บทที่ 1232 หน่วยนภา – แล้วยังไง

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

หลิงหยุนใช้มังกรคำรามร้องบอกทุกคนที่อยู่ด้านล่างเสียงก้องกังวานของเขานั้นดังทะลุเมฆหมอกเบื้องบนลงมา ทำให้ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินเบื้องล่างถึงกับตกอกตกใจ และเมื่อต่างคนต่างก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียงที่ดังกึกก้องนั้น ก็ได้เห็นสองพี่น้องกำลังเหาะลงมาอย่างช้าๆ ก่อนจะมายืนตระหง่านอยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มคนทั้งสองฝั่ง และหันหน้าไปประจันกับยอดฝีมือจากหน่วยนภาทันที!
  การปรากฏตัวด้วยการเหาะลงมาจากฟากฟ้าเช่นนี้นับเป็นการเปิดตัวที่สง่างามยิ่งนัก!
  และครั้งนี้หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัวและปิดบังความแข็งแกร่งของตนเอง ทันทีที่ลงมาถึงพื้นดินด้านล่าง เขาก็ได้ปลดปล่อยพลังปราณในขั้นซางเฉิงชี่ออกมาให้ประจักษ์แก่สายตาของบรรดายอดฝีมือจากหน่วยนภา เพื่อเป็นการข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม..
  ในเมื่อศัตรูเป็นฝ่ายบุกรุกมาถึงบ้านของตนเองเช่นนี้จำเป็นหรือที่หลิงหยุนจะต้องปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองอีก
  หลิงหยุนกวาดสายตามองไปยังเหล่าสมาชิกของหน่วยนภาอย่างไม่แยแสและไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทาย แต่กลับหันไปพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า
  “เสี่ยวอู๋..นายถอยกลับออกไปก่อน!”
  หลิงหยุนเห็นตั้งแต่เหาะอยู่บนอากาศแล้วว่าตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งกำลังประมืออยู่กับหนึ่งในยอดฝีมือจากหน่วยนภานั้น ขั้นกำลังภายในของเขายังต่ำกว่าอีกฝ่ายมาก อีกฝ่ายจึงสามารถหลบหลีกการจู่โจมได้อย่างง่ายดาย เรียกได้ว่าตี้เสี่ยวอู๋แทบจะไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ชายเสื้อของฝ่ายตรงข้ามได้เลยด้วยซ้ำไป..
  และแน่นอนว่ายอดฝีมือของหน่วยนภาล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นที่มีพลังเหนือธรรมชาติแล้วทั้งสิ้นนั่นย่อมหมายความว่าทุกคนต่างก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน-9 ขึ้นไป ช่องว่างระหว่างตี้เสี่ยวอู๋กับคู่ต่อสู้จึงนับว่ายังห่างไกลกันมาก ในขณะที่ตี้เสี่ยวอู๋ต้องพยายามอย่างสุดกำลัง แต่อีกฝ่ายกลับแทบไม่ต้องออกแรงอะไรมากเลยด้วยซ้ำ..
  ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นยอดฝีมือของหน่วยนภาก็ถึงกับชะงัก และยังคงยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายด้วยสีหน้าตกตะลึง!
  “พี่หยุน..กลับมาแล้ว!”
  เมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามของหลิงหยุนตี้เสี่ยวอู๋ก็รีบร้องตะโกนทักทายกลับไปด้วยความดีใจ แต่สีหน้าของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความเก้อเขิน..
  “เสี่ยวอู๋..อีกสองสามเดือนนายก็จะแข็งแกร่งเหมือนกับคนพวกนี้ และจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดในที่นี้ได้!”
  หลิงหยุนก้าวเท้าเดินเข้าไปหาตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับยิ้มให้และยื่นมืออกไปตบบ่า แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ  แม้จะดูเหมือนว่าหลิงหยุนไม่สนใจและแยแสฝ่ายตรงข้าม แต่เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนแล้วทั้งสิ้น เขาจึงได้เห็นว่าผู้ที่ประมือกับตี้เสี่ยวอู๋เมื่อครู่นั้น เป็นผู้ที่มีกำลังภายในอ่อนด้อยที่สุดในบรรดายอดฝีมือของหน่วยนภาที่บุกมาตระกูลหลิงในคืนนี้ และน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับหลวงจีนหลู่หมิงฉู่ ซึ่งไม่น่าจะเกินระดับหนึ่งขั้นพลังเหนือธรรมชาติ..
  เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋เพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5เท่านั้น แต่กลับต้องมาประมือกับยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สิ่งที่ตี้เสี่ยวอู๋ทำลงไป ก็ได้ทำให้หลิงหยุนนึกชื่นชมเป็นอย่างมาก..
  “นี่..เจ้าจะโอหังเกินไปแล้ว! ถึงกับไม่เห็นหน่วยนภาอย่างพวกเราอยู่ในสายตา!”
  “นี่เจ้าคิดว่าตนเองเก่งกาจมากหรือยังไง!”
  ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุนยอดฝีมือจากหน่วยนภาผู้หนึ่งก็ได้ร้องตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ..
  “ฮ่า..ฮ่า.. เจ้าอยากรู้จริงๆงั้นรึ!”
  หลิงหยุนหัวเราะร่าพร้อมหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับฉาบไว้ด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมา..
  ครืน..
  และในวินาทีที่หลิงหยุนร้องตะโกนถามออกไปนั้นโซ่ขนาดใหญ่สองเส้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ก่อนจะพุ่งตรงเข้ารัดร่างของผู้ที่ร้องตะโกนถามหลิงหยุนเมื่อครู่ทันที
  และนี่คือโซ่หยิน–หยาง!
  โซ่หยิน–หยางทั้งสองเส้นเวลานี้..ดูราวกับมังกรสีดำ และมังกรสีขาวตัวใหญ่สองตัวที่มีชีวิต กำลังพุ่งตรงเข้ารัดร่างของผู้ที่พูดจาท้าทายซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบเมตรได้..
  “ข้าจะจัดการปิดปากเจ้าก่อนเป็นคนแรก!”
  หลิงหยุนร้องตะโกนบอกพร้อมกับใช้โซ่หยิน–หยางรัดร่างของยอดฝีมือผู้นั้นไว้แล้วจับยกขึ้นไปกลางอากาศทันที!
  “อ๊าก!”
  ยอดฝีมือจากหน่วยนภาที่ถูกหลิงหยุนใช้โซ่หยิน–หยางรัดร่างและจับยกขึ้นกลางอากาศนั้น ได้แต่ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับดิ้นขลุกขลักไปมา ทั้งมือและเท้าปัดป่ายอยู่กลางอากาศ แต่โซ่หยิน–หยางนั้นก็ไม่ต่างจากงูยักษ์ที่รัดร่างของเขาไว้แน่น ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูกรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนเวลานี้แทบหายใจไม่ออก..
  ท้ายที่สุด..เมื่อไม่สามารถดิ้นหลุดจากโซ่หยิน–หยางของหลิงหยุนได้ นอกจากจะไม่มีอากาศหายใจแล้ว ยังต้องลอยเคว้างคว้างอยู่กลางอากาศสูงถึงสิบเมตรเช่นนี้ และไม่รู้ว่าหลิงหยุนกำลังคิดที่จะทำอะไรกันแน่ จึงได้แต่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือออกไป..
  “อาวุโสทั้งสองช่วยข้าด้วย!”   ยอดฝีมือจากหน่วยนภาที่ยืนเรียงรายอยู่นั้นต่างก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ก่อนจะพากันวิงตรงเข้าไปหาหลี่เจิ้งเฟิง และเฉียวเปียว..
  นี่เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น..
  อาวุโสทั้งสองของหน่วยนภานั้นคิดเพียงแค่ว่า..หากหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะได้เริ่มพูดคุยเจรจาต่อรองกัน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เพียงหลิงหยุนไม่เจรจา และไม่แยแสกับหน่วยนภาแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นฝ่ายลงมือจู่โจมกับคนของหน่วยนภาก่อนอีกด้วย..
  เฉียวเปียวผู้ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่พอๆกับตี้เสี่ยวอู๋เมื่อได้เห็นเช่นนั้น จึงกระโดดเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล..
  “หลิงหยุน..เจ้าจะโอหังมากเกินไปแล้ว!”
  หลี่เจิ้งเฟิงเองก็พุ่งเข้าหาหลิงหยุนเช่นกันร่างทั้งร่างของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ..   “เยี่ยม!”
  หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาจากนั้นจึงได้ใช้พลังจิตของตนควบคุมกระบี่เหินเงาธนู ให้พุ่งเข้าใส่ร่างของหลี่จิ้งเฟิงทันที
  ปัง!
  ตามมาด้วยเสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหวซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากหมัดปีศาจเถียนกังของหลิงหยุน ชกเข้ากับหมัดของเฉียวเปียวที่พุ่งเข้ามานั่นเอง!
  ปัง!
