บทที่ 447.6 ลมหิมะสอดผสาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เพราะบางทีพวกเขาคงต้องลองประเมินดูว่าสถานะผู้ถวายงานของคนหนุ่มตรงหน้าเป็นจริงหรือเท็จแล้วจริงๆ เพราะอีกฝ่ายอาจเห็นว่าตอนนี้สกุลหม่าตกอยู่ในสภาวะล่อแหลม ก็เลยคิดจะมาหลอกเล่นงานพวกตน ไม่อย่างนั้นมากสุดพวกเขาก็แค่ต้องตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ให้อีกฝ่ายได้กินอิ่มหนำ แล้วค่อยรีบส่งเทพออกไปจากบ้าน เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็น ถึงอย่างไรตอนนี้สิ่งที่สกุลหม่าต้องการก็คือการส่งถ่านท่ามกลางหิมะที่แท้จริง ไม่ใช่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรที่ไม่เจ็บไม่คันอะไรนั่น

แม้ว่าจะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในตัวตนของผู้ถวายงานเกาะชิงเสียที่อยู่ตรงหน้า แต่ถึงอย่างไรส่วนที่เชื่อก็มากกว่า ดังนั้นคำพูดคำจาจึงยิ่งเกรงใจ จนแทบจะใกล้เคียงกับการประจบเอาใจ

อย่างไรเสียการพูดจาอย่างมีมารยาท ต่อให้พูดเป็นกระบุงโกยก็ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว

สกุลหม่ามีทรัพย์สมบัติได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าอาศัยแค่การอ่านตำราอริยะปราชญ์อย่างยากลำบากของรุ่นบรรพบุรุษ และรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเดียวเท่านั้น

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือหลายสิบปีมานี้ สกุลหม่ามีหน้ามีตามากเกินไป ทำอะไรก็ราบรื่นไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าเงินจากฝ่ายไหนก็ล้วนอยากได้ ผลคือกลับได้ปัญหาใหญ่เทียมฟ้ามาแทน สกุลหม่าไม่กลัวเรื่องการใช้เงินแก้ปัญหา กลัวก็แต่ว่าจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อไปแล้ว แต่ที่ได้มาไม่ใช่ยันต์คุ้มครองชีวิตที่สามารถฟาดเงินสะเดาะเคราะห์ แต่เป็นยันต์เร่งเอาชีวิตเสียมากกว่า

หากเซียนซือหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์อาคนใหม่ของหม่าตู่อี๋จริง ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นเรื่องมงคลอย่างใหญ่หลวง!

แคว้นสือหาวในทุกวันนี้ ตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงระดับท้องถิ่น คำพูดของผู้ฝึกตนเทพเซียนคนหนึ่งที่มีน้ำหนักมากพอยังใช้ได้ผลยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่ที่น่าสงสารในที่ว่าการหกกรมกลุ่มนั้นเสียอีก!

เข้ามานั่งในห้องโถงใหญ่ เฉินผิงอันก็ยังคงพูดจาอย่างกระชับเรียบง่าย บอกว่าเขากับหม่าตู่อี๋สนิทกันไม่น้อย หากสกุลหม่าเจอเรื่องยากลำบาก เขาก็จะพยายามช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้มากที่สุด หากฐานะทางตระกูลมั่นคงดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดูว่าในตระกูลมีต้นกล้าที่ดีที่เหมาะกับการฝึกตนหรือไม่ เพราะหากมีโชควาสนาเช่นนี้จริง ถึงเวลานั้นต้นกล้าที่ดีต้นนั้นจะถูกส่งตัวไปฝึกตนที่ทะเลสาบซูเจี่ยน หรือจะให้เขาทิ้งเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งไว้ให้ก็ล้วนได้ทั้งสองอย่าง

สามวันต่อมา ม้าทั้งสามตัวก็ออกไปจากเมือง

สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าอยู่ตลอดเวลาผู้นั้นหันกลับไปมองกำแพงเมืองแวบหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน

หลังจากที่ผู้ถวายงานหนุ่มของเกาะชิงเสียปรากฏตัว เรื่องสำคัญเร่งด่วนของสกุลหม่าในตอนนี้ก็คือไปเยือนจวนผู้ตรวจการมณฑลมารอบหนึ่ง แล้วก็ผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่น

