ตอนที่ 2001 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“อืม เผ่ามารขั้นปลายตนนั้นแม้รับมือยาก แต่ก็ถูกข้าสังหารแล้วจริงๆ” หานลี่ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้ จึงพยักหน้าพลางยิ้มบางๆ

“สหายหานสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ การต่อสู้ในครั้งนี้เราชนะอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”

พอชายชราผมสีเงินได้ยิน ก็ปล่อยวางความกังวลสุดท้ายในใจลงอย่างบริบูรณ์ จึงพูดด้วยความปีติยินดี

จากนั้นค่อยหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนดังๆ ออกมาโดยไม่ต้องคิดมาก

“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของมารถูกพวกเราสังหารแล้ว ลูกหลานมารอย่างพวกเจ้ายังจะอวดศักดาอะไรกันอีก ขวัญหนีดีฝ่อคือจุดจบหนึ่งเดียวของพวกเจ้า!”

เสียงดังกัมปนาทของผู้เฒ่าสะท้อนก้องไปมาทั่วสนามรบไม่หยุด มนุษย์และมารเกือบทั้งหมดล้วนได้ยินอย่างชัดเจน

ฝ่ายมนุษย์พอได้ยิน ย่อมโห่ร้องตะโกนอย่างยินดีปรีดา ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในพริบตา ส่วนฝ่ายมารพอได้ยิน ก็เกิดความโกลาหล

หลังจากเผ่ามารระดับสูงเหล่านั้นกวาดตามองมาทางผู้เฒ่า แล้วไม่เห็นร่างของหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตกับชายฉกรรจ์เผ่ามารจริงๆ ในใจพลันตื่นตระหนกกับมึนงงอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

เมื่อชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์เห็นดังนี้ ก็รีบร่ายอาคม ห่อสมบัติวิเศษหลายชิ้น พุ่งตัวออก บึ่งไปยังกลุ่มต่อสู้ที่อยู่ใกล้ที่สุด

ที่นั่น เผ่ามารสองตนกำลังต่อสู้กับผู้อาวุโสจากเมืองเทียนหยวนสองท่านอย่างยากคลี่คลาย แต่พอเห็นทั้งสองพุ่งเข้ามาอย่างดุดัน ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที หันมาสบตากัน

“ไป”

ผู้เฒ่าสวมชุดเกราะมารหนึ่งในนั้นพลันตะโกนเสียงต่ำ

เผ่ามารซึ่งถูกไอดำห่อหุ้มทั้งตัวอีกตน ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง แค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แล้วถูมือทั้งสองข้าง พุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม

เสียงดังกระหึ่ม!

สายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วนผ่าออกมาปกคลุมฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง บีบให้ผู้เฒ่าทั้งสองถอยออกชั่วคราว จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ทำท่าขว้างของ เรือไม้สีดำลำหนึ่งปรากฏกลางท้องฟ้า

พอร่างวาบ ก็มาถึงบนเรือ

เรือไม้คำรามเสียงดัง กลายเป็นสายรุ้งสีดำสายหนึ่ง พุ่งแหวกอากาศออกไปไกล

ส่วนผู้เฒ่าเกราะเขียว ซึ่งเสกธงสีเขียวเปล่งแสงอยู่แต่แรก ก็เขย่าธงแรงๆ แสงสีเขียวขุ่นแผ่ออก จมร่างเขาเข้าไป พอแสงสีเขียววาบ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยตรงนั้น

ต่อมา ท้องฟ้าห่างออกไปหลายร้อยจั้งเกิดความแปรปรวน ร่างคนจางๆ สายหนึ่งวาบขึ้น และพอแสงสีเขียวขยายใหญ่ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีก

เผ่ามารทั้งสองกลับรีบหนีไปอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสสองท่านจากเมืองเทียนหยวน คู่ต่อสู้ของพวกเขา เมื่อเห็นดังนี้ ย่อมไม่ยินยอม หลังจากรวมพลังกันจู่โจมใส่สายฟ้าสีดำจนสลาย ก็ทำท่าจะวาบแสงตามไป