  ส่วนเสียงดังปังครั้งที่สองนี้..คือเสียงที่หลิงหยุนจัดการฟาดโซ่หยิน–หยางที่รัดร่างของยอดฝีมือผู้นั้นลงกับพื้น ในขณะเดียวกันก็ยังคงควบคุมกระบี่เหินเงาธนูให้พุ่งจู่โจมเข้าใสร่างของหลี่เจิ้งเฟิงด้วย..
  และในวินาทีนั้นเอง..ร่างของหนึ่งในยอดฝีมือผู้โชคร้ายจากหน่วยนภา ก็ได้กระแทกลงกับพื้นที่เป็นหินอย่างแรง สร้างความตระหนกตกใจให้กับสมาชิกหน่วยนภาที่เหลืออย่างมาก..
  ไม่รู้ว่าจะเป็นความโชคร้ายของยอดฝีมือผู้นั้นหรือจะเป็นความบังเอิญกันแน่ เพราะหลังจากที่หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้น โม่วู๋เตาก็กลับไปยกเก้าอี้ที่ห้องนอนของตนเองออกมานั่งดู พร้อมกับบ่นพึมพำ
  “เฮ้อ..พวกเจ้าทำให้ข้าเสียเวลานอนจริงๆ! น่าโมโหชะมัด!”
  และทันทีที่ร่างของยอดฝีมือจากหน่วยนภาร่วงลงกระแทกกับพื้นโม่วู๋เตาที่กำลังโมโห จึงลุกขึ้นไปเหยียบร่างของเขาทันที พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิด
  ตูม!
  หลังจากที่หลิงหยุนฟาดร่างของยอดฝีมือผู้นั้นลงไปกับพื้นแล้วเขาก็ไม่สนใจแยแสอีก และหันไปชกหมัดเข้าใส่ร่างของเฉียวเปียวแทน..
  เฉียวเปียวซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุโสของหน่วยนภาเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าด้วยความแข็งแกร่งในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับห้าของตนนั้น หลิงหยุนจะสามารถต้านท้าน และตอบโต้กลับได้เช่นนี้!
  หลิงหยุนซัดหมัดปีศาจเถียนกังของตนเข้าใส่เฉียวเปียวอย่างดุดันและดูเหมือนไม่คิดที่จะเจรจาให้เสียเวลาด้วยซ้ำไป ทันทีที่หมัดของทั้งสองฝ่ายปะทะกันนั้น พลังปราณของทั้งคู่ก็พวยพุ่งออกมาจนเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งบริเวณ หมัดของหลิงหยุนนั้นรัวเข้าใส่เฉียวเปียวจนแทบไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หายใจ..
  เวลานี้พลังของหลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่และความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นอยู่ในระดับสูงสุดของดาราคุ้มกายขั้นที่สอง (ระดับย่อยที่สิบสี่) พลังหมัดของหลิงหยุนแต่ละหมัดที่ซัดเข้าใส่ร่างของเฉียวเปียวนั้น จึงไม่ต่างจากการทุ่มก้อนหินขนาดมหึมาเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม..
  ในระหว่างที่ประมือกับเฉียวเปียวนั้นหลิงหยุนยังได้ใช้พลังจิตของตนควบคุมกระบี่เหินเงาธนู ให้พุ่งเข้าจู่โจมหลี่เจิ้งเฟิงได้ด้วย!
  ปัง!
  เวลานี้หมัดของหลิงหยุนกับหมัดของเฉียวเปียวนั้นได้ปะทะกันอีกครั้งและพลังปราณรุนแรงที่พวยพุ่งออกมานั้น ก็ได้ทำให้สวนทั้งสวนของตระกูลหลิงถึงกับสั่นสะเทือน..
  ‘เจ้าเด็กคนนี้มันดุดันแล้วก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ!’
  ด้านหลังของหลิงหยุนเวลานี้..หลิงลี่กับหลิงเสี่ยวได้แต่ยืนนิ่ง และหันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ต่างฝ่ายต่างก็คิดเช่นเดียวกัน และแทบไม่อยากเชื่อว่าหลิงหยุนจะสามารถจู่โจมสองอาวุโสแห่งหน่วยนภาได้รุนแรงถึงเพียงนี้..
  ทั้งหลิงลี่กับหลิงเสี่ยวต่างก็รู้ดีว่าตนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวเปียวหากเปลี่ยนเป็นตนที่กำลังต่อสู้อยู่กับเฉียวเปียวตอนนี้ คงไม่พ้นต้องถูกอีกฝ่ายทำร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..   และเมื่อตอนกลางวันนั้น..โจวเหวินอี้ก็ได้เปรยกับหลิงลี่ว่าไม่นานหลี่เจิ้งเฟิงกับเฉียวเปียวคงต้องบุกมาตระกูลหลิงแน่ และทั้งคู่ก็เป็นยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหกเลยทีเดียว ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนนั้น เรียกได้ว่าอยู่ในระดับยอดฝีมือที่เก่งที่สุดของหน่วยนภาเลยทีเดียว!