เด็กสกุลหม่าคนหนึ่งที่พอจะมีคุณสมบัติเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ห้าได้อย่างถูไถได้ไปอยู่ในสำนักของเทพเซียนผู้เฒ่าคนหนึ่งของเขตการปกครองแล้วเริ่มฝึกตน ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่แค่ได้รับการบันทึกชื่ออะไร แต่เป็นลูกศิษย์เข้าสำนักอย่างแท้จริง จำเป็นต้องได้รับการจดบันทึกไว้ในที่ว่าการของราชสำนักอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าเด็กคนนั้นนอกจากจะมีอาจารย์ในนามแล้ว ทางตระกูลยังคอยสนับสนุนเงินเทพเซียนให้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกปีเงินจำนวนนี้จะเข้าไปในกระเป๋าของอาจารย์ แน่นอนว่าไม่ได้เอามาใช้ปูทางในการฝึกตนของเด็กคนนั้นทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเด็กคนนั้นไม่มีเรื่องให้ต้องคอยกังวลในภายหลังอีกแล้ว เพราะเขาจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์ที่เป็นของเขาอย่างแท้จริงมาได้ไม่มากก็น้อย

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนหลังม้าไม่เอ่ยอะไร

ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทางโลกอย่างเจิงเย่ ตลอดหลายวันที่อยู่ในจวนสกุลหม่านี้ เขาก็ยังมองออกว่าตั้งแต่เจ้าประมุขสกุลหม่ามาจนถึงสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้น ต่างก็ไม่เหลือความผูกพันอะไรต่อหม่าตู่อี๋บุตรสาวที่ไปจากข้างกายนานแล้วอีกต่อไป ในถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยแฝงไว้ด้วยการสอบถามนั่นนี่อย่างระมัดระวัง ถามประวัติความเป็นมาของสำนักหม่าตู่อี๋ ถามถึงขอบเขตและตบะของหม่าตู่อี๋ เลียบๆ เคียงๆ ถามว่าผู้ฝึกตนหนุ่มมีคู่บำเพ็ญเพียรแล้วหรือยัง…สรุปก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับหม่าตู่อี๋เปลี่ยนจากผู้ฝึกตนเกาะซงเฟิงไปเป็นผู้ฝึกตนเกาะชิงเสีย สองสามีภรรยาแค่ถามพอเป็นพิธีคำสองคำ แต่นั่นก็เหมือนคำพูดตามมารยาทในงานเลี้ยงรับรองของวงการขุนนางหรือในงานเลี้ยงสุราทั้งหลายที่ควรต้องพูดถึงสักหน่อย มีถามมีตอบ อันที่จริงไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก เพราะไม่อย่างนั้นบรรยากาศจะกระอักกระอ่วนเกินไป แค่นี้เท่านั้น

ความห่างเหินระหว่างความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก บางทีอาจเป็นเพราะหม่าตู่อี๋จากบ้านไปนานเกินไป การฝึกตนบนเกาะซงเฟิงไม่ราบรื่น ทำให้บรรพจารย์รู้สึกผิดหวัง จนกระทั่งตายไปก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตห้า ไม่สามารถออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเกิดได้ ดังนั้นระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจึงมีมากเกินไป บางทีพ่อแม่อาจรู้สึกว่าสถานะของบุตรสาวแตกต่างไปจากตนแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะควันธูปของลูกหลานโชติช่วง บุตรชายหญิงที่อยู่ใกล้ชิดย่อมได้รับความชื่นชอบจากผู้อาวุโสในตระกูลมากกว่าบุตรสาวที่ ‘แต่งออกไปไกล’ …เหตุผลอาจมีร้อยพันอย่าง แต่เรื่องจริงกลับมีเพียงอย่างเดียว

เวลานี้ไม่ว่าคำพูดใดๆ ของคนนอกก็มีแต่จะกลายเป็นดั่งการจ้วงมีดลงบนหัวใจ พูดหนึ่งคำก็เจ็บปวดหนึ่งครั้ง

ดังนั้นครั้งหนึ่งระหว่างหยุดม้า เฉินผิงอันจึงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เจิงเย่ ไม่ให้เด็กหนุ่มนิสัยซื่อใสที่อดใจไม่ไหวเตรียมจะเปิดปากเอ่ยปลอบใจสักสองสามคำพูดอะไรออกมา

เฉินผิงอันไม่ได้เก็บยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกซึ่งเป็นที่พักพิงของหม่าตู่อี๋แผ่นนั้นลงไป แต่ปล่อยให้นางขี่ม้าผ่อนคลายอารมณ์ ติดตามพวกเขาไปยังสถานที่ถัดไป

ผ่านไปสองวันสายตาของเจิงเย่ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทว่ารูปโฉมและน้ำเสียงกลับคงเดิม แต่ดวงตาของคนก็คือหน้าต่างของหัวใจ ง่ายที่จะส่งผลต่อการรับรู้ทางรูปลักษณ์ของผู้อื่น

