DND.
เจิ้งหยวนชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“เขาแข็งแกร่งพอตัวเชียวล่ะ!มิเช่นนั้นเทพสัตว์อสูรอย่างเทพกระเรียนคงไม่มีวันแต่งตั้งมนุษย์ให้เป็นตัวแทนเทพแน่! ข้ารู้ว่าเขาฉลาดมากหลังจากที่ได้เจอกับเขา! เหมือนกับว่าเขาคาดเดาได้ทุกอย่าง มันเหลือเชื่อไปเลย!”
ปู้หลูยี่เริ่มไม่พอใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเจิ้งหยวนชิงพูดชมซือหยูไม่หยุด
เขาเคารพต่อเจิ้งหยวนชิงที่กำลังจะได้เป็นเทพและเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาลูกหลานเทพด้วยกันอย่างมากเจิ้งหยวนชิงคือเรือนตะเกียงสำหรับเขา
แต่เจิ้งหยวนชิงกำลังพูดชมชายอื่นด้วยการยอมรับเป็นอย่างมากปู้หลูยี่ที่ไม่คล้อยตามพูดด้วยรอยยิ้ม
“หยวนชิงเจ้าพูดเกินไปแล้ว! ตัวแทนน่ะไม่มีอะไรหรอก! หากเหอหลูจูที่เป็นผู้นำตระกูลเทพกระเรียนตอนนี้พยายามชิงตำแหน่ง ซือหยูก็จะถูกปลดจากตำแหน่งตัวแทนเทพทันที เจ้านั่นไม่ควรค่าแก่การพูดถึงด้วยซ้ำ!”
เจิ้งหยวนชิงหันหน้าไปอีกทาง
“แต่เทพจิงบอกว่าเขาคือเก้ามังกรที่กลับมาเกิดใหม่!เขาจะไร้พลังได้ยังไง?”
แต่อย่างไรก็ตามทีการกลับมาเกิดใหม่ของเก้ามังกรคืออะไรกัน? พวกนางไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเลย
“หึ!ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้น! อย่าบอกนะว่าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นมังกรน่ะ!”
ปู้หลูยี่ไม่เห็นด้วย
เจิ้งหยวนชิงขมวดคิ้วเพราะนางรู้สึกว่าปู้หลูยี่ดูถูกซือหยูเกินไปนางจึงเบือนหน้าหนี
ปู้หลูยี่ยิ่งร้อนรนเมื่อสังเกตเห็นว่าเจิ้งหยวนชิงเปลี่ยนสีหน้าเก้ามังกรกลับมาเกิดใหม่เรอะ? ตัวแทนเทพเรอะ? หึ! หึ! ขอข้าดูพลังเจ้าหน่อยก็แล้วกัน!
…
ที่ตระกูลเทพกระเรียนห้องฝึกของเทพกระเรียนถูกซือหยูยึดอย่างชอบธรรม พลังวิญญาณในห้องนี้ไม่ได้เข้มข้นนักเพราะเทพไม่ต้องการพลังวิญญาณในการบ่มเพาะ แต่อย่างไรก็ตาม เทพกระเรียนได้บ่มเพาะในห้องนี้มานานหลายปี พลังของเขายังคงเหลืออยู่ในห้องนี้
เทพกระเรียนที่บ่มเพาะในห้องนี้มานานทิ้งพลังเอาไว้กับทุกสิ่งในห้อง
สำหรับซือหยูพลังของเทพในห้องนี้สร้างแรงกดดันให้เขาเป็นอย่างยิ่ง
เขาเติบโตอย่างรวดเร็วจากการบ่มเพาะภายใต้แรงกดดันนี้
การบ่มเพาะวิชาร่างมังกรที่เขาอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีได้สำเร็จในไม่นานเขาบ่มเพาะมันถึงขั้นกลางแล้ว
ซือหยูถอนหายใจโล่งอกจากนั้น เขาแปลงร่างเป็นมังกรสีทองในระยะเวลาสั้น ๆ
ประกอบกับดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาเกือบจะถึงขอบเขตวิญญาณมายาชั้นสูงแล้ว
หลังจากเป็นอสูรเนรมิตรขั้นสองซือหยูพยายามจะทะลวงขั้นสาม ต้องขอบคุณทรัพยากรมากมายในโลกเทพกระเรียนและจิตวิญญาณแปดรูของเขาด้วย ซือหยูเติบโตอย่างก้าวกระโดด!
