ตอนที่ 437 รวยที่สุดในประเทศ โดย Ink Stone_Fantasy
มีคติธรรมกล่าวไว้ว่าการตัดขาดความโลภทำให้บรรลุธรรม เยี่ยเทียนไม่ได้มีความอยากได้อยากมีในทรัพย์สมบัติของบ้านตระกูลซ่งแต่อย่างใด เขาไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกของซ่งจือเจี้ยนเลย ถ้าไม่ชอบใจก็เชิญกลับไป
แต่ซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกทนไม่ไหวแล้ว พวกเขามาขอร้องเยี่ยเทียนถึงบ้าน ตอนแรกคิดว่าจะอ้างเรื่องความเป็นญาติแล้วถือโอกาสเอ่ยถึงเรื่องที่เตรียมมา
แต่ใครจะไปรู้ว่าเยี่ยเทียนไม่แยแส ตอบปฏิเสธออกมาตรงๆ แถมยังจะส่งตัวพวกเขาขึ้นโรงพักอีก
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ซ่งจือเจี้ยนคงต้องโกรธฟิวส์ขาด แต่เพราะสถานการณ์บังคับ เพื่อทรัพย์สินราวหมื่นล้านทั้งหมดที่อยู่ในมือในของน้องสาว ซ่งจือเจี้ยนได้แต่จำยอม
“มาราไกย์ เฝ้าพวกเขาไว้ให้ดี อย่าให้เข้ามาในบ้านได้!”
เยี่ยเทียนกวาดสายตาเย็นชาใส่สองพ่อลูกอีกครั้ง เป็นสายตาที่หวาดระแวงราวกับระวังโจรขโมย ซ่งจือเจี้ยนเป็นคนคิดอ่านลึกซึ้งยากจะคาดเดา พอถูกยั่วโมโหจนเส้นเลือดเขียวเส้นหนาปูดขึ้นที่ข้างขมับ เกือบจะเปลี่ยนใจหันหลังกลับแล้ว
เยี่ยเทียนไม่สนใจว่าเขาจะโกรธหรือไม่ เดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้กลุ่มมาราไกย์เฝ้าอยู่หน้าประตู ตั้งใจทำตามคำสั่งของเยี่ยเทียนอย่างเคร่งครัด
เยี่ยตงเหมยที่กำลังซักผ้าอยู่เห็นเยี่ยเทียนเข้ามาก็เดินไปรับ คว้าแขนเยี่ยเทียนอย่างมีอารมณ์แล้ว ถามอย่างหงุดหงิด “เยี่ยเทียน เมื่อวานกลับมาถึงแล้วทำไมไม่มา?”
เยี่ยเทียนรู้สึกถึงความเย็นของมืออาหญิงคนเล็ก ตอบกลับอย่างเคืองๆว่า “อาเล็ก อากาศเย็นขนาดนี้ ทำไมยังซักผ้าอยู่ข้างนอก เครื่องซักผ้าก็มีทำไมไม่ใช้?”
“เสื้อผ้าแค่สองสามตัวเอง ไม่ต้องใช้เครื่องหรอก อาใช้มือขยี้สองสามทีก็พอ”
เยี่ยตงเหมยยิ้มแล้วส่ายศีรษะ เห็นกล่องพลาสติกในมือที่เยี่ยเทียนถืออยู่ถามด้วยความสงสัยว่า “กล่องนี้มันอะไรเหรอ? สีดูสวยดีนะ”
ไขมันกบภูเขาที่ได้มาจากเมิ่งตาบอดเป็นของชั้นยอด สีของมันเป็นสีเหลืองทองอร่ามทะลุออกมาจากพลาสติกที่หุ้มกล่อง ดูสวยงาม
“อาเล็ก อันนี้เรียกไขน้ำมันกบภูเขา ผมค่อยเอาโสมเก่าแก่มาให้อีกที เอาไว้ตุ๋นกับสาลี่ ดีกับสุขภาพของอากับป้าใหญ่มาก!”
เยี่ยเทียนอธิบายวิธีการรับประทานมันกบภูเขา จากนั้นเดินเข้าไปในครัว เรื่องราคาของมันเขาไม่ได้พูดถึง ไม่อย่างนั้นอาเล็กคงจะไม่กล้ารับประทาน
“เยี่ยเทียน มาแล้วเหรอ เซี่ยวเทียนทำงานดีไหม?” แม่ของโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังปรุงอาหารเช้าอยู่เห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามาก็รีบยืนขึ้น
“ดีครับ เซี่ยวเทียนเป็นคนฉลาด ช่วยงานผมได้เยอะมาก!”
