ตอนที่ 436 เหยียดหยาม โดย Ink Stone_Fantasy
“หาผม? มีธุระอะไรเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนเห็นหน้าแขกผู้มาเยือนแล้วรู้สึกคุ้นตา ช่วงก่อนตอนที่เขาไปฮ่องกงนั้น หน้าปกนิตยสารเศรษฐกิจหลายฉบับของฮ่องกงล้วนเป็นรูปชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ซ่งจือเจี้ยนเป็นอภิมหาเศรษฐีด้านธุรกิจการเงินแห่งเกาะฮ่องกง หลายปีมานี้ร่วมมือกับกลุ่มของหลี่เชาเหรินที่เป็นเศรษฐีเหมือนกันตีตลาดการค้ายักษ์ใหญ่ และยังเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยได้รวดเร็วที่สุดในฮ่องกง
แต่เรื่องแบบนี่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด เยี่ยเทียนให้ความสำคัญกับฐานะอีกอย่างของซ่งจือเจี้ยนมากกว่า นั่นคือเป็นญาติผู้ใหญ่
คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนคนนี้ความจริงแล้วเป็นลุงแท้ๆของเขา แน่นอนว่าเยี่ยเทียนไม่อยากจะยอมรับนักหรอก แม้แต่แม่แท้ๆ เขายังไม่เคยพบเลย แล้วนับประสาอะไรกับลุง
“เยี่ยเทียน ฉันคือ…”
“คุณคือคุณซ่งจือเจี้ยนใช่ไหม? ผมรู้จักคุณครับ เป็นเศรษฐีมาจากฮ่องกง”
เยี่ยเทียนไม่รอให้ซ่งจือเจี้ยนแนะนำตัว โบกมือขัดแล้วพูดต่อ “คุณซ่งครับ วันนี้ผมไม่ว่าง คุณมีธุระอะไรพูดมาตามตรงเลย!”
“เยี่ยเทียน ผู้ที่มาเป็นแขก ทำไมไม่ชวนพวกเราเข้าไปนั่งในบ้านล่ะ?”
ซ่งจือเจี้ยนเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในฮ่องกง ยังไม่เคยถูกใครตัดบททั้งที่ยังไม่ทันเอ่ยปากอย่างวันนี้เลย แววโทสะปรากฎในดวงตา แต่เพราะคำของบิดาเลยรีบลบความขัดเคืองใจทิ้งไปได้ทันเวลา
เยี่ยเทียนยิ้มเยาะ ส่ายศีรษะตอบว่า “ขอโทษครับ ประตูรั้วของตระกูลเยี่ยใครๆ ก็เข้าได้ยกเว้นแต่คนตระกูลซ่ง!”
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าซ่งจือเจี้ยนมาพบเขาด้วยเหตุใด แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย จึงตอบปฏิเสธไปอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลับยิ่งดูน่าขบขันในสายตาเยี่ยเทียน
คำตอบของเยี่ยเทียนทำให้ผู้มาเยือนทั้งหลายชักสีหน้า พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะกล้าพูดออกมาแบบนี้ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย
ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าสืบเท้าออกมาด้านหน้า ตำหนิอย่างมีอารมณ์ “เยี่ยเทียน ทำไมนายพูดอย่างนี้ ยังไงพ่อของฉันก็เป็นลุงของนายนะ มีการปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่แบบนี้ด้วยเหรอ?”
