บทที่ 829 การสอบที่แสนอันตราย

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

แสงสว่างจากลูกแก้วเวทมนตร์ที่ห้อยลงมาจากเพดานยิ่งทำให้ห้องที่แสนทึบทึมชวนหดหู่ยิ่งดูไร้ชีวิตชีวากว่าเดิม ความเย็นเยียบแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย และดอนนี่ก็รู้สึกราวกับตนได้เข้ามาสู่ปราสาทผีสิงเก่าคร่ำคร่า

แต่นี่ก็ช่วยให้เขามีสมาธิและลืมเรื่องเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งพบเห็นเมื่อครู่นี้ ดอนนี่เริ่มมองไปรอบๆ ห้อง

ทางซ้ายมือของห้องมีโต๊ะตัวยาวที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบนานาชนิด บ้างก็อยู่ในภาชนะเวทมนตร์ บ้างก็อยู่ในวงแหวนเวทสุญญากาศ และบางอย่างก็ถูกห่อด้วยใบไม้สีเขียว ส่วนทางด้านขวามือกลับไม่มีอะไรเลย กระทั่งพรมก็ไม่มี

‘สารปรอท ผงหินสงบนิ่งระดับต่ำ…’ ดอนนี่ค่อยๆ ปิดประตูและเดินตรงไปทางโต๊ะตัวยาว เขาพลันรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งเหล่านี้คือวัตถุดิบพื้นฐานสหรับการสร้างวงแหวนเวท

เขาโรยผงดอกทานตะวันไปบนเชิงเทียนสีเงินแล้วจุดเทียนด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะหยิบขวดแก้วที่เต็มไปด้วยของเหลวสีดำขึ้นมาอย่างระมัดระวังพอกัน และวางมันไว้ใกล้ๆ กับเชิงเทียน

ด้วยแสงสว่างจากเทียน ลวดลายบนพื้นผิวขวดแก้วพลันเผยโฉม และในของเหลวสีดำนั้นก็ปรากฎลูกนัยน์ตาไร้ลูกตาดำที่ดูน่าขนลุกขนพอง

หลังจากจ้องมองรูปทรงของลูกนัยน์ตากับลวดลายเวทมนตร์บนขวดแก้วอย่างถี่ถ้วน เขาก็หยิบปากกาขนนกมาจดข้อความลงไป

“ลูกนัยน์ตาของผีกินศพกลายพันธุ์…”

หลังจากวางขวดแก้วลง ดอนนี่ก็หันไปมองวงแหวนเวทสุญญากาศ จึงได้เห็นแขนข้างหนึ่งที่มีผ้าพันแผลสีน้ำตาลอ่อนดูมันเยิ้ม

แววตาของดอนนี่เปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย เพราะแขนมัมมี่ข้างหนึ่งนับเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่งยวด วิทยาลัยเวทมนตร์ไฮด์เลอร์ร่ำรวยมั่งคั่งเสียจริงๆ การจะสร้างมัมมี่สักตน ที่นี่ย่อมต้องมีพิธีกรรมฝังศพแสนลี้ลับซึ่งส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นนับแต่ยุคสมัยแห่งตำนานเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ มัมมี่จึงมักจะแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ผีดิบทั้งหมด ในแง่ของพลังต้านทานและป้องกันเวทมนตร์ กระทั่งนักเวทบางคนยังแทบหมดอากาศในการนำมัมมี่มาเป็นปีศาจรับใช้

ดอนนี่เขียนคำตอบลงไป แต่ยังคงอดใจไม่ได้ที่จะจ้องมองแขนมัมมี่ข้างนั้นต่อ มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของจริง

ดูจากผ้าพันแผลและผิวที่โผล่พ้นออกมา มัมมี่ตนนี้ดูท่าทางมิได้แข็งแกร่งเสียเท่าไหร่ แต่มันก็ยังเป็นมัมมี่อยู่ดี! นอกจากนี้ วัตถุดิบสำหรับการประกอบร่างศพก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้…บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทางวิทยาลัยใจกว้างขนาดนี้ก็เป็นได้

จากนั้น ดอนนี่ก็ระบุส่วนต่างๆ ของสัตว์เวทแต่ละชนิดไปทีละอย่างๆ

“น้ำเหลืองเหม็นๆ ของอสูรกายใต้ทะเล…”

“กรงเล็บหน้าของมนุษย์หมาป่า…”

“กะโหลกของก็อบลิน…”