เยี่ยเทียนมองดูดวงตาของเธอ รอยแผลหายไปหมดแล้ว ดูท่าการผ่าตัดประสบผลสำเร็จด้วยดี แล้วยิ้มกล่าวต่อว่า “ว่าแต่พี่สาวอยู่ชินหรือยัง?” ตาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีน้ำตาไหล ไม่ปวดแล้วใช่ไหม?”
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนกับเยี่ยตงเหมยนับถือกันเป็นพี่น้อง แต่โจวเซี่ยวเทียนเป็นลูกศิษย์ของเยี่ยเทียน เธอยังจะดันทุรังให้เยี่ยเทียนเรียกเธอว่าพี่สาวอีก ดูช่างวุ่นวายไปหมด
“ไม่มี ไม่มี ทุกอย่างดีหมด ขอบใจเธอมากนะเยี่ยเทียน เธอนั่งก่อน อาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว มากินข้าวด้วยกัน!”
แม่ของโจวเซี่ยวเทียนไม่เคยปิดบังความรู้สึกซาบซึ้งที่มีต่อเยี่ยเทียน ตั้งแต่ดวงตาของตัวเองหายดี เธอได้กลายเป็นคนที่ทำงานยุ่งที่สุดในบ้าน เยี่ยตงเหมยเคยห้ามเธอหลายครั้งแต่เธอไม่ฟัง
เทียบกับความเป็นอยู่เมื่อก่อน ตอนนี้ชีวิตของเธอมีความสุขราวกับอยู่บนสวรรค์ บุตรชายทั้งเก่งมีความสามารถ ทั้งยังมีพี่สาวอีกหลายคนคอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย สภาพจิตใจจึงดีกว่าแต่ก่อนมาก
“ดีแล้ว พี่สาวต้องดูแลตัวเองให้มาก งานบ้านพวกนี้จ้างแม่บ้านมาทำก็ได้”
เยี่ยเทียนให้เกียรติคน ไม่ได้มองที่ฐานะ แต่มองที่นิสัยใจคอ แม่ของโจวเซี่ยวเทียนทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูบุตรชายจนเติบใหญ่ เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนนับถือเธอมาก
เยี่ยเทียนช่วยยกข้าวต้มร้อนๆ ออกมาวางที่โต๊ะอาหาร ป้าใหญ่เดินถือถุงปาท่องโก๋และซาลาปาเข้ามา เห็นเยี่ยเทียนเข้าก็เอ็ดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าเด็กบ้า แกยังรู้จักกลับบ้านกลับช่อง? ไปไหนมาตั้งนาน ไม่เห็นโทรศัพท์กลับมาเลย!”
“เหอะๆ ป้าใหญ่ ผมออกไปหาของมา มีไขมันกบภูเขากล่องใหญ่ ใส่ไว้ในตู้เย็นให้แล้วครับ” เยี่ยเทียนหัวเราะพลางโอบป้าใหญ่ไว้ เขารู้สึกพึงใจกับความผูกพันในครอบครัว
“ไขมันกบภูเขา? นั่นเป็นของดีเชียวนะ จะได้ให้น้องเล็กกับเอ้อฉินกินบำรุง ถือว่าแกทำดีมากคราวนี้!”
เมื่อก่อนตอนที่ตระกูลเยี่ยยังไม่ได้ตกยาก นับว่าเป็นตระกูลเศรษฐีใหญ่ตระกูลหนึ่ง แม่ของโจวเซี่ยวเทียนเองก็พอมีความรู้ ตอนสาวๆ เคยรับประทานไขมันกบภูเขา ช่วงนั้นราคาของมันก็สูงอย่างน่าตกใจแล้ว
ป้าใหญ่นึกออกว่านอกประตูบ้านมีคนรออยู่ จึงถามเยี่ยเทียนว่า “ใช่แล้ว เยี่ยเทียน พวกคนที่อยู่ข้างนอกน่ะมาทำอะไร? ไหนจะคนต่างชาติพวกนั้นอีก ดูไม่น่าไว้ใจเลย!”
“ป้าใหญ่ ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจพวกเขา มีหัวหน้าชุมชนอย่างป้าอยู่ทั้งคน ใครจะกล้ามาหาเรื่อง?”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางเปลี่ยนเรื่องคุย เขาทราบว่าในตระกูลของตน ป้าใหญ่เป็นคนที่มีความแค้นกับตระกูลซ่งลึกซึ้งที่สุด เขาไม่อยากให้ป้าใหญ่อารมณ์เสีย
เยี่ยเทียนตั้งใจปล่อยให้ซ่งจือเจี้ยนพ่อลูกรออยู่ข้างนอกจึงรับประทานอาหารเช้าในนานที่สุด ดูนาฬิกาเห็นเวลาใกล้เก้าโมงแล้ว ถึงได้วางตะเกียบลง ค่อยๆ เดินออกจากเรือนสี่ประสานไป
“นี่ ผมขอโทษจริงๆ เมื่อกี้ผมเพิ่งกินข้าวเสร็จ พวกคุณยังไม่ได้กินอะไรมาเลยใช่มั้ย?”