ชายหนุ่มเป็นบุตรคนโตของซ่งจือเจี้ยน ชื่อซ่งเหลียงตง ตอนอายุสิบกว่าขวบได้ถูกส่งไปเรียนต่อที่อเมริกามีความสนิทสนมกับอาหญิง แม่ของเยี่ยเทียนมาก จึงรู้เรื่องราวของเยี่ยเทียนเป็นอย่างดี
เยี่ยเทียนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถามกลับ “ญาติผู้ใหญ่? พ่อนายเป็นญาติผู้ใหญ่ของใครกันเหรอ? ครอบครัวของลุงฉันตายไปหมดแล้วนี่ แล้วนี่ลุงที่ไหนโผล่มาอีกเล่า ขอร้องเถอะ นายอย่ามาล้อเล่นกับฉันเลย”
เยี่ยเทียนแม้จะได้รับการศึกษาระดับสูงแต่เติบโตมาในชนบทได้ฝึกการใช้ฝีปากพูดจาเสียดสีคนอื่นนั้นเก่งนัก ต่างกับพวกคุณชายที่โตมาบนกองเงินกองทอง
ชายหนุ่มอดกลั้นความโกรธจนหน้าแดง ส่วนซ่งจือเจี้ยนก็แสดงออกว่าโมโหเลือดขึ้นหน้าแล้วเหมือนกัน เขาไม่เคยพบเคยเห็นเด็กที่ไหนมารยาทพ่อแม่ไม่สั่งสอนแบบนี้มาก่อน
แต่ซ่งจือเจี้ยนก็ไม่ทันคิดว่าเยี่ยเทียนกับบ้านตระกูลซ่งของเขาไม่เคยได้ติดต่อกัน แม้แต่บรรพบุรุษยังมีหนี้แค้นต่อกันด้วย เยี่ยเทียนได้ยินชื่อพวกเขาแล้วไม่ชี้หน้าด่าไล่กลับไปนั้นถือว่าให้เกียรติพวกเขามากแล้ว
“เด็กน้อย แก…แกว่าใคร อยากโดนดีรึไง?”
ซ่งเหลียงตงได้ฟังคำด่าคนทั้งตระกูลของตัวเองแล้วก็ทนไม่ไหว ก้าวออกมายกกำปั้นใส่หน้าเยี่ยเทียน
ในชื่อของซ่งเหลียงตงแม้มีความหมายว่าความดี แต่เขากลับไม่ได้เป็นคนดีตามชื่อ ตอนที่อยู่ฮ่องกงทำตัวเป็นคุณชายเที่ยวเสเพล หลายปีมานี้พอได้เข้าทำงานในธุรกิจครอบครัวแล้วจึงได้เพลาลง
“หืม? อยากลงมือ?”
เยี่ยเทียนแค่ขยับยกมือขวาก็คว้าได้ข้อมือของซ่งเหลียงตง หรี่ตาลงออกแรงเพียงเล็กน้อย ข้อมือขวาของซ่งเหลียงตงปวดร้าวรุนแรงขึ้นทันทีจนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ปล่อยซ่งเหลียงตง ปล่อยคุณชายซ่งเดี๋ยวนี้!”
ซ่งจือเจี้ยนและคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลังต่างตะโกนออกมา ชายหนุ่มอีกสามคนที่สวมชุดสูทรีบรุดเข้ามาล้อมรอบเยี่ยเทียน
ซ่งจือเจี้ยนไม่ได้สั่งห้ามบอดี้การ์ดทั้งสาม เขาคิดว่าเยี่ยเทียนควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง คนหนุ่มต้องลองถูกรังแกบ้างจึงจะรู้จักโลกมาขึ้น
“ตระกูลซ่งสั่งสอนลูกหลานมาดีจริง มาหาเรื่องเขาถึงบ้านยังกล้าลงมืออีก ยังเคยคิดว่าตระกูลซ่งจะเป็นครอบครัวผู้พิทักษ์คุณธรรมเสียอีก?”
เยี่ยเทียนยิ้มเย็น มองดูบอดี้การ์ดแต่ละคนแล้วปล่อยมือซ่งเหลียงตง แล้วโบกมือเรียกไปที่ไกลๆตะโกนบอกว่า “แข่งกำลังคนหรือ? มาลาไกย์ มานี่เร็ว!”
เสียงของเยี่ยเทียนยังไม่ทันขาดคำ คนต่างชาติคนหนึ่งที่ตอนแรกยืนอยู่หน้าปากตรอกยื่นศีรษะออกมาดู แล้วรีบวิ่งเข้ามา โค้งคำนับเยี่ยเทียนทีหนึ่งแล้วถามเยี่ยเทียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณเยี่ย คนพวกนี้มาหาเรื่องคุณหรือครับ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนไปเขาฉางไป๋ซาน ไม่เคยเรียกใช้กลุ่มมาราไกย์เลย แต่คนกลุ่มนี้นั้นดูรีบร้อนจัด วันนี้ตอนที่มาเฝ้าเวรยามได้พบกับเยี่ยเทียนเข้าพวกเขาก็ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่
ถ้าไม่มีคนยืนคุยกับเยี่ยเทียนอยู่ พวกเขาคงจะรีบเข้ามาให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มลงไม้ลงมือแล้ว กลุ่มมาลาไกย์ยิ่งรู้สึกว่าพวกตนต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของเยี่ยเทียนให้ดีกว่านี้
“ใช่ พวกเขามาหาเรื่องฉัน”
เยี่ยเทียนยิ้มพยักหน้า “ฉันสงสัยว่าพวกเขาจะลักพาตัวฉัน มาราไกย์ ฉันคิดว่าพวกนายสามารถพาคนพวกนี้ไปที่สถานีตำรวจได้ ไม่แน่ว่าทางตำรวจอาจจะมอบรางวัลพลเมืองชาวต่างชาติดีเด่นให้นายก็เป็นได้?”
