครั้งนี้เป็นฝั่งเขาเองที่ผิดเต็มๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าใช้จ่ายเขาเองจึงต้องให้บริกรที่มีเรื่องก่อนหน้านี้เข้ามาขอโทษด้วยวิธีนี้ แต่กลายเป็นว่าทั้งซูจิ้งและหวังจ้าวนั้นไม่ได้เคืองโกรธอะไรเพราะมันเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว
ตอนนี้ทั้งหวังจ้าวและเฉิงหนานต่างก็จ้องมองมาจังหวันเจิ้งหยานด้วยสายตาแปลกพิกล นั่นก็เพราะว่าบรรยากาศที่ปลดปล่อยออกมารอบตัวของหวันเจิ้งหยางนั้นในแวบแรกรู้เลยว่าเขากลัวมากๆ
แต่เมื่อทั้งสองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกลับกลายเป็นว่าเขาเพียงกลัวเรื่องพวกนี้ไปซะได้ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะถ้าพูดถึงความผิดปกติของเรื่องนี้แล้ว
กับคนธรรมดานั้นควรเห็นหวังจ้าวที่เป็คุณชายสามที่แท้จริงแห่งตระกูลหวังไม่พอใจ มากกว่าซูจิ้งที่เป็นคุณชายสี่แต่ในนามสิ แต่นี่เขากลับเกรงกลัวซูจิ้งมากกว่าเหมือนกับเขายกระดับของซูจิ้งขึ้นไประดับเหนือกว่าไปแล้ว
เรื่องนี้มีเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ก็คือหวันเจิ้งหยางนั้นรู้ข่าวที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงเกี่ยวกับเรื่องใบยาสูบแล้ว และรู้ดีว่าซูจิ้งไม่ใช่เพียงคนที่คอยเกาะตระกูลหวังแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องการปฏิรูปกฎหมายใบยาสูบใหม่นั้นถึงจะคนส่วนใหญ่จะไม่รู้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องลับแต่อย่างใด หากจะได้ยินมาบ้างก็ไม่แปลก

“คุณซูครับ ผมก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่สมควรจะพูดออกมาแต่ผมเองก็อดใจไม่ไหวแล้วจริงๆเมื่อได้กลิ่นเบียร์นี่ แถมลูกน้องของผมนั้นยังบอกมาอีกว่าเบียร์พวกนี้เป็นของที่คุณซูทำขึ้นเอง …..
เอ่อ… ถ้าเป็นไปได้ผมขอลองลิ้มสักหน่อยได้รึเปล่าครับ” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เอ้อออ กับเรื่องนั้น ผมเองก็เหลือเพียงแค่ครึ่งแก้วของผมนี้เท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่รัจเกียงน้ำลาย…”
“ไม่รังเกียจแม้แต่น้อยครับ” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาทันทีในขณะที่ซูจิ้งยังพูดไม่จบดี เขารีบฉวยแก้วมาและดื่มมันในทันทีอย่างไม่คิดอะไรมาก
ทันทีที่ลิ้มรสดวงตาของเขาก็เบิกโพลงในทันที หลังจากนั้นเขาก็ยกซดไปรวดเดียวราวกับกลัวว่าซูจิ้งจะขอแก้วคืนก่อนที่จะกล่าวชมออกมาว่า “เบียร์ที่ดี ไม่สิเบียร์ชั้นเลิศ ผมไม่เคยกินเบียร์ที่รสชาติดีแบบนี้มาก่อนในชีวิตเลยนะ”
ชายหนุ่มคนที่มาดื่มขอโทษกับบริกรชายวัยกลางคนเองต่างก็จ้องมองด้วยความอิจฉา กลิ่นของเบียร์ในแก้วที่หัวหน้าของเขายกดื่มไปเมื่อกี้ได้ลอยมาเตะจมูกของทั้งคู่ในทันทีที่แก้วขยับ