“กีบเท้าหลังจากแพะปีศาจ…”

ดอนนี่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงจึงเขียนคำตอบครบ จากนั้นเขาจึงเริ่มทำการประกอบร่างตามคำสั่ง

เขาเปลี่ยนการจัดวางไม่หยุด จึงใช้เวลานานมากกว่าจะเย็บประกอบร่างเสร็จ ดอนนี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ พลางเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เขารู้ว่าตนจำต้องเร่งมือ มิเช่นนั้นเขาอาจไม่มีเวลาเหลือให้แก้ไขการออกแบบหากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา…

เขาเริ่มวาดวงแหวนเวทโดยใช้สารปรอท

ด้วยเป็นเพียงผู้ฝึกใช้มนตรา พลังจิตของเขาจึงมีไม่มากพอจะวาดวงแหวนเวทตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบในคราวเดียวได้ และการสอบก็ไม่อนุญาตให้ดื่มน้ำยา เขาจึงต้องทำไปทีละส่วนๆ

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ดอนนี่ก็ลงไปนั่งหอบอยู่บนพื้น รอให้พลังจิตฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งหลังจากใช้มันจนหมดไปเกินสิบรอบ จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นและวางวัตถุดิบที่เขาเลือกมาลงบนวงแหวนเวทในตำแหน่งที่ถูกต้อง ซึ่งเขาเลือกใช้แขนมัมมี่ ลูกนัยน์ตาของผีกินศพกลายพันธุ์ ปีกของปีศาจตัวเล็ก และผงวิญญาณ

ดอนนี่ตรวจสอบให้แน่ใจอยู่หลายรอบก่อนจะส่งพลังกระตุ้นการทำงานวงแหวนเวท ด้วยเกรงว่าเขาจะพลาดจุดใดไป

นี่คือวินาทีสำคัญที่สุดในชีวิตเขา หากเขาทำสำเร็จ เขาก็จะได้เข้าเรียนในวิทยาลัยไฮด์เลอร์ โรงเรียนเวทมนตร์ที่ทรงอิทธิพลด้านศาสตร์มืดที่สุด และอนาคตของเขาก็จะรุ่งโรจน์เหนือจินตนาการ ทว่า หากเขาทำผิดพลาด เขาก็อาจกลายเป็นหนึ่งในผู้ฝึกใช้มนตราทั่วไปที่ลงเอยได้เป็นที่ปรึกษาให้กับเหล่าพ่อค้าหรือตำรวจ งานเหล่านั้นมิใช่งานที่ไม่ดี แต่พวกมันมิอาจมอบสถานะระดับสูงในสังคมให้แก่เขาได้

เขาอายุเพียงสิบเจ็ดปี และเขาก็ไม่อยากมีชีวิตสามัญเรียบง่าย

ความปรารถนาอันแรงกล้าเข้าครอบงำหัวใจดอนนี่ดั่งเปลวเพลิง เขามีความปรารถนาที่จะรอบรู้ มีชีวิต และอนาคตที่ดีกว่าเดิม

และทั้งหมดนั้นต่างขึ้นอยู่กับการสอบครั้งนี้!

เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าวงแหวนเวทและทาบมือทั้งสองข้างบนใจกลาง ดวงตาสีน้ำเงินของเขาเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อยจากการใช้พลังจิต

วงแหวนเวทเปล่งแสงวูบ แล้วสัญลักษณ์เวทมนตร์สีดำก็เริ่มดูดซับผงหินสงบนิ่งอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นแสงสว่างสีซีดก็เข้าครอบงำ และอันญมณีเวทมนตร์ก็เริ่มปริแตกไปทีละก้อนๆ

เขารู้สึกปวดหัวรุนแรงหลังจากส่งพลังไปกระตุ้นวงแหวนเวท ก่อนที่ร่างเขาจะถูกพลังผลักกระเด็น แต่เขาหาได้สนใจไม่ สายตาเขายังคงจดจ้องไปที่วงแหวนเวท

แสงสว่างสีซีดค่อยๆ จางหายไป และที่อยู่ตรงกลางวงแหวนเวทนั้นก็คืออสูรกายมีปีกที่น่าคร้ามเกรง มันมีศีรษะของสิงโต แขนซ้ายของมันถูกหุ้มด้วยผ้าพันแผลสีน้ำตาลมันเยิ้ม ร่างกายของมันถูกเย็บประกอบขึ้นจากชิ้นเนื้อกองใหญ่