เยี่ยเทียนคาบไม้จิ้นฟันไว้ในปากทำท่าเรอแบบคนเพิ่งกินอิ่มใส่กลุ่มคนที่รออยู่หน้าบ้านเพื่อยั่วโมโห ซ่งเหลียงตงไม่เคยถูกลบหลู่ขนาดนี้ ถลึงตาใส่เยี่ยเทียนเตรียมจะอ้าปากหาเรื่อง แต่ถูกซ่งจือเจี้ยนรั้งไว้
“ไม่เป็นไร กินหรือไม่กินก็ไม่เป็นไร”
ซ่งจือเจี้ยนเองก็ถือว่าอดทนมากแล้ว ในเมื่อถูกให้คอยเปล่าถึงเกือบชั่วโมงเต็ม เขาไม่เคยเจอคนแบบเยี่ยเทียนมาก่อน พูดต่อว่า “เยี่ยเทียน หาที่นั่งคุยกันหน่อยเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอจริงๆ!”
“ก็ได้ ข้างๆ สวนสาธารณะมีร้านน้ำชาอยู่ร้านหนึ่ง ไปที่นั่นแล้วกัน!” เยี่ยเทียนแอบนับถือในความอดทนของซ่งจือเจี้ยน คนที่จะทำการใหญ่ได้ ต้องเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ซ่งจือเจี้ยนมีศักดิ์เป็นลุงของเยี่ยเทียน ญาติผู้ใหญ่ยอมโอนอ่อนให้ เป็นความอดทนที่หาได้ยากในคนธรรมดา
“เหล่าหม่า พวกนายอยู่ห่างหน่อย” เยี่ยเทียนเดินนำไปข้างหน้า หันกลับไปบอกกลุ่มมาราไกย์พร้อมกับตั้งชื่อเล่นให้เรียบร้อย
“ครับ คุณเยี่ย”
กลุ่มมาราไกย์ใช้สายตาเตือนพวกบอดี้การ์ดของซ่งจือเจี้ยน แล้วเดินรั้งท้ายกลุ่มห่างออกไป เขารู้ดีว่าวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวของเยี่ยเทียนนั้นดีเลิศ ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตราย
ร้านน้ำชาที่เยี่ยเทียนพาซ่งจือเจี้ยนมานั้น รูปลักษณ์คล้ายกับโรงน้ำชาสมัยก่อน ผู้สูงวัยรุ่นปู่ย่าต่างออกมารับประทานอาหารเช้ากันเนืองแน่น ยังมีบางคนแหกปากร้องเพลงงิ้วในร้านด้วย
ซ่งจือเจี้ยนนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ซ่งเหลียงตงแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขาเติบโตมาในความหรูหรา เดินเข้าออกแต่โรงแรมห้าดาว เคยเหยียบมาสถานที่แบบนี้ที่ไหนกัน?