  –เสี่ยวอู๋..หมัดของหลิงหยุนรุนแรงนัก เจ้าถอยออกมาก่อนดีกว่า!-
  ตี้เสี่ยวอู๋ก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวตามคำแนะนำของหลิงลี่ที่ร้องเตือนเขาผ่านทางกระแสจิตและเวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋ก็ยืนกำหมัดแน่นมองการต่อสู้ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น..
  จู่ๆเสียงร้องตะโกนของหญิงสาวที่พร้อมกับหลิงหยุนก็ดังขึ้น หนิงหลิงยู่ซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่นาน ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้..
  “นี่..ช่างไร้ยางอายสิ้นดี! ถึงกับกล้าขนคนมากมายมาบุกตระกูลหลิงเช่นนี้!”
  “กระบี่ธารา!”   หนิงหลิงยู่ยืนกางแขนออกกว้างพร้อมกับใช้พลังจิตของตนควบคุมกระแสน้ำซึ่งอยู่ในสวนชั้นที่หก จากนั้นกระบี่ธาราใสจำนวนสิบสองเล่ม ก็พุ่งออกมาจากสวนชั้นที่หกตรงเข้าใส่ร่างของหลี่เจิ้งเฟิงที่กำลังรับมือกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุนอยู่ทันที!
  “แย่แล้ว!”
  หลี่เจิ้งเฟิงรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นและไม่กล้าประมาทกระบี่ธาราทั้งสิบสองเล่มที่พุ่งใส่ร่าง
  หลี่เจิ้งเฟิงปลดปล่อยพลังปราณสีแดงออกมาครอบร่างของตนเองไว้และแสงสีแดงนั้นก็สามารถต้านทานกระบี่ธาราของหนิงหลิงยู่ไว้ได้
  หลิงหยุนเห็นหนิงหลิงยู่ลงมือเช่นนั้นก็รีบขยิบตาส่งสัญญาณให้นางหยุดทันที เพราะไม่ต้องการให้หนิงหลิงยู่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เรื่องของตี๋ยั่วถังเป็นเรื่องระหว่างเขากับหน่วยนภาเท่านั้น!
  หลิงหยุนซัดหมัดเข้าใส่กำปั้นของเฉียวเปียวจนเฉียวเปียวถึงกับกระเด็นถอยหลังไป หลิงหยุนจึงได้กระโดดถอยหลังกลับออกมาเช่นกัน!
  เฉียวเปียวสัมผัสได้ว่าตนเองนั้นรู้สึกชาตั้งแต่กำปั้นไปจนถึงท่อนแขนเวลานี้แขนของเขาก็สั่นไปหมด และกำลังหายใจหอบรุนแรง อีกทั้งยังตกตะลึงกับการจู่โจมที่รุนแรงต่อเนื่องของหลิงหยุนด้วย..
  “หลิงยู่..เจ้าหลบออกไปก่อน!”
  หลิงหยุนหันไปพูดกับหนิงหลิงยู่ด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่งจากนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับเหล่ายอดฝีมือของหน่วยนภา พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้า และพูดขึ้นว่า..
  “ข้ารู้ดีว่าคืนนี้พวกเจ้าบุกมาตระกูลหลิงด้วยเรื่องอะไรแล้วก็รู้ดีว่าพวกเจ้าคิดที่จะทำอะไรกับตระกูลหลิง?”
  “เมื่อตอนกลางวัน..ข้าได้ฝากคำเตือนไปกับโจวเหวินอี้แล้วไม่ใช่รึ!”
  “ข้าฝากเขาไปบอกกับสมาชิกทุกคนในหน่วยนภาว่าหากผู้ใดคิดที่จะบุกมาตระกูลหลิง ให้พวกมันประเมินตนเองให้ดีเสียก่อน!”
  “เอาล่ะ..ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนต่างก็บุกมาตระกูลหลิงคืนนี้ ย่อมหมายความว่าพวกเจ้าได้ประเมินตัวเองดีแล้ว..”
  “ถ้าเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!”
  “สมาชิกหน่วยนภาทั้งหมดจงฟังข้า..พวกเจ้าทั้งสิบสี่คน บุกเข้ามาพร้อมกันได้เลย!”