บทที่ 447.5 ลมหิมะสอดผสาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เกี่ยวกับสถานะของซูซินไจและอีกสองเรื่องนั้น เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังต่อภูเขาหวงหลี

อันที่จริงผู้ฝึกตนเฒ่าก็ยังจำชื่อของซูซินไจได้ ถึงอย่างไรปีนั้นนางก็เป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ภูเขาหวงหลีฝากความหวังไว้ให้มาก เพียงแต่ว่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากนางลงภูเขาไป ภูเขาหวงหลีไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีจะกล่าวโทษ กลับกันยังเป็นฝ่ายส่งคนไปเยือนเกาะซู่หลินของทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อขออภัยบรรพจารย์เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นอีกด้วย แน่นอนว่าก็มีความคิดที่จะ ‘เปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องมงคล เปลี่ยนเลวให้กลายเป็นดี’ คิดจะผูกสัมพันธ์กับเกาะซู่หลิน จะได้เหมือนการปักธงผืนหนึ่งบนภูเขาหวงหลี สยบกำราบสำนักคู่แค้นที่ทั้งอยู่ไกลและใกล้เหล่านั้น เพียงแต่ตอนนั้นเกาะซู่หลินไม่ได้ให้ผู้ฝึกตนภูเขาหวงหลีเข้าไป เรียกว่าไม่ให้เกียรติกันแม้แต่น้อย ยังดีที่พอผู้ฝึกตนคนนั้นกลับไปถึงภูเขาหวงหลีแล้วก็ได้แอบจงใจปล่อยข่าวที่ตีความหมายได้หลายแง่มุมออกไป จึงถือว่าพอจะหาผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงมาให้แก่สำนักของตัวเองได้บ้าง

ดังนั้นพอได้ยินว่าผู้ถวายงานคนหนึ่งของเกาะชิงเสียมาเยี่ยมเยือน ผู้ฝึกตนเฒ่าหรือจะกล้าเพิกเฉย

เพียงไม่นานบรรพจารย์ของสำนักบนภูเขาหวงหลีก็ออกมาจากจวน พาผู้ฝึกตนหลายคนที่มีอำนาจบนภูเขามาต้อนรับผู้ถวายงานใหญ่เฉินที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อมถึงผู้นี้

สำหรับแคว้นสือหาวแล้ว เกาะพันกว่าเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนที่โอหังยากกำราบ มีอยู่ร้อยกว่าเกาะที่จำเป็นต้องจดจำชื่อให้แม่นยำ ซึ่งในบรรดาเกาะที่ว่านี้ก็ต้องจดจำเกาะใหญ่สิบกว่าแห่งที่รวมไปถึงเกาะชิงจ่ง ลี่ซู่ เทียนหมู่เป็นหนึ่งในนั้นให้ขึ้นใจ ส่วนเกาะชิงเสียก็ยิ่งมีบรรพจารย์ก่อกำเนิดอย่างสกัดคงคาเจินจวินเป็นเทพเซียนพสุธาที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด ซึ่งราวกับอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว ภูเขาหวงหลีไม่ทราบคลื่นลมมรสุมที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนล่าสุดของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เกี่ยวกับเรื่องที่หลิวจื้อเม่านั่งดำรงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพได้อย่างราบรื่นนั้น นอกจากสำนักปลายแถวในแคว้นสือหาวที่การข่าวไม่ว่องไว ตัดขาดกับโลกภายนอกแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาแทบทุกคนก็ล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้

ซูซินไจได้เห็นหน้าบรรพจารย์ของภูเขาหวงหลีที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน น้ำตาร้อนๆ ก็ขึ้นมาเอ่อคลอดวงตา รีบลงไปนั่งคุกเข่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียงทันที

การกระทำนี้ทำให้บรรพจารย์ท่านนั้นและทุกคนของภูเขาหวงหลีตกใจกันยกใหญ่

เฉินผิงอันจึงใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างละมุนละม่อมเล่าเรื่องที่เคยเล่าให้ผู้ฝึกตนตรงประตูภูเขาฟังอีกรอบ