แต่ในตอนนี้เอง ชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์กลับวาบเข้ามาใกล้ รีบเรียกทั้งสองไว้

“สหายทั้งสองไม่ต้องสนใจเผ่ามารที่ล่าถอยไปเหล่านั้น ช่วยสหายท่านอื่นๆ ก่อนเป็นสำคัญ!” ชายชราผมสีเงินขยับริมฝีปากเล็กน้อย ส่งเสียงบอกไม่กี่คำ

แล้วแสงวาบก็เปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปยังกลุ่มต่อสู้อีกกลุ่ม

ผู้อาวุโสสองท่านนี้พลันงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ดับความคิดที่จะล่าสังหารทันที เปลี่ยนไปเป็นกองหนุนให้กลุ่มอื่น

ในชั่วพริบตา กองทัพมารทั้งหมดก็โกลาหลยกใหญ่!

เผ่ามารเหล่านั้นหลายตนพอเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็ถอยหลังแล้วหนีออกทันที

ส่วนมารที่โหดเหี้ยมสุดๆ ขณะคิดนำขบวนสังหารต่อ กลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ในเผ่ามนุษย์และปีศาจซึ่งมาทีหลังล้อมไว้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ถูกสังหารฉับพลัน ก็บาดเจ็บสาหัสก่อนหลบหนีไป

ส่วนมารระดับล่างเหล่านั้น พอไม่มีการบัญชาการและการสั่งการจากเผ่ามาร ในใจก็หวาดกลัวยิ่ง ทยอยกันไม่มีใจตีเมือง ยอมแพ้และล่าถอยไป ซึ่งพอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็เก็บกลับคืนไม่ได้อีก

ด้านเผ่ามนุษย์และปีศาจ แม้สูญเสียอย่างหนักเช่นกัน แต่ขวัญและกำลังใจของพวกเขากลับเพิ่มขึ้นมาก พากันวิ่งลงไปในเมืองพลางล่าสังหารตลอดทาง

ชั่วขณะเดียว ในรัศมีหลายหมื่นลี้จึงได้ยินแต่เสียงตะโกนว่าฆ่าอยู่ทุกแห่งหน แล้วมารนับไม่ถ้วนก็ตาลีตาเหลือกหนีลูกเดียว

แสงสว่างปกคลุมฟ้าดินหลายรูปแบบ ไล่บี้อยู่ด้านหลังของพวกเขาอย่างไม่ลดละ มารระดับล่างที่ถูกแสงสว่างวาบผ่าน มีสภาพดุจเกี๊ยว ทยอยกันร่วงหล่นลงเป็นระยะ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

หานลี่มิได้ลงมือต่อสู้กับเผ่ามารเหล่านั้นตามพวกอาจารย์จินเย่ว์ แต่ยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ มองดูกระบวนการปราชัยของกองทัพมารทั้งหมด

พอเขาเห็นมารทั้งหมดทยอยหนีเข้าไปในพื้นที่ใกล้ๆ กับเมืองเทียนหยวน แล้วถูกเผ่ามนุษย์และปีศาจไล่ล่าราวกับต้อนเป็ด ก่อนหายตัวไปในที่ว่างใกล้เคียงอย่างไร้ร่องรอย ค่อยถอนหายใจยาวๆ ออกมาในที่สุด

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ กองทัพมารนับว่าพ่ายแพ้อย่างจริงแท้แน่นอนแล้ว

ตอนนี้ ต่อให้มีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารอวตารร่างแยกมาจุติอีก ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม

หานลี่ยืนอยู่ที่เดิมอีกสักพัก หลังจากเห็นทหารรักษาการณ์ส่วนใหญ่ไล่ตามไกลออกไปเรื่อยๆ กลับวาบแสงสีเขียว นำอสูรมิคาทนพุ่งทะยานเข้าไปในเมือง

พลเมืองธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักในเผ่ามนุษย์และปีศาจล้วนรู้ข่าวการพ่ายแพ้ของเผ่ามารแล้ว

เช่นกัน จึงส่งเสียงโห่ร้องดีใจไปทั่วเมืองใหญ่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างจำนวนมากออกมาจากที่พำนัก แล้วปลดปล่อยอารมณ์ยินดีปรีดาในใจอย่างเต็มที่

ชั่วขณะเดียว บนถนนและกลางอากาศในทุกที่ก็แออัดไปด้วยผู้คน อึกทึกคึกโครมเป็นอย่างยิ่ง

หานลี่เห็นดังนี้ แม้ใจเขาสงบนิ่งดุจน้ำมาตลอด ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่ง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดอยู่กับที่แม้แต่น้อย ยังคงบึ่งหนีกลับที่พักตลอดทาง

ไม่นาน เขาก็เห็นเจดีย์ศิลาของตนมาแต่ไกล จึงวาบแสง ตรงดิ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลใจ

เขามิได้กลับเข้าห้องพักชั้นบนสุด แต่พลันร่ายอาคม วาบร่างไปยังห้องลับชั้นใต้ดินของเจดีย์ ซึ่งอยู่ลึกลงไปกว่าร้อยจั้ง

หานลี่เปิดเขตต้องห้าม หลังจากกำชับอสูรมิคาทนไม่กี่คำ ก็รีบเข้าไปปรับพลังปราณ

เขาในตอนนี้สูญเสียพลังปราณไปมาก ในร่างก็ยังมีฤทธิ์ยาหลายชนิดปะทุปะปนกัน อยู่ในสภาพที่ยังมองโลกในแง่ดีไม่ได้ จำต้องรักษาตัวให้เร็วได้เท่าไรยิ่งดี!

เขาจึงไม่แม้กระทั่งรอพวกชายชราผมสีเงินได้รับชัยชนะกลับมา ก็กลับที่พักเพื่อเข้าฌานก่อน

และขณะที่หานลี่เข้าฌานอยู่นั้น ผู้บำเพ็ญเพียรในเผ่ามนุษย์และปีศาจภายใต้แกนนำระดับผสานอินทรีย์ก็ ไล่ล่ากองทัพมารที่ถูกโจมตีจนแพ้พ่ายอยู่สามวันสามคืน

แม้ในระหว่างนี้ พวกเขาล่าสังหารเผ่ามารได้ไม่กี่ตน แต่มารระดับกลางค่อนต่ำกลับถูกพวกเขาสังหารไปอย่างน้อยห้าถึงหกในสิบส่วน

กองทัพเมืองเทียนหยวนจึงนับว่าได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง เป็นเหตุให้ผู้คนเดินทางกลับบ้านอย่างกระตือรือร้น

และแน่นอน เพื่อป้องกันการฟื้นคืนชีพของกองทัพมาร ชายชราผมสีเงินและคนอื่นๆ ยังคงจัดคนจำนวนมากให้คอยติดตามการเคลื่อนไหวของชนเผ่ามารที่หลงเหลือต่อ

เมื่อกลับเข้ามาในเมือง ทุกคนที่ออกรบล้วนได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคลั่งจากคนที่อยู่ในแนวหลัง ผู้คนทั้งเมืองพากันจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ร่วมกับการเฉลิมฉลองในคราวเดียว

แทบทุกคนในเมืองเข้าเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่นี้

แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งของเมืองเทียนหยวนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง แต่กำลังอยู่ในวิหารซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง เริ่มประชุมลับกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่ออกรบอีก

ในนี้มีกลุ่มผู้ส่งสารระดับผสานอินทรีย์จากเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่แอบมาเป็นกองหนุน และมีผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนในเมืองเทียนหยวนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน

โดยขณะนี้ กลุ่มที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์เพิ่งฟังชายชราผมสีเงินเล่าว่าร่างอวตารเซวี่ยกวงถูกแมลงหมื่นตัวกลืนกินได้อย่างไร ซึ่งแต่ละคนล้วนแสดงท่าทางตื่นตระหนกออกมาอย่างอดไม่ได้

“แมลงกลืนทอง แถมเป็นแมลงกลืนทองที่โตเต็มวัยด้วย แมลงดุร้ายขนาดนี้ ถูกคนเลี้ยงไว้กว่าหมื่นตัว

เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ เช่นนี้เป็นอันว่า ร่างอวตารบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวง กับเผ่ามารขั้นปลายอีกตนที่

ร้ายกาจกว่า ก็ล้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของสหายหานท่านนี้”

ชายหน้าเหลืองที่มีเคราแข็งๆ สีดำเต็มหน้าพึมพำ

“พูดแล้วก็ละอายใจ การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าไม่ได้มีบทบาทสำคัญมาก เพียงแต่ในระยะแรก ได้ร่วมกับปรมาจารย์จินเย่ว์พัวพันร่างอวตารมารเฒ่าอยู่สักพัก จากนั้นก็ต้องพึ่งพาแมลงกลืนทองของสหายหาน ค่อยสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ สหายหานคนเดียวก็จัดการเผ่ามารไปตนหนึ่งแล้ว”

ชายชราผมสีเงินพูดพลางยิ้มขมขื่น

“พี่กู่ก็ถ่อมตนจนเกินไปแล้ว ถ้ามิใช่เพราะท่านกับปรมาจารย์ใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ ถึงสหายหานปลุกเสกแมลงกลืนทองได้ ก็ยากที่จะไล่ทันร่างอวตารบรรพชนศักดิ์สิทธิ์นั่นอย่างจริงแท้แน่นอน”

ชายชราดวงตาเรียวยาว ผมสีมรกตอีกคนหนึ่งขบคิดพลางพูด

“ผู้เฒ่าชุย สัญลักษณ์หยินหยางเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ใต้เท้ามั่วเจี่ยนหลีมอบให้ก่อนจากไป ผู้แซ่กู่มิบังอาจรับว่าเป็นผลงานตนเองอย่างเด็ดขาด!” ชายชราผมสีเงินส่ายศีรษะก่อนพูด

“แต่สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬนั่นก็ใช่ว่าจะปลุกเสกกันง่ายๆ พี่กู่กับท่านปรมาจารย์ต้องยอมสูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ทั้งร่าง ถึงทำขนาดนี้ได้ จะไม่มีผลงานได้อย่างไรกันเล่า ถ้าเช่นนี้ยังไม่นับ เช่นนั้นพวกเราก็ยิ่งรู้สึกละอายใจแล้ว” ชายชราพูดพร้อมรอยยิ้ม

ชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์ย่อมถ่อมตนอีกครั้ง

ขณะนั้น หญิงวัยกลางคนในชุดกระโปรงยาวสีฟ้ายิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางเอ่ย

“ไม่ต้องพูดถึงผลงานของพี่กู่กับท่านปรมาจารย์แล้ว แค่มุมานะวางแผนก่อนสงครามใหญ่ ก็เป็นผลงานอันดับต้นๆ ของสหายทั้งสองท่านอย่างแน่นอน แต่พอได้ยินสหายพูดเช่นนี้ ก็ไม่ควรดูเบาอิทธิฤทธิ์อันล้นหลามของสหายหานท่านนั้น เกรงว่าพอจะอยู่ในห้าอันดับแรกของสองเผ่าเราด้วยซ้ำ คนเช่นนี้ข้าต้องพบหน้าสักตั้ง ว่าแต่สหายท่านนี้ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว”

“ไม่ผิด สุ่ยฮูหยินพูดถูก ข้าก็อยากพบหน้าเขาสักครั้