ถ้าเบียร์นี้ถึงขนาดทำให้หัวหน้าของเขาพูดออกมาถึงขนาดนี้ล่ะก็แสดงว่ามันคือของดีจริงๆ ตอนนี้พวกเขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องนำเบียร์มาเอง
เขานั้นไม่ได้ทำเพื่อประหยัดเงินแต่อย่างใด แต่เป็นว่าเบียร์ของร้านนี้น่าจะห่วยเกินไปสำหรับเขามากกว่า
“คุณซูครับ เบียร์นี่ขายรึเปล่าครับ แล้วราคราเท่าไหร่” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นราวกับว่าเบียร์แก้วนี้คืออาหารชวนฝันที่เขาตามหามาตลอดชีวิต
หากเทียบกันแล้วเพียงเบียร์ครึ่งแก้วที่เขาได้ดื่มไปนี้นั้น เขายินดีที่จะไม่ยอมดื่มเบียร์ยี่ห้ออื่นเลยไปชั่วชีวิต ลองคิดดูซิว่าหากร้านของเขานั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่ขายเบียร์นี้ รับรองได้เลยว่ากิจการเจริญรุ่งเรื่องดั่งหาร้านใดเปรียบมิได้
“เบียร์นี้ผมยังไม่ได้ทำขายหรอกครับ แต่ก็คงอีกไม่นานนัก แต่ราคานี่ผมก็ยังไม่แน่นอนเหมือนกัน ถึงเวลาจริงๆก็คงต้องขึ้นอยู่กับผู้จัดการเฉิงน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางชี้นิ้วไปยังเฉิงหนาน
“หัวหน้าหวันคะ นี่คือนามบัตรของฉันค่ะ” เฉิงหนานได้รีบหยิบนามบัตรออกมาในทันทีอย่างมืออาชีพ
“สวัสดีครับผู้จัดการเฉิง นี่นามบัตรของผมครับ” หวันเจิ้งหยางได้ทำการสุภาพนอบน้อมต่อเฉิงหนานในทันที ก่อนหน้านี้เขาเองก็ละเลยไม่ได้ทักทายเฉิงหนานไปพักใหญ่จึงรู้สึกผิดเหมือนกัน
หลังจากที่ทั้งคู่ได้แลกนามบัตรกันแล้ว หวันเจิ้งหยางก็ได้ขอตัวออกไปก่อนที่จะสั่งให้บริกรนำขนมของขบเขี้ยวและเบียร์จนพอเลี้ยงแต่ละคนได้สองรอบมาเสริฟให้แบบฟรีๆ

งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปโดยมีซูจิ้งและหวังจ้าวยังคงอยู่ต่ออีกนิดหน่อยเพราะกลัวว่าคนอื่นจะหมดสนุกกัน แต่ทั้งสองเองก็คิดว่าจะอยู่ต่อไม่นานนัก
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะออกไปนั้นก็เมื่อเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ด้านนอกจากเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมกันขึ้น
“ดูเหมือนว่าจะมีคนก่อเรื่องนะ” หวังจ้าวที่กำลังนั่งปลอกเปลือกส้มได้พูดออกมาลอยๆพลางหันไปทางต้นเสียง
“หืม… ดูเหมือนว่าคนของเราจะถูกรังแกนะ” ซูจิ้งที่ได้ยินเสียงของนอกชัดเจนราวกับในห้องไม่ได้มีเสียงดนตรีใดๆนั้นขมวดคิ้วและยืนขึ้นในทันที
หวังจ้าวที่ได้ยินดังนั้นก็ได้โยนส้มทิ้งไปตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์และเดินตามซูจิ้งออกไปในทันที แม้แต่เฉิงหนาน ผู้บริหารบริษัท หัวหน้างาน และพนักงาน และคนอื่นๆก็ตามออกไปติดๆ
ที่ด้านหน้าของประตูร้านนั้นซูจิ้งได้พบกับคนที่ไม่คาดคิดนั่นก็คือหวู่ฉิงติงที่มีใบหน้าแดงฉาน แค่ดูก็รู้ว่าเขาเมาอย่างแน่นอนโดยเขานั้นได้ดึงสาวผมสั้นคนหนึ่งเอาไว้และพูดออกมาอย่างหยำเปว่า “อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสาเลย…ฮึ้ก..สาวน้อย มาดื่มกับฉัน…ฮึ้ก…ซะ แล้ว…ฉันจะให้ทิปอย่างงามเลยนะ”