คำกล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำที่ซูซินไจใคร่ครวญออกมาเอง

เฉินผิงอันแค่ทำตามที่นางต้องการเท่านั้น

หลังจากที่ภูเขาหวงหลีรู้ ‘ความจริง’ แล้ว ลึกๆ ในใจของทุกคนก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายนั่งลงแล้ว บรรพจารย์ขอบเขตชมมหาสมุทรที่ไม่มีหวังได้เลื่อนสู่ประตูมังกรท่านนั้นก็ถึงกับหันมาพูดจาปราศรัยกับแม่หนูที่เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากซูซินไจคนเดิมในปีนั้น ซึ่งในคำพูดคำจาก็ยังพอจะมีความจริงใจให้เห็นไม่มากก็น้อย สำหรับการที่ซูซินไจยังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ในอดีตก็ยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนของภูเขาหวงหลีสะท้อนใจไม่หยุด

จากนั้นซูซินไจก็ได้ไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักอย่างราบรื่น ซึ่งบรรพจารย์ภูเขาหวงหลีเป็นผู้ส่งมอบธูปให้นางด้วยตัวเอง

สุดท้ายซูซินไจไปที่หน้าหลุมศพของอาจารย์ ครั้งนี้มีแค่เฉินผิงอันและเจิงเย่สองคนเท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง นางปฏิเสธบรรพจารย์และผู้ฝึกตนอาวุโสคนอื่นๆ ของภูเขาหวงหลีไปอย่างละมุนละม่อม

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนคนหนึ่งมองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้นที่ห่างไปไกลก็อดพูดอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ “ผู้ถวายงานเฉินที่เดินทางมาไกลจากเกาะชิงเสียคนนี้ช่าง…นิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลยจริงๆ”

บรรพจารย์ภูเขาหวงหลียิ้มเอ่ย “ที่เจ้าพูดนี่หมายความว่าไง สรุปจะชมคนหรือด่าคนกันแน่? โชคดีที่ผู้ถวายงานเฉินไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นแค่ประโยคนี้ของเจ้า เกรงว่ามากพอจะทำให้ภูเขาหวงหลีเล็กๆ ของเราต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่”

แต่เพียงไม่นานบรรพจารย์ภูเขาหวงหลีก็ลูบหนวดคลี่ยิ้ม “แต่นิสัยเขาก็ไม่เหมือนหน้าตาจริงๆ หน้าตาธรรมดา บนร่างก็ไม่ได้พกสมบัติอาคมเป็นประกายแวววาวสะดุดตาเลยสักชิ้น หากไม่เป็นเพราะแผ่นหยกผู้ถวายงานแผ่นนั้นก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อได้จริงๆ ว่าผู้ฝึกตนที่หนุ่มขนาดนี้จะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียแล้ว! ร้ายกาจนัก ตาแก่หนังเหนียวที่ไม่ได้ความอย่างพวกเรา เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้จริงๆ”

ไม่รอให้ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดอะไรอีก

บรรพจารย์กลับชำเลืองตามองเขา ส่ายหน้าเบาๆ “ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะให้ภูเขาหวงหลีของพวกเราทำอะไรอีกหรือ? รังเกียจว่าเรื่องดีไม่ดี กินอิ่มแล้วว่างงานก็เลยคิดจะทำเรื่องจำพวกวาดงูเติมขาหรืออย่างไร?”