ในที่สุดหม่าตู่อี๋ก็เลิกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงเป็นเพราะรู้สึกว่าสภาพของเจิงเย่ในเวลานี้ค่อนข้างจะน่าสนใจ

นั่นเป็นเพราะมีจิตหยินของนักการคนหนึ่งบนเกาะชิงเสียเริ่มเข้ามาสิงร่างเจิงเย่ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างไปจากการ ‘เชิญเทพเข้าร่าง’ ‘เปิดประตูรับวิญญาณ’ ที่ผู้ฝึกตนอิสระทั่วไปเชี่ยวชาญอยู่บ้าง

ส่วนวิธีการที่แท้จริงนั้น หม่าตู่อี๋ย่อมมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก

ขยับเข้าไปใกล้หมู่บ้านในป่าเขาแห่งหนึ่ง

ก็เห็นหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ต่อให้จะมีรอยปะชุน ก็ยังไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางยากจนตกอับอยู่ดี

นางเพิ่งจะกลับมาจากซักผ้าริมลำธาร ในมือคล้องตะกร้าสานใบใหญ่ ขาที่ก้าวเดินกะโผลกกะเผลก

สำหรับหญิงชราบ้านป่าที่อายุมากคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ชีวิตคนและเรื่องราวทางโลกผ่านการขัดเกลามามากมาย แค่ใช้ชีวิตที่ยากลำบากโดยไร้คำพร่ำบ่นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว คนจนอยากมีชีวิตเหมือนคนรวยย่อมยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่หากอยากมีชีวิตที่อิสระเสรีผ่อนคลายกลับยากยิ่งกว่า

‘เจิงเย่’ พลิกกายลงจากหลังม้า วิ่งตะบึงโซซัดโซเซไปด้านหน้า มาหยุดอยู่ข้างกายหญิงชราแล้วทรุดตัวลงคุกเข่า เอาแต่โขกศีรษะคำนับเสียงดังตึงๆ

หญิงชรามีสีหน้ามึนงง นางรีบวางตะกร้าสานลง ไม่มีเวลามาสนใจว่าเสื้อผ้าที่เพิ่งซักสะอาดจะเปื้อนดินหรือไม่ นางทรุดตัวลงนั่งอย่างเปลืองแรงเล็กน้อย คิดจะช่วยประคองเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ขึ้นมา นางถามอย่างร้อนใจด้วยภาษาท้องถิ่นที่ทั้งเฉินผิงอันและหม่าตู่อี๋ต่างก็ไม่เข้าใจ “นี่เจ้าทำอะไรกัน? นี่เจ้าทำอะไร? อย่าทำแบบนี้ อย่าทำแบบนี้…”

คืนนั้น

ในบ้านของหญิงชรามีสาวงามยันต์หนังจิ้งจอกโผล่มาเพิ่มอีกหนึ่งคน ทว่าด้านในกลับมีบุรุษคนหนึ่งอาศัยอยู่ บนโต๊ะวางเงินเทพเซียนหนึ่งกองที่คนผู้หนึ่งซึ่งจากไปทิ้งเอาไว้ ปราณวิญญาณในเงินกองนี้มากพอจะให้เขาประคับประคองตัวเองไปยี่สิบปี

มากพอจะให้เขาอยู่ต่อเพื่อดูแลหญิงชราในช่วงบั้นปลายชีวิตจนกระทั่งนางจากไป

หลังจากแขกพากันจากไปไกลแล้ว หญิงชราและ ‘หลานชาย’ ที่จากบ้านไปนานหลายปีผู้นี้ก็จับมือกันและกัน นั่งหลั่งน้ำตาอยู่ตรงข้ามกัน

บนทางสายเล็กของหมู่บ้านชนบท ยังคงเป็นม้าสามตัวที่จากไป

จิตวิญญาณของเจิงเย่แกว่งไกวเล็กน้อย จำเป็นต้องสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ

คนทั้งสามเดินทางกลับพร้อมกันอย่างไม่รีบร้อน

หม่าตู่อี๋พลันเอ่ยขึ้นว่า “หญิงชราคนนั้นเป็นคนดี แต่ตอนนี้ที่รู้ความจริงก็ไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับเจ้า ใช้ชีวิตแลกชีวิต แม้เหตุผลจะถูกต้อง แต่นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าคิดว่านางควรจะพูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้นี่แหละถึงจะถูกต้องแล้ว”