หลังจากบ่มเพาะเสร็จสิ้นซือหยูเข้าสู่มุกวิญญาณเก้าหยก ที่นี่ที่เคยเต็มไปด้วยเผ่าผีนั้นว่างเปล่า ซือหยูพบเพียงไม่มากเท่านั้น
เทพไม้กำลังชี้แนะให้จางตี๋เก้อเมื่อเห็นซือหยู จางตี๋เก้อรีบวิ่งมาหาเขาและหลบที่ด้านหลัง นางร้องไห้อย่างน่าเวทนา
“เทพไม้เจ้ายังมีความเป็นเทพอยู่หรือไม่? ทำไมถึงทำนางร้องไห้อีกแล้วล่ะ?”
ซือหยูมองเทพไม้ที่อยู่ตรงหน้า
เทพไม้ยังคงติดอยู่บนบัลลังก์ด้วยหอกที่เสียบทะลุจนมิอาจขยับตัวได้แต่นางก็ไล่ตามจางตี๋เก้อด้วยการขยับบัลลังก์ไปพร้อมกับนางแทน
“ฮื่ม!แม่สาวน้อยนั่นไม่รู้จักพอ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเป็นอสูรเนรมิตรขั้นหกในไม่นานหากไม่ได้ข้าช่วย!”
เทพไม้ตอบตรงๆ
ถ้าจักรพรรดิผีไม่บอกความจริงกับซือหยูก็เป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูจะรู้ว่าจางตี๋เก้อมีร่างกายหายากถึงจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับลูกหลานเทพ มันก็ยังล้ำค่าเพราะมันมีการหลอมรวมพลังของผีและอรหันต์ ซึ่งพลังที่ตรงกันข้ามกันอย่างสุดขั้วนี้ได้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนาง
ตามที่จักรพรรดิผีบอกผู้ที่มีร่างกายลักษณะนี้มักจะตายตั้งแต่เกิด ผู้รอดชีวิตเช่นนางคือสิ่งที่หาได้ยาก
เมื่อเทพไม้รู้นางก็อาสาเป็นอาจารย์ให้จางตี๋เก้อเพื่อที่นางจะได้ชี้แนะจางตี๋เก้อในการใช้ร่างกายหายากให้เต็มประสิทธิภาพ ด้วยความช่วยเหลือจากเทพไม้ จางตี๋เก้อได้เติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากผ่านความยากลำบากที่มิอาจบอกได้ นางเติบโตเร็วยิ่งกว่าซือหยูที่มีจิตวิญญาณแปดรูด้วยซ้ำ! ตอนนี้นางเป็นอสูรเนรมิตรขั้นหก อีกก้าวเดียวเท่านั้นก่อนที่นางจะเป็นเซียน!
ดังนั้นจึงง่ายสำหรับจางตี๋เก้อที่จะเป็นเซียนด้วยคำชี้แนะจากเทพไม้
“เทพไม้ข้ามาที่นี่เพื่อลองดูว่าข้าจะดึงหอกบนตัวเจ้าออกมาได้ไหม!”
ซือหยูพูดอย่างจริงจังหลังจากปลอบใจจางตี๋เก้อ
“อะไรนะ?”
เทพไม้ที่มักจะไร้กังวลอยู่เสมอถามอย่างตั้งใจ
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าหาทางดึงมันได้แล้วรึ?”
ซือหยูพยักหน้า
“ข้าว่าข้าดึงมันได้ง่ายๆ ด้วยทรายดาราทางช้างเผือก!”
ทรายดาราทางช้างเผือก?เทพไม้ส่ายหน้าเบา ๆ
“เจ้าเคยลองแล้วพลังในหอกเป็นกำลังของเทพ ถึงทรายดาราจะเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ มันก็ใช้พลังได้แค่หนึ่งในสิบส่วน มันดูดซับพลังของเซียนได้เท่านั้น มันดูดซับพลังเทพไม่ได้หรอก!”
“นั่นมันเมื่อก่อน!”
ซือหยูพูดพลางโบกมือแสงดาวพุ่งออกมาจากฝ่ามือ
แสงอันตระการตาของธารดาราลอยล่องสว่างทั้งหุบเขาในมุกวิญญาณเก้าหยก
ดวงดารานับไม่ถ้วนในธารดารารวมตัวเป็นกระเรียนขาวโบยบินซึ่งคือร่างของเทพกระเรียน
เทพไม้ทั้งตกใจและดีใจ
“เทพไม้หลอมรวมกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์เป็นจิตวิญญาณสมบัติรึ?”
ซือหยูพยักหน้า
“ใช่แล้ว!ข้าใช้พลังเกือบทั้งหมดของทรายดาราได้แล้ว ข้าอยากจะลองอีกครั้ง!”