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนรีบพยักหน้ารับอย่างเข้าใจทันที

แม้ว่าจะเดินห่างไปไกลมากแล้ว ซูซินไจกลับสังเกตเห็นสีหน้าระอาใจของเฉินผิงอันอย่างเฉียบไว จึงยิ้มถามว่า “เป็นอะไรไป? พวกบรรพจารย์บนภูเขานินทาข้าลับหลังว่าอะไรหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มส่ายหน้า “เปล่าสักหน่อย กำลังชมข้าอยู่ต่างหาก”

ซูซินไจเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ทำไม หรือกำลังพูดว่าท่านเฉินอายุน้อยมีความสามารถ นับว่าพอเข้าที หากชมอย่างนี้ท่านเฉินสามารถตอบรับอย่างตรงไปตรงมาได้ แต่หากชมว่าท่านเฉินหน้าตาหล่อเหลา สง่างามองอาจ ท่านเฉินอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาดเชียว”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “สมกับคำว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบ้านเดียวกันจริงๆ สายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขาหวงหลีอย่างพวกเจ้าไม่ต่างกันสักเท่าไหร่เลย”

ซูซินไจหัวเราะทันใด

หลังจากนั้นนางก็เริ่มเดินช้าลง

เฉินผิงอันจึงชะลอฝีเท้าให้ช้าตามไปด้วย

ภูเขาด้านหลังภูเขาหวงหลีที่ปราณวิญญาณเบาบางห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับแถบของเกาะชิงเสียได้ติด สถานที่แห่งหนึ่งที่พอจะถือว่าน้ำใสภูเขาเขียวขจี หน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง

หลังจากจุดธูปเสร็จก็โขกหัวคำนับ

ซูซินไจหยุดค้างไว้เป็นนานไม่ยอมลุกขึ้น

เฉินผิงอันนั่งอยู่ห่างไปไกล เอื้อมมือไปคว้าดินมากำเล็กๆ แล้วคลึงเบาๆ

เจิงเย่มองแผ่นหลังของซูซินไจอยู่ไกลๆ เด็กหนุ่มรู้สึกเพียงความเสียใจและความเสียใจ

หลังจากซูซินไจลุกขึ้นยืนแล้วเช็ดน้ำตา เดินมาหาเฉินผิงอันด้วยสีหน้าปล่อยวาง หว่างคิ้วไม่เหลืออารมณ์กลัดกลุ้มอยู่อีกแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันทิ้งดินในมือ ลุกขึ้นยืน

ซูซินไจยิ้มบางๆ “ท่านเฉินสามารถเก็บกระดาษยันต์ได้แล้ว”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ เก็บยันต์หนังจิ้งจอกกลับเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ

ด้านหน้ามีเพียงสตรีวัตถุหยินที่หวนกลับคืนมามีรูปลักษณ์ดังเดิม

เฉินผิงอันถาม “ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อในยันต์หนังจิ้งจอกจริงๆ หรือ? ต่อให้มีงานพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น แต่เรื่องไปจุติเกิดใหม่ก็ยัง…”

ซูซินไจกลับส่ายหน้าเสียก่อน “ข้าไม่เสียใจ ไม่เลยสักนิดเดียว”

นางถอยหลังไปหลายก้าว คลี่ยิ้มหวาน แล้วยอบกายคารวะนักบัญชีที่หน้าซีดขาวไม่ได้ดูดีไปกว่าวัตถุหยินเท่าใดอย่างแช่มช้อย

จากนั้นนางก็หันหน้ามาพูดกับเจิงเย่ที่น้ำตาคลอก่อนว่า “เด็กโง่ วันหน้าติดตามท่านเฉินต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี จำไว้ว่าต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลาง กลายเป็นเซียนดินคนหนึ่งให้จงได้!”

เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างแรง

จากนั้นนางก็มองมาทางเฉินผิงอัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอให้ท่านเฉินทำทุกอย่างสำเร็จดังใจปรารถนา ไร้ทุกข์ไร้กังวล”

เฉินผิงอันถามน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่พิจารณาอีกหน่อยหรือ?”