เยี่ยเทียนนิสัยเสีย ถ้าซ่งจือเจี้ยนถูกส่งตัวไปที่โรงพักนั้นเปรียบเหมือนกับการตบหน้าตระกูลซ่งฉาดใหญ่ แถมยังตบจนพูดไม่ออก
เพราะเรื่องนี้เป็นฝีมือคนต่างชาติ อีกทั้งเหตุผลเข้าที ซ่งจือเจี้ยนไม่รู้จะทำอย่างไรกับกลุ่มมาลาไกย์ดี สำหรับตัวเยี่ยเทียนเองไม่กลัวพวกเขามาล้างแค้นหรอก
“พวกเราไม่ได้มาลักพาตัว นายอย่ามาซี้ซั้วนะ!”
ซ่งจือเจี้ยนกับลูกชายเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ จึงรับรู้สิ่งที่เยี่ยเทียนกับมาราไกย์คุยกันอย่างชัดเจน ต่างหน้าเปลี่ยนสีไปตามกัน ถ้าถูกส่งไปโรงพักจริงคงเป็นตลกร้ายใหญ่โต
“อ่อ พวกคุณ มีเรื่องอะไรไปคุยที่โรงพักเถอะ!”
กลุ่มมาราไกย์ไม่ยอมฟังที่ซ่งจือเจี้ยนอธิบาย อุตส่าห์ได้เป็นถึงบอดีการ์ดของเยี่ยเทียนแล้ว ก็ต้องแสดงบทบาทให้เต็มที่
ชายหนุ่มชุดดำหลายคนที่ซ่งจือเจี้ยนพามาด้วย เป็นนักบินปลดประจำการในกองทัพอากาศฮ่องกง แล้วก็เป็นบอดี้การ์ดที่เหล่าเศรษฐีฮ่องกงชอบใช้บริการ
คนพวกนี้มักจะเก่งแค่วางท่าน่าเกรงขาม แต่เมื่อประจันหน้ากับนักรบแนวหน้าระดับพระกาฬอย่างกลุ่มมาราไกย์แล้วเทียบไม่ติดฝุ่น
กลุ่มมาราไกย์เมื่อได้รับคำสั่งจากเยี่ยเทียนก็ล้อมวงเข้าไป ภายในชั่วพริบตา บอดี้การ์ดทั้งหลายของซ่งจือเจี้ยนก็ถูกควบคุมตัวไว้ได้ เหลือเพียงเยี่ยทียนที่ยืนมองซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
เยี่ยเทียนมองดูสองพ่อลูกแล้วเอื้อมมือไปปิดประตูรั้ว หมุนตัวเดินจากไป สั่งกำชับพวกมาราไกย์ว่า “ให้พวกนายจัดการต่อแล้ว ฉันมีธุระขอตัวก่อน!”
ซ่งจือเจี้ยนโกรธเลือดจขึ้นหน้าที่เห็นเยี่ยเทียนต้องการจะส่งพวกตนไปขึ้นโรงพักแน่นอน แต่ไม่อาจขัดขืน ได้แต่ตะโกนตามหลังเยี่ยเทียนไปว่า “เยี่ยเทียน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ แม้สองตระกูลจะมีความแค้นต่อกัน แต่ฉันก็ยังเป็นลุงของเธออยู่วันยังค่ำ?”
ซ่งจือเจี้ยนไม่อาจคาดเดาได้ว่าการที่ตั้งใจมาหาเยี่ยเทียนด้วยดี ทำไมจู่ๆเรื่องถึงบานปลายได้ขนาดนี้ เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นพ่อได้เคยบอกว่าหลานของเขาคนนี้ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย
“ลุง?”