หม่าตู่อี๋พลันแค่นเสียงเย็น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เห็นไหม ขนาดนั้นหญิงชราบ้านป่าคนหนึ่งยังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ยิ่งกว่าพ่อแม่ใจดำของข้าเสียอีก!”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “โมโหแทบตายแล้วใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นกลับไปที่เมือง ให้ข้าทวงเงินเทพเซียนก้อนนั้นคืนมาแทนเจ้า? แล้วค่อยช่วยเจ้าด่าพ่อแม่เจ้าสักรอบ? ตามกฎเดิม เจ้าคิดหาถ้อยคำ ส่วนข้าจะเป็นคนพูดเอง”

หม่าตู่อี๋ที่นั่งอยู่บนหลังม้าซึ่งเยาะย่างเนิบช้าหันมาทำเสียงถุยใส่นักบัญชี “ฝันไปเถอะ! สมกับเป็นนักบัญชีที่ถูกเงินบังตาจริงๆ มีโอกาสได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ยอมให้พลาดสักนิด”

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

หม่าตู่อี๋พลันพูดกลั้วหัวเราะ “รู้หรือไม่ว่าทำไมพ่อแม่ข้าถึงตั้งชื่อนี้ให้ข้า? เพราะตอนที่ข้ายังไม่เกิด หมอตำแยพูดจาอย่างน่าเชื่อถือว่าต้องเป็นบุตรชายตัวอ้วนใหญ่แน่นอน ผลคือพอข้าคลอดออกมา ท่านพ่อที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินว่าเป็นลูกสาวก็อึ้งตะลึงไปทันที ก่อนจะกระทืบเท้าเดินหนีไปด้วยความขุ่นเคือง เพียงแต่สุดท้ายก็ยังย้อนกลับมาด้วยความโกรธ ในอดีตท่านแม่ข้าเคยพูดกับข้าอยู่บ่อยๆ ว่า ครั้งแรกที่พ่อของเจ้าได้เห็นเจ้าที่เหมือนหยกสีชมพูแกะสลัก ไม่เหมือนเด็กทั่วไปที่ตอนเกิดใหม่จะหน้าตาอัปลักษณ์แม้แต่น้อย กลับกันยังงดงามอย่างมาก ท่านพ่อเจ้าก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง ใช่แล้ว รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงชื่อ ‘ตู่อี๋’? ข้าถามเจ้าอยู่นะ ท่านเฉินผู้ยิ่งใหญ่!”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มแล้วส่ายหน้า

หม่าตู่อี๋โคลงศีรษะไปมาเหมือนอาจารย์ในโรงเรียนในวัยเด็กที่ตนไม่ชอบอย่างถึงที่สุด “พรสวรรค์สูงส่ง บวกกับการมานะตั้งใจเรียน เชี่ยวชาญชำนาญ ก้าวย่างลำพังบนมหามรรคา เหมาะสมยิ่งแล้ว!” (ในประโยคมีคำว่าตู่ และคำว่าอี๋)

เฉินผิงอันถาม “ไม่ใช่ ‘ก้าวย่างลำพังอย่างโดดเด่น’ หรอกหรือ?”

หม่าตู่อี๋กุมท้องหัวเราะก๊าก “ดีนักนะ ท่านอาจารย์เฉิน ถูกข้าดึงหางจิ้งจอกออกมาได้แล้วสินะ?!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เอาเถอะๆๆ เจ้าฉลาดนักล่ะ”

หม่าตู่อี๋หันหน้ามาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านเฉิน ทำอย่างนี้กับพวกเรา เพื่ออะไรกัน?”

เฉินผิงอันปล่อยมือที่กำเชือก สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย พูดพึมพำว่า “นั่นสิ เพื่ออะไรกัน?”

หม่าตู่อี๋จ้องมองซีกหน้าที่ค่อนข้างผอมตอบอย่างเหม่อลอย ไร้ความรู้สึกรักหลงของชายหญิง เพียงแค่มองแล้วรู้สึกเวทนา ถึงขั้นกลบทับความรู้สึกเสียใจที่ลอยเวียนวนอยู่ในหัวใจของตัวเองลงไปได้

จากนั้นก็เห็นว่าบุรุษสวมชุดผ้าฝ้ายหดมือกลับมา ปรบมือหนึ่งครั้ง “มีคำตอบแล้ว!”

หม่าตู่อี๋ทำหน้าสงสัยใคร่รู้

นักบัญชีที่ตรงเอวห้อยดาบสลับกับกระบี่คลี่ยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างที่หาได้ยาก “เหมาะสมยิ่งแล้ว! เพราะเหมาะสมยิ่งแล้ว!”