ซูซินไจกล่าวอีกว่า “ขอให้ท่านเฉินกับแม่นางที่รักคนนั้นได้ผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียน”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือกุมหมัด “แม่นางซู หากมีวาสนาก็ขอให้เราได้พบกันอีกครั้ง”

ซูซินไจน้ำตาอาบหน้า แต่กลับยิ้มเอ่ยอย่างเบิกบานใจว่า “ถึงเวลานั้น ท่านเฉินห้ามจำข้าไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ

ซูซินไจเอียงศีรษะน้อยๆ จ้องมองดวงตาคู่นั้นของคนหนุ่มราวกับกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าเขาโกหกอยู่หรือไม่ สุดท้ายก็ยิ้มกว้าง “ฮ่า ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่แท้ท่านเฉินของพวกเราหล่อเหลาอย่างถึงที่สุด”

เฉินผิงอันเค้นรอยยิ้มส่งไปให้นาง พลางชูนิ้วโป้งที่สั่นระริกขึ้นมา “แม่นางคนนี้ สายตาไม่เลว”

ซูซินไจไม่เหลือความยึดมั่นอยู่อีก จิตวิญญาณของนางเริ่มแหลกสลายไปทีละเล็กทีละน้อย ประหนึ่งภาพวาดสาวงามที่ถูกไฟไหม้จนสิ้น เศษธุลีปลิวกระจายกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง

เฉินผิงอันโบกมือบอกลานาง

เจิงเย่ปิดหน้าร่ำไห้

สุดท้ายเฉินผิงอันตบไหล่เด็กหนุ่ม “ไปกันเถอะ”

เจิงเย่ไหล่ลู่คอตก พยักหน้ารับเบาๆ

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงแผ่ว “หากชอบแม่นางซูมากขนาดนั้นจริงๆ ในเมื่อถึงท้ายที่สุดแล้วชีวิตนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้บอกว่าชอบนางก็ไม่เป็นไร อีกหลายสิบปีหรือร้อยกว่าปีในภายภาคหน้า ต่อให้ต้องตามหาไปทั่วโลกมนุษย์ เจ้าก็ต้องหานางให้พบอีกครั้ง แล้วบอกกับนางดังๆ ว่าตัวเองชอบนาง หากร้อยปีไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็พยายามกลายเป็นเซียนดินที่อายุยืนยาวแข่งกับฟ้าดินให้จงได้ ขอแค่ตอนนั้นยังคงชอบนางอยู่ก็ให้ตั้งใจฝึกตนและออกเดินทางไกลหมื่นลี้ไปพร้อมๆ กัน ต่อให้ต้องตามหานางพันปีแล้วจะเป็นไรไป”

เจิงเย่พลันเงยหน้าขึ้น พูดเสียงสะอื้น “แต่คุณสมบัติในการฝึกตนของข้าย่ำแย่”

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เจิงเย่ หากเจ้ายังไม่ได้ทุ่มเทความพยายามเหนือคนปกติทั่วไป เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดว่าพรสวรรค์ของตัวเองไม่ดี คุณสมบัติแย่! คำพูดประเภทนี้ เจ้าจะเอาไปพูดกับคนอื่นพันครั้งหมื่นครั้ง ข้าไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับข้า ขอแค่เจ้ายังอยากฝึกตนกับข้าก็พูดได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”

เจิงเย่อึ้งตะลึง

เฉินผิงอันขยับเท้าก้าวนำไปก่อน พูดกับเจิงเย่เป็นประโยคสุดท้ายว่า “ข้าจะรอเจ้าที่หน้าประตูภูเขา ก่อนหน้านั้นข้าจะไปบอกลากับผู้ฝึกตนของภูเขาหวงหลี เจ้าไม่ต้องตามมาแล้ว คำพูดในใจบางอย่างเจ้าสามารถพูดอยู่ตรงนี้คนเดียวได้ ส่วนจะพูดออกมาจากปากหรือไม่ก็ไม่สำคัญ จะจดจำไว้ในใจอย่างยาวนานได้จริงหรือไม่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นข้อพิสูจน์ให้รู้ว่าเจ้าชอบแม่นางซูมากน้อยแค่ไหน แต่ข้าขอพูดประโยคหนึ่งที่เจ้าอาจจะไม่ชอบฟังสักเท่าไหร่ ต่อให้อีกไม่กี่เดือนหรืออีกไม่กี่ปีข้างหน้าเจ้าจะไปชอบผู้หญิงคนอื่นแล้ว ข้าก็ไม่มีทางดูแคลนเจ้าเจิงเย่ด้วยเรื่องนี้ แต่ถ้าหาก…ถ้าหากเจ้าสามารถจดจำแม่นางซูได้ตลอดเวลา ข้าจะต้องมองเจ้าเจิงเย่ในทางที่สูงขึ้นแน่นอน!”