เยี่ยเทียนแสร้งเป็นมองไม่เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของซ่งเหลียงตง ยิ้มตอบว่า “ที่นี่ทรุดโทรมไปหน่อย พวกคุณอย่ารังเกียจล่ะ”
“ไม่เป็นไร ร้านน้ำชาที่ฮ่องกงก็เป็นแบบนี้” ซ่งจือเจี้ยนยักคิ้ว เอ่ยต่อว่า “เยี่ยเทียน หาห้องที่เงียบสงบหน่อยได้ไหม คุยที่นี่น่าจะต้องตะโกนคุย”
“ได้ครับ ที่นี่มีห้องเดี่ยว” เยี่ยเทียนพยักหน้า พาคนทั้งสองขึ้นไปที่ชั้นสอง เข้าไปในห้องปลดม่านลงปิด กั้นเสียงวุ่นวายจากภายนอกให้หายไป
“เวลาของเถ้าแก่ซ่งเป็นเงินเป็นทอง มีอะไรก็พูดมาตามตรงเลยไม่ต้องอ้อมค้อม”
เยี่ยเทียนสั่งชาฟักเขียวไปเพียงกาหนึ่ง อาจจะลืมไปแล้วว่าคนทั้งสองยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า แต่ของว่างขนมใดๆ กลับไม่ได้สั่ง
“ได้ เยี่ยเทียน งั้นฉันพูดตามตรงเลย”
ซ่งจือเจี้ยนเตรียมคำพูดหว่านล้อมเยี่ยเทียนเอาไว้แล้ว เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “เยี่ยเทียน ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ แต่เธอก็เป็นลูกของซ่งเวยหลัน ซึ่งเป็นน้องสาวฉัน เธอไม่คิดว่าฉันเป็นลุงของเธอไม่เป็นไร แต่คนตระกูลซ่งยอมรับเธอนะ…”
“เดี๋ยวก่อน”
เยี่ยเทียนยกมือขึ้นขัดจังหวะทันใด “ผมไม่เข้าใจ ตั้งแต่เกิดมามีแต่พ่อที่เลี้ยงดูผม ไม่เคยรู้เลยว่ายังมีแม่อยู่ ดังนั้นคำว่าลุงน่ะ คุณไม่ต้องพูดหรอก ไม่อย่างนั้นผมจะถือซะว่าคุณมารังแกผม”
“เอ่อ…คือ…”
ซ่งจือเจี้ยนโดนเยี่ยเทียนขัดจนใจเสีย เห็นเยี่ยเทียนไม่ต้อนรับแขกเหมือนคนทั่วไป คำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดก็กลับพูดไม่ออกแล้ว
“ก็ได้ งั้นฉันไม่พูดเรื่องนี้”
ซ่งจือเจี้ยนดื่มชาลงไปแก้วหนึ่งยิ่งรู้สึกหิว เขาไม่อยากอ้อมค้อมกับเยี่ยเทียน เอ่ยปากพูดตามตรง
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ น้องสาวของฉันมีสมบัติอยู่จำนวนหนึ่ง อยากจะมอบให้เธอทั้งหมด แต่สมบัติเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลซ่ง ไม่ใช่ของน้องสาวฉันเพียงคนเดียว ตระกูลซ่งติดค้างเธอมากมายเหลือเกิน ดังนั้นฉันไม่ปฏิเสธการรับสืบทอดทรัพย์สินของเธอ แต่ฉันหวังว่าเธอจะช่วยเซ็นสัญญาฉบับหนึ่งว่าเป็นคนรับผลประโยชน์จากทรัพย์สินนี้ แต่จะไม่เข้าร่วมในการบริหารจัดการทรัพย์สินแต่อย่างใด เธอเห็นว่ายังไง?”
“ผมก็ว่า ทำไมอยู่ดีๆ มาหาผมถึงบ้าน คงไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่ดี?” เยี่ยเทียนฟังจบก็พูดด้วยท่าทีประชดประชัน
เยี่ยเทียนรู้สึกติดค้างในใจตลอด ตัวเองกับบ้านตระกูลซ่งไม่เคยไปมาหาสู่กัน ทำไมจู่ๆ มาอ้างความเป็นญาติแล้วมาหาถึงบ้าน ตอนนี้สาเหตุชัดเจนอยู่ตรงหน้าแล้ว คือเพื่อทรัพย์สินที่อยู่ในมือแม่ของเขา!
เยี่ยเทียนส่ายหัว “บ้านเศรษฐีแบบคุณมีแต่จะใช้เงินมาเป็นตัววัดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เป็นเพราะเงินนี่แหละที่ทำให้เศรษฐีใหญ่แห่งเกาะฮ่องกงยอมก้มหัวให้คนอื่น?”
“เยี่ยเทียน เธอรู้ไหมว่าเงินจำนวนนี้มีค่าเท่าไหร่?”
ซ่งจือเจี้ยนเห็นเยี่ยเทียนเงียบไปจึงรีบพูดว่า “ทรัพย์สินที่เธอจะได้รับนั้นเป็นเงินมากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเชียวนะ เงินกำไรที่เธอจะได้ในแต่ละปีน่ะ มากพอที่จะทำให้เธออยู่สุขสบายไปหลายชาติ!”
“หลายหมื่นล้าน? เหล่าถังมีทรัพย์สินรวมตั้งหนึ่งพันล้านดอลลาร์ฮ่องกง ให้ตายเถอะ แค่ฉันตกลง ก็จะกลายเป็นคนรวยที่สุดในประเทศทันที?”
เยี่ยเทียนอึ้งไป เขารู้ว่าแม่ของเขามีธุรกิจใหญ่โต แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากมายถึงหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินจำนวนมากขนาดนี้แน่นอนว่าใครได้ยินก็ต้องจิตใจหวั่นไหวเป็นธรรมดา แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ตาม
แต่ดูท่าทางมั่นใจของซ่งจือเจี้ยนแล้ว เยี่ยเทียนสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้ใจเย็นลง
…