“หวู่ฉิงติงนี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย” เฉิงหนานที่เห็นหน้าอดีตสามีก็พูดออกมาด้วยเสียงดังลั่น ถึงแม้เธอจะขยะแขยงชายคนนี้ชนิดไม่อยากเข้าใกล้และพูดด้วยแม้จะสักคำเดียว
แต่เมื่อเห็นว่าพนักงานของตัวเองโดนลวนลามอยู่ในตอนนี้ ต่อให้เธอขยะแขยงหมอนี่แค่ไหนก็ต้องช่วยให้ได้ เธอรีบเข้าไปดึงหญิงสาวผมสั้นคนนั้นมาและพามาแอบไว้ข้างหลังตัวเอง
สาวผมสั้นคนนี้เป็นเพียงเด็กฝึกงานที่เพิ่งจะเข้ามาในบริษัท และมาที่นี่เพียงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น

หวู่ฉิงติงที่เห็นเฉิงหนานนั้นก็เกือบจะหลุดปากด่าออกไปแล้ว แต่เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของหวังจ้าวและซูจิ้งนั้น ใบหน้าของเขาก็ถอดสีและส่ายหัวในทันทีพร้อมพูดออกมาอย่างร้อนรนว่า
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนะ สาบานได้ ฉันแค่บอกให้แม่นี่มาดื่มเป็นเพื่อนเท่านั้น ถ้าเธอไม่ยอมล่ะก็ไม่เป็นไร” พูดจบเขาก็รีบหันออกไปและเดินจากไปในทันที
“หยุดนะ แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าจะเคลียกันรู้เรื่อง” เฉิงหนานเองที่กำลังกรึ่มๆอยู่ก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่หวู่ฉิงติงนั้นทำเป็นไม่ได้ยินและตรงกับเข้าห้องที่เขากำลังดื่มอยู่ไป
“เหยาน้อยเป็นอะไรรึเปล่า” เฉิงหนานค่อยๆจับตัวสาวน้อยไปมาด้วยความห่วงใย สาวน้อยผมสั้นในตอนนี้มีสายตาแดงกล่ำด้วยความกลัวอยู่แล้ว
ทันทีที่ได้ยินเฉิงหนานถามออกมาด้วยความห่วงใยเธอก็ได้ร้องไห้ออกมา ตอนนั้นเองเหล่าสาวๆพนักงานคนอื่นก็ได้เข้ากอดเธอจนเธอรู้สึกอุ่นใจมากขึ้นจึงได้สงบสติลงพอจะเล่าเรื่องราวออกมาได้
เธอเล่าออกมาว่าตอนที่เธอออกจากห้องน้ำก็ได้เจอหวู่ฉิงติงเข้า หวู่ฉิงติงต้องการให้เธอไปนั่งดื่มเป็นเพื่อน แต่พอเธอปฏิเสธเขาก็โกรธและเข้ามาลวนลามเธอ มีบางคนที่เห็นก็ไม่ได้เข้ามาช่วยเธอแต่อย่างใด
“เกิดอะไรขึ้น” หวันเจิ้งหยางนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมชายสองคนในทันที นี่เขานั้นต้องเจอปัญหาถึงสองครั้งในวันแบบนี้เลยหรือเนี่ย ปกติเขานั้นจะไม่มาด้วยตัวเองแบบนี้แต่วันนี้มีแขกพิเศษที่ชั้นสองเขาจึงต้องเอาใจใส่ทุกเรื่องเป็นพิเศษ
“คุณหวัน ไปพอตัวหวู่ฉิงติงในนั้นมาหาผมหน่อย” ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเลือดเย็นและได้ชี้ไปยังห้องที่หวู่ฉิงติงหนีเข้าไป
หลังจากนั้นซูจิ้งได้เดินไปยังสาวน้อยผมสั้นก่อนที่จะได้ตบไปที่ไหล่ของเธอเบาๆก่อนจะพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้ไปเลย กลับไปที่ห้องของเราก่อน เดี๋ยวฉันจะให้ไปเวรนั่นมาคุกเข่าขอโทษเธอเองนะ”