เฉินผิงอันทิ้งเจิงเย่ไว้ตรงนั้นคนเดียว ส่วนตัวเองย้อนกลับไปขอบคุณและบอกลาผู้ฝึกตนภูเขาหวงหลีเพียงลำพัง

เขาค่อยๆ เดินลงเขาช้าๆ

ตอนที่มานั่งอยู่บนขั้นบันไดล่างสุดของประตูภูเขา

หันหน้ากลับไปก็เห็นว่าเด็กหนุ่มสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงลงภูเขามา

……

บนถนนซงเฮ้อในเขตการปกครองแห่งหนึ่งของแคว้นสือหาวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง มีจวนสกุลหม่าที่ธรณีประตูสูงอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เดิมทีก็เป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ภายหลังเป็นเพราะให้กำเนิดบุตรสาวที่ดีที่มีชีวิตสูงส่งยิ่งกว่าเชื้อพระวงศ์ เป็นเหตุให้ตระกูลได้พัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตการปกครองที่กว้างใหญ่ เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่มีเทศกาลสำคัญ ใต้เท้าผู้ตรวจการมณฑลที่หยิ่งทระนงวางตัวสูงส่งเหนือใครคนนั้นก็ยังต้องส่งคนไปเป็นแขกที่จวนสกุลหม่าด้วยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ช่วงสิ้นปี เช้าตรู่ของวันนี้เสียงกีบเท้าม้าดังก้องสะท้อนอยู่บนถนนใหญ่ที่ปูด้วยหินเขียวเป็นระลอก มีทหารม้าสามนายควบม้าเข้ามายังถนนซงเฮ้อในเมืองแห่งนี้ก่อนผู้ใด

เนื่องจากไฟสงครามได้ลุกลามมาถึงแถบใจกลางของแคว้นสือหาวซึ่งถูกกั้นขวางไว้แค่มณฑลแห่งเดียวแล้ว สิ้นปีของปีนี้ ถนนซงเฮ้อจึงไม่มีกลิ่นอายมงคลของวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงอย่างในอดีตอีก

ทหารม้าทั้งสามพากันลงจากหลังม้า

บุรุษหนุ่มหน้าตาอิดโรยคนหนึ่งสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียว แต่กลับพกดาบและกระบี่เลียนแบบจอมยุทธพเนจร

ชายหญิงสองคนข้างกายที่ทำหน้าที่จูงม้า หญิงสาวเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น น่าเสียดายที่สวมหมวกปิดคลุมใบหน้า และยังมีเด็กหนุ่มร่างกายบึกบึนที่สะพายหีบไม้ไผ่ไว้ด้านหลังอยู่อีกคน

คนเฝ้าหน้าประตูคือบุรุษวัยกลางคนที่แต่งกายไม่เป็นรองเศรษฐีผู้มีอิทธิพลในอำเภออ้าปากหาวหวอด ชำเลืองตามองคนต่างถิ่นที่เป็นผู้นำคนนั้นแล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจนัก เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าคนผู้นี้มาจากเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนก็พลันสะดุ้งโหยง ไม่เหลือความง่วงงุนอยู่อีกเลย เขารีบก้มหน้าค้อมเอว บอกว่าเซียนซือโปรดรอสักครู่ เขาจะไปแจ้งเจ้าประมุขเดี๋ยวนี้ คนเฝ้าประตูผู้นั้นวิ่งเร็วๆ ออกไป ยังไม่ลืมหันหน้ามายิ้มกล่าวว่าขอเซียนซือหนุ่มโปรดอย่าร้อนใจ เขาจะต้องรีบไปรีบกลับแน่นอน