หม่าตู่อี๋หัวเราะตามไปด้วย เพียงแต่ปากกลับพูดว่า “คำตอบกะผายลมสุนัขอะไร”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “หากยังบ่นมากอีก ระวังข้าจะเก็บเจ้ากลับไป”

หม่าตู่อี๋ไม่กลัวแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของเขา “สถานที่ถัดไปคือที่ใด?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม หรี่ตามองไปไกลพลางพึมพำเบาๆ “อยู่ในโลกมนุษย์ก็แล้วกัน”

หม่าตู่อี๋หัวเราะเสียงสูง “เหมาะสมยิ่ง!”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะตามไป “ประเสริฐ”

เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ไกลห่างไปจากหมู่บ้านชนบทที่มีแต่เสียงหมาเห่าไก่ขัน

หิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ใหญ่ที่สุดซึ่งตกเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้มาเยือนอย่างกะทันหัน

กลางดึกที่ลมหิมะพัดหวีดหวิว

พวกเขาเดินทางออกห่างมาไกลจากหมู่บ้านนานแล้ว

วัตถุหยินเช่นหม่าตู่อี๋ไม่หวาดกลัวหิมะหนาวเหน็บแม้แต่น้อย ยังคงผ่อนคลายสบายอารมณ์ ระหว่างนั้นยังท่องกลอนร้องเพลง บอกว่าหิมะใหญ่เหมือนวิหคบิน มองไปเห็นเพียงชายคาราบเรียบ ออกจากบ้านลมหนาวปะทะใบหน้า…

เฉินผิงอันที่อยู่บนหลังม้ากวาดตามองไปรอบด้านอยู่หลายครั้ง พยายามมองหาสถานที่พักพิงที่สามารถหลบลมหิมะได้ พอได้ยินประโยคนี้ของนางก็อดบ่นเสียงสั่นไม่ได้ “แค่ลมหนาวปะทะใบหน้าเสียที่ไหน นี่มันหนาวจนเกือบจะทำให้คนแข็งตายอยู่แล้ว…”

หม่าตู่อี๋หัวเราะคิกคัก “อาจารย์เฉิน คราวนี้ยังประเสริฐอยู่อีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง เขาเปลี่ยนจากนั่งอยู่บนหลังม้ามาเป็นยืนอยู่บนหลังของมัน พยายามมองไปให้ได้ไกลที่สุด ครู่หนึ่งต่อมา ในที่สุดก็สังเกตเห็นว่ามุมหนึ่งที่ห่างไปไกลคล้ายจะมีประกายแสงไฟให้เห็นวับแวม

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

ระยะทางที่คนทั้งสามขี่ม้ากันมานี้ถือเป็นการย้อนกลับทางเดิม ภาพบรรยากาศที่ได้พบเห็นมาก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันแอบจดจำไว้ในใจเงียบๆ แล้ว และเดิมทีไม่ควรจะมีแสงสว่างเช่นนี้ถึงจะถูก

และในขณะที่เฉินผิงอันคิดจะฝืนทนกับความหนาวเย็นจากลมหิมะที่เหมือนมีดกรีดแทงเดินทางต่อไปโดยอ้อมแสงไฟที่มองเห็นเลือนรางนั้นเอง

เขากลับค้นพบว่าแสงสว่างเล็กน้อยนั่นคล้ายจะขยับเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ หากไม่ผิดไปจากที่คาด สุดท้ายแสงไฟกับม้าสามตัวนี้จะต้องไปรวมตัวกันอยู่บนทางเบื้องหน้า

เฉินผิงอันกลับสงบใจลงได้ อากาศเช่นนี้ คนที่สามารถจับตามองตนทั้งที่อยู่ห่างไปไกลขนาดนี้ อีกทั้งยังเลือกโอกาสเหมาะในการลงมือ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะไม่ใช่โจรป่าอะไร และหากเป็นผู้ฝึกตนอิสระหรือภูตผีปีศาจจริงๆ เขาก็พอจะวางใจลงได้มาก

ฟ้าดินกว้างใหญ่ บางครั้งการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ง่ายดายเสมอไป มีเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้นที่ง่ายที่สุด

หม่าตู่อี๋กลับรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ในที่สุดนางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน พวกเราจะไม่เดินทางอ้อมไปหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยเรียบๆ “ไม่ต้อง”

หม่าตู่อี๋อึ้งตะลึง

คงเป็นเพราะเคยชินกับนักบัญชีที่พูดคุยง่ายที่สุดไปแล้ว นับตั้งแต่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนมาจนกระทั่งบัดนี้ หม่าตู่อี๋ถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า อันที่จริงแล้วขอแค่เป็นช่วงเวลาที่ท่านเฉินผู้นี้รู้สึกว่าไม่ต้องพูดกันดีๆ เขาก็จะกลายเป็นคนที่พูดยากยิ่งกว่าใครอย่างแท้จริง!

—–