เจ้าอสูรกายลุกขึ้นยืน แม้ว่ามันจะยังหาจุดสมดุลที่เหมาะสมไม่ได้ก็ตาม ดวงตาไร้ลูกตาดำของมันตวัดมามองดอนนี่ ทำเอาเขาหมดแรงไปเสียดื้อๆ

โชคดีที่หลังจากนั้นมันก็ก้มศีรษะลง และยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยท่าทางเคารพนบนอบยิ่ง

‘เยส!’ ดอนนี่โบกแขนไปมา ในใจเขาเต็มไปด้วยความสุขล้น

แต่ฉับพลันนั้น เขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย ทั้งร่างพลันรู้สึกเสียววาบ

ดอนนี่หลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณและสั่งให้เจ้าอสูรกายมายืนบังตรงหน้า

ตูม!

ผนังพังถล่มลงด้วยกำปั้นอันร้ายกาจ และเขายังสัมผัสได้ว่าเลือดเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

เขาตกตะลึงจนตาเบิกโพลง ท่ามกลางฝุ่นคละคลุ้ง ปรากฏอสูรกายตัวสูงสองถึงสามเมตรวิ่งพรวดพราดเข้ามาต่อยใส่อสูรกายของเขา หมายให้เศษซากชิ้นเนื้อ

เจ้าอสูรกายจากห้องข้างๆ ดูไม่เหมือนกับศพที่สมประกอบด้วยซ้ำ ร่างกายแต่ละส่วนนั้นเพียงนำมาวางต่อกันอย่างไร้แบบแผน ดวงตาไปอยู่ที่แขน และศีรษะก็ฝังอยู่ตรงหน้าท้อง ทั่วร่างของมันแผ่ไอดำออกมาหนาแน่น

บรรยากาศที่แสนข่มขวัญนั้นทำให้ร่างศพของดอนนี่ตัวสั่นเทาไม่หยุด แม้ว่ามันจะไม่อาจนึกคิดและไร้ซึ่งสติปัญญาก็ตาม

ดอนนี่รู้สึกเหมือนตนยืนอยู่ในหุบเหวน้ำแข็ง เขาพยายามจะใช้เวทมนตร์คาถาป้องกันตัวเอง แต่เขาไม่เหลือพลังจิตแล้วหลังจากปลุกร่างศพของเขาขึ้น

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’

‘นี่นาง ไม่สิ เขาสร้างตัวอะไรเนี่ย! น่ากลัวชะมัด!’

เขาจำต้องปกป้องตนเองจนกว่าผู้คุมสอบจะมาถึง

แม้จะรู้ดี แต่การรู้ก็ไม่ช่วยอะไรเลย ขณะเผชิญหน้ากับบรรยากาศกดดันข่มขวัญ แม้แต่จะขยับนิ้วดอนนี่ก็ยังทำไม่ได้ หัวใจเขาตกไปที่ตาตุ่มและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ครั้งหนึ่ง เขาเคยเผชิญหน้ากับอัศวินขั้นที่สอง แต่กระทั่งพลังของอัศวินกลับไม่อาจเทียบเคียงพลังของเจ้าอสูรกายตนนี้

เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับร่างศพนี้อย่างมาก และเขาก็ใกล้จะได้เข้าไปในวิทยาลัยเวทมนตร์แล้ว แต่บัดนี้ เขากำลังจะตายอยู่ที่นี่!

ดอนนี่ได้กลิ่นเหม็นสาปจากปากของอสูรกาย

ในตอนนั้นเอง แขนข้างหนึ่งที่ห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลสีน้ำตาลก็พุ่งเข้ามาขวางกั้นระหว่างพวกเขาและแทงเข้าไปในปากที่อยู่ตรงหน้าท้อง

ดอนนี่รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อยกับสิ่งที่ร่างศพของเขาทำ จากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสนี้เบี่ยงกายหลบหนี เขาสูดหายใจเข้าลึกและพยายามอย่างที่สุด

“ช่วยด้วย!!!”

ใช่ นั่นคือสิ่งที่เขาทำได้ ร้องเสียงหลงอย่างสุดกำลังเพื่อเรียกความสนใจจากผู้คุมสอบ

เขาเห็นปากของเจ้าอสูรกายกำลังเคี้ยวแขนมัมมี่

ดอนนี่พลันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างยิ่งยวด เจ้านั่นถึงกับเคี้ยวแขนของมัมมี่ได้!