จวนแห่งนี้กว้างใหญ่ ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา คนเฝ้าประตูที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะก็เร่งร้อนเดินมาพร้อมกับบุรุษร่างผอมบางท่าทางสุภาพสง่างามซึ่งจอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาคนหนึ่ง

ด้านหลังคนทั้งสองคือผู้เฒ่าที่ก้าวเดินไม่รีบร้อน แต่กลับเดินไม่ช้าแม้แต่น้อย ลักษณะคล้ายอาจารย์ในโรงเรียน

สตรีที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมหน้าน้ำตาเอ่อคลอดวงตาอยู่นานแล้ว เพียงแต่นางกัดริมฝีปากไว้แน่น ไม่เปิดปากเอ่ยอะไร

เฉินผิงอันหยิบแผ่นหยกแผ่นนั้นออกมา อาจารย์ผู้เฒ่ารับเอาไปตรวจดูทั้งด้านตรงและด้านหลังอย่างละเอียด ก่อนจะส่งมอบกลับคืนไปให้เฉินผิงอันอย่างนอบน้อม เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้ถวายงานมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับแต่ไกล”

เจ้าประมุขสกุลหม่าสะกดกลั้นความตกตะลึงระคนยินดีและความกริ่งเกรงในใจเอาไว้ รีบเชื้อเชิญให้คนทั้งสามที่เดินทางไกลมาจากเกาะชิงเสียเข้าไปในจวนของตัวเอง

เดิมทีสกุลหม่ายังคิดจะใช้พิธีเปิดประตูกลางต้อนรับเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ แต่กลับถูกเซียนซือหนุ่มคนนั้นปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม

เฉินผิงอันใช้คำพูดที่ปรึกษากับสตรีซึ่งในอดีตเป็นทายาทสายตรงสร้างความรุ่งโรจน์ให้แก่จวนสกุลหม่ามาตั้งแต่แรก มาเอ่ยกับเจ้าประมุขที่อายุเกือบร้อยปีแต่กลับยังสุขภาพแข็งแรงผู้นี้อย่างตรงไปตรงมาว่า “หม่าตู่อี๋ที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน แรกเริ่มสุดเป็นผู้ฝึกตนของเกาะซงเฟิง แต่ได้ไปเกิดใหม่ในสำนักของผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีนามว่าเส้าต้งเทียน เดิมทีไม่มีหวังบนมหามรรคา ภายหลังหม่าตู่อี๋ได้รับโชควาสนาอย่างอื่น จึงได้เดินเข้าสู่การฝึกตนที่แท้จริง โชคดีที่อยู่สายเดียวกับข้า ตอนนี้จึงถือว่าเป็นรุ่นหลานของข้า ดังนั้นข้าออกเดินทางไกลมาครั้งนี้จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนสกุลหม่าของพวกเจ้าโดยเฉพาะ”

คำกล่าวประโยคนี้ ในฐานะแขก อันที่จริงถือว่าไม่เกรงใจกันอย่างมากแล้ว ประหนึ่งคนที่หลุบตามองเหยียดคนอื่น สอดคล้องกับน้ำเสียงของผู้ฝึกตนทะเลสาบซูเจี่ยนคนหนึ่ง แล้วก็สอดคล้องกับลักษณะของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลชั้นสูงบนยอดเขาของแคว้นสือหาวอย่างมาก

แต่เจ้าประมุขสกุลหม่าก็ดี ผู้ถวายงานของตระกูลคนนั้นก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้จึงจะถูก

—–