เทพไม้พยักหน้าด้วยความดีใจ
จากนั้นซือหยูจับหอกยาวที่ทะลวงร่างเทพไม้ด้วยทรายดารา!
ทรายดาราเริ่มโคจรในเวลาต่อมาหอกยาวที่เคยยากในการดึงถูกดูดซับอย่างช้า ๆ
เทพไม้ตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อพลังปีศาจค่อย ๆ สลายไป ร่างกายของนางที่เคยแข็งทื่อเริ่มยืดหยุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เทพไม้ถึงกับดีใจจนเนื้อเต้น
ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาไม่คิดว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีจิตวิญญาณสมบัติจะแข็งแกร่งขนาดนี้
หนึ่งเดือนต่อมาหอกยาวได้ถูกดึงออกมาจากร่างเทพไม้
เทพไม้ได้รับอิสระกลับมาแล้ว!
“เทพไม้ข้าดึงหอกให้เจ้าแล้ว! เจ้าเป็นอิสระแล้ว!”
ซือหยูพูด
เทพไม้กระโดดลงจากบัลลังก์และเดินอย่างเริงร่าราวผีเสื้อนางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ยังหรอก!ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ!”
ซือหยูแปลกใจกับคำตอบของนางเขาถาม
“อะไรล่ะ?”
นางไม่คิดจะล้างแค้นศัตรูในทันทีหรือ?
“ข้าจะแต่งงานกับเจ้า!”
เทพไม้พูดพลางจ้องซือหยู
“ไม่มีทางซะหรอก!”
“เฮ้!ข้าเป็นเทพนะ! เทพน่ะล้ำค่ารู้ไหม? เจ้าปฎิเสธข้าแบบนี้ได้ยังไง? ข้าเสียใจนักที่เจ้าทำร้ายความรู้สึกข้า!”
“สายตาเจ้าไม่ได้มีความคิดดีๆ อยู่เลย ข้าเห็นนะ!”
“ไม่เอาสิ!ข้าได้ยินว่าหากคนสองคนแต่งงานกัน ทุกสิ่งที่เป็นของอีกฝ่ายจะถูกแบ่งครึ่งหลังหย่าร้าง! เจ้ามีสมบัติล้ำค่าตั้งมากมาย! ต่อให้ข้าเอาไปสักครึ่งเจ้าก็คงไม่เป็นอะไร ใช่ไหม?”
“เจ้ามันหน้าด้าน!”
“หน้าด้านก็ยังดีกว่าจนนะ!ไม่เอาน่า! มาแต่งงานแล้วหย่ากันเถอะ ข้าจะได้เอาสมบัติเจ้าไปสักหน่อย!”
ซือหยูพูดไม่ออก
ซือหยูไม่สนใจเทพหน้าด้านน่ารำคาญและออกจากมุกวิญญาณเก้าหยก
เทพไม้จะออกไปเมื่อใดก็ได้เพราะมุกวิญญาณเก้าหยกนั้นหยุดนางไม่ได้ซือหยูไม่สนใจว่านางคิดจะอยู่ในนั้นต่อไปหรือไม่ เพราะถ้าหากเขาไม่อนุญาต นางก็เอาดินเพาะบ่มชั้นสูงไปไม่ได้แม้แต่กำมือเดียว!
“เทพขนนกท่านมีแขก!”
เสียงจางยี่หมิงดังมาจากด้านนอกเขาคือคนที่รับผิดชอบเมื่อตอนแลกตัวประกันกับซือหยู เขาที่เป็นรองหัวหน้าหน่วยผู้คุมกฎเทพกระเรียนในเวลานี้รับหน้าที่รับใช้ซือหยู
ซือหยูถาม
“ผู้ใดกัน?”
“ปู้หลูยี่เขาเป็นลูกหลานเทพกระบี่ เป็นผู้คุมกฎอาวุโสอันดับสอง!”
จางยี่หมิงพูดอย่างเลื่อมใสปู้หลูยี่เป็นดั่งตำนานสำหรับเขา
และจางยี่หมิงเองก็ตกใจอยู่ภายในที่แม้แต่ปู้หลูยี่ยังมาหาซือหยูที่เคยเป็นคนต่างแดนมาก่อน
ซือหยูตอบ
“บอกให้เจ้าตระกูลรับแขกข้ากำลังปิดประตูฝึกตน ข้าจะไม่พบแขกสักระยะ”
คนมากมายและหลากหลายสำนักมักมาหาซือหยูอยู่บ่อยครั้งรวมถึงยอดฝีมือขึ้นชื่อในพันธมิตรบูรพาด้วย
แต่ซือหยูก็ขอให้เหอหลูจูรับแขกเหล่านั้น
เหอหลูจูรู้สึกขอบคุณเขาซือหยูยังคงให้เขาดูแลภาระในตระกูล หมายความว่าซือหยูให้ความเคารพต่อเขา
“ตามท่านปรารถนา!”