เยี่ยเทียนหน้าตึง หันกลับมามองซ่งจือเจี้ยนด้วยสายตาเย็นชา ตอบว่า “ผมขอเตือนไว้อย่างนะ ผมไม่มีลุงที่ไหน ถ้ายังอวดอ้างว่าเป็นญาติผมอีกล่ะก็ อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจ
จากรูปหน้าโหงวเฮ้งของซ่งจือเจี้ยน คนๆนี้จมูกงุ้มเหมือนปากเหยี่ยว หน้าผากสูง ช่องว่างระหว่างหัวตาทั้งสองก็กว้าง เป็นลักษณะของผู้กล้าที่ทะเยอทะยาน
คนแบบนี้มักจะชอบเอาเปรียบคนอื่น แต่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร สัมพันธ์แบบเครือญาตินั้นไม่ได้สำคัญกับคนอย่างเขาเลย
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนซื่อสัตย์มีเมตตา เยี่ยเทียนยังพอจะเห็นแก่มารดาของเขา ทนให้เกียรติบ้าง แต่สำหรับซ่งจือเจี้ยนแล้ว เยี่ยเทียนสามารถมองออกถึงนิสัยใจคอได้ในทันทีอย่าหวังว่าจะได้รับความเคารพจากเยี่ยเทียน
ตำแหน่งในตระกูลซ่ง ซ่งจือเจี้ยนเป็นรองก็เพียงพ่อของเขาคนเดียว ถ้าถูกลบหลู่ถึงขั้นส่งตัวไปโรงพักคงเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี แม้ฐานะของตระกูลซ่งที่มีอิทธิพลล้นฟ้าในรัฐบาล แต่คนที่คอยหัวเราะเยอะพวกเขานั้นมีไม่น้อย
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเพื่อนบ้านรอบๆ เรือนสี่ประสานค่อยๆ แห่กันออกมามุงดู เยี่ยเทียนขมวดคิ้วโบกมือไล่ “มาราไกย์ ปล่อยพวกเขาเถอะ คุณซ่ง คุณกลับไปเถอะ?”
“เยี่ยเทียน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอจริงๆ นะ”
พวกมาราไกย์ปล่อยตัวพวกเขาทุกคนแล้ว ซ่งจือเจี้ยนรีบตามเยี่ยเทียนออกไป “เยี่ยเทียน เธอวางใจเถอะ เรื่องที่ฉันจะพูดนั้นเป็นประโยชน์กับเธอมาก เธอช่วยเจียดเวลามาคุยกับฉันได้ไหม?”
ความยากลำบากในอดีต บ่มเพาะให้ซ่งจือเจี้ยนมีความอดทนอดกลั้นขั้นสูง ภายในพริบตาเขาสามารถปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ตอนนี้แสดงท่าทีโอนอ่อนลงให้กับเยี่ยเทียน
“เรื่องที่มีประโยชน์กับผม?”
เยี่ยเทียนมองซ่งจือเจี้ยนอย่างล้อเลียน สายตาของเขาทำให้คนวัยห้าสิบกว่าอย่างซ่งจือเจี้ยนเกิดอาการประหม่า ผ่านไปหลายวินาที เยี่ยเทียนพูดขึ้น “ตอนนี้ผมติดธุระ ถ้ามีเรื่องจะคุยกับผมก็ตามมา”
ไขมันกบภูเขาในมือจะถือไว้นานกว่านี้ไม่ได้ ต้องรีบนำไปให้อาหญิง ของสิ่งนี้เป็นยาบำรุงชั้นเลิศให้แก่อาหญิงเล็กและแม่ของโจวเซี่ยวเทียน
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนยอมตาม ในใจของซ่งจือเจี้ยนกลับรู้สึกถึงภาระหนักอึ้ง รีบส่งสายตาห้ามบุตรชายไม่ให้บุ่มบ่ามวู่วาม แล้วนำคนที่พามาด้วยเดินตามหลังเยี่ยเทียนไป
“เมื่อครู่ผมพูดแล้วว่า ประตูบ้านตระกูลเยี่ยไม่ต้อนรับคนตระกูลซ่ง พวกคุณยืนรอข้างนอกนี่แล้วกัน!”
เมื่อมาถึงบ้านหลังเก่าแล้ว เยี่ยเทียนชะงักฝีเท้า พูดออกมา ทำเอาซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกหน้าร้อนผ่าว ในใจรับรู้ได้ถึงการดูหมิ่นอย่างรุนแรง
…