เมื่อดวงตาบนแขนของมันลืมขึ้นอีกครา ดอนนี่ก็มองเห็นรูม่านตาสีแดงเข้ม ร่างของเขาพลันชาหนึบ และทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะเอ่ยปาก

ตอนนั้นเอง ใบหน้าที่แสนงดงามก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขา

“โทษที การทดลองของข้ามักจะผิดพลาดอย่างไรมิทราบ ท่านพ่อบอกว่ามันเป็นเพราะพรสวรรค์ของข้าและเป็นเพราะข้ายังควบคุมมันไม่ได้…”

เสียงนั้นเป็นเสียงทรงเสน่ห์ของบุรุษ เหมือนกับเสียงบุรุษทั่วไป

นั่นคือความคิดแรกของดอนนี่ยามเผชิญหน้ากับภัยอันตรายใหญ่หลวง เขาเชื่อว่าโลกใบนี้จะต้องมีบางอย่างไม่ปกติเป็นแน่

“รู้ไหม ข้าพยายามทำให้มันบิน แต่ใครจะไปรู้…เฮ้อ…” เด็กหนุ่มวัยรุ่นเกาศีรษะตัวเองขณะแย้มยิ้มเต็มใบหน้า เขากล่าวต่อ “แต่มันมิใช่เรื่องใหญ่อันใด เจ้ารู้ไหม ครั้งก่อนตอนที่ข้า…”

สมองของดอนนี่คล้ายกับหยุดทำงาน เขาละล่ำละลักพูดด้วยความพยายามอย่างหนัก “ระ…วัง…”

ในยามนั้น เจ้าอสูรกายแผ่ไอดำได้มาหยุดอยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่มแล้ว!

ดอนนี่ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าเหตุใดเจ้าหมอนี่จึงพูดมากได้ถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่กำลังเผชิญหน้ากับภยันตรายเช่นนี้!

“ข้ารู้ๆ…ข้าจะระวังให้มากกว่านี้กับการทดลองของข้า ขอบคุณมาก ข้าสัญญาว่าในอนาคตข้าจะระวังให้มากกว่านี้ ข้าต้องขอโทษเจ้าจริงๆ ที่ทำให้ต้องมาเจอกับเรื่องนี้ ว่าแต่ ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเอง…” เด็กหนุ่มผู้งดงามยังไม่ยอมหยุดพูด

ดอนนี่เอ่ยตะกุกตะกักออกมาอีกครั้ง เขาไม่อาจควบคุมลิ้นของตัวเองได้แล้ว “อสูร…อสูรกาย…”

ฉับพลันนั้น ดวงตาสีม่วงเหลือบเงินที่ดูง่วงงุนของเด็กหนุ่มกลับดูดุร้ายขึ้นมา เขาหันกลับไปก็เผชิญหน้ากับใบหน้าของอสูรกายอย่างจัง จากนั้นเขาก็ทิ้งไหล่และพุ่งเข้าชนเจ้าอสูรกายด้วยร่างกายตนเองอย่างแรง

ไม่ทราบอย่างไรจึงเกิดแสงสว่างวาบขึ้น เจ้าอสูรกายถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนที่ชิ้นเนื้อแต่ละส่วนของมันจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงกับพื้นและเน่าเปื่อยสูญสลายกลายเป็นกองโคลนกองหนึ่ง

‘อะไรน่ะ…’ ดอนนี่อ้าปากค้างอีกครั้ง เขานึกสงสัยว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้จึงไม่เลือกเป็นอัศวินกัน

“หมดปัญหาแล้ว” เด็กหนุ่มหันกลับมาพลางกล่าวด้วยท่าทางอับอาย “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ข้ามีนามว่าเบลดส์ ท่านพ่อตั้งชื่อนี้ให้ข้าด้วยหวังว่าข้าจะมีความสุข แต่ข้าชอบให้คนอื่นเรียกข้าว่า ‘คาร์ล’ ที่มีความหมายว่าชายชาตรี…

“ข้ายังมีพี่ชายคนหนึ่ง เขามีนามว่าบาร์เซล เขาก็ดูดี แต่กลับชอบคิดทำแต่เรื่องอันตราย คนอื่นๆ ชอบบอกว่าเป็นเพราะเขาเหมือนกับท่านพ่อ แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นหรอก…”

ดอนนี่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคาร์ลจะช่วยดึงเขาลุกขึ้นจากพื้นก่อนที่จะเอ่ยแนะนำตัวยาวเหยียดเช่นนั้น

……………………………………..