จางยี่หมิงตอบพลางคิดในใจซือหยูไม่ใช่คนนอกอีกแล้ว! เขาถึงกับปิดประตูใส่หน้าแขกคนสำคัญ!
เมื่อจางยี่หมิงเดินออกไปซือหยูพูด
“ส่งข่าวทั้งหมดที่เจ้ารวบรวมมาให้ข้าโดยเฉพาะเรื่องของตระกูลเทพตำรา!”
นอกห้องฝึกภูติผีมากมายปรากฏตัวพร้อมกับสิ่งที่เตรียมไว้ให้ซือหยู
ภูติผีเหล่านี้คือสมาชิกในหน่วยข่าวกรองของซือหยู
เมื่อซือหยูได้ตราเทพจากสองเทพมาเขาได้ก่อตั้งหน่วยข่าวกรองของตัวเองซึ่งเทพทั้งสองไม่รู้ และข้อมูลต่าง ๆ ก็ล้วนเป็นของซือหยูแต่เพียงผู้เดียว
ด้วยหน่วยนี้ซือหยูสามารถหาวารีพิษเย็น กระจายข่าวลือ และแอบชี้นำความเห็นของคนส่วนมากได้
เมื่อเขาได้เป็นตัวแทนเทพหน่วยข่าวกรองของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วปกคลุมกว่าครึ่งของพันธมิตรบูรพา แน่นอนว่ามีสายลับมากมายถูกส่งไปยังโลกเทพตำรา
สายลับเหล่านี้รวบรวมข้อมูลเรื่องตระกูลเทพตำราตั้งแต่จำนวนคน รูปลักษณ์ และเพศของคนในตระกูล
หลังจากอ่านข้อมูลที่ได้ซือหยูส่ายหน้าเบา ๆ หน่วยข่าวกรองที่เขาเพิ่งก่อตั้งยังทำงานได้ดีไม่พอ สายลับของเขาพลาดข้อมูลสำคัญไปมากมาย
ตามข้อมูลที่ได้รับมามันดูเหมือนว่าตระกูลเทพตำรากำลังไร้การเคลื่อนไหว
แต่ความนิ่งเงียบเช่นนี้ทำให้ซือหยูระแวง
ซือหยูไม่เชื่อว่าตระกูลเทพตำราจะไม่ทำอะไรเมื่อเขาเป็นตัวแทนเทพแต่หน่วยข่าวกรองก็ล้มเหลวในการสืบ เหตุผลเดียวก็คือสายลับของเขาถูกหลอก
เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเทพตำราจะไม่เคลื่อนไหวแต่เขาไม่รู้ว่าแผนของตระกูลเทพตำราที่แน่ชัดเป็นอย่างไร
จากนั้นจางยี่หมิงก็กลับมา
“เทพนกขนท่านมีแขกคนสำคัญอีกคนแล้ว!”
“ให้เหอหลูจูรับแขกนอกจากจะมีเทพมาพบข้า!”
ซือหยูตอบ
จางยี่หมิงตอบ
“ท่านเทพแขกผู้นี้บอกว่ามีสิ่งที่ท่านอยากจะรู้ในเวลานี้”
อะไรนะ?ซือหยูเลิกคิ้ว คนคนนี้รู้ว่าเขากำลังสอดส่องตระกูลเทพตำรา นั่นหมายความว่าหน่วยข่าวกรองของเขาดีกว่าซือหยูอยู่มากโข
ซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ฉลาดพอและมีเครือข่ายข่าวที่มากพอในโลกใบนี้ ซือหยูรู้จักเพียงคนเดียว…หยางไท่!
ซือหยูไม่อยากจะมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายคนนี้หยางไท่ชี้นำให้ตระกูลเทพกระเรียนตามล่าเขา นั่นทำให้เกิดรอยแผลในใจของซือหยู
แต่หยางไท่ที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วเลือกที่จะมาหาเขาพร้อมกับข้อมูลที่ซือหยูต้องการซือหยูจึงรู้ความตั้งใจของเขา
“แขกที่เจ้าว่าคือหยางไท่สินะ?พาไปที่ห้องโถง ให้เขารอข้าที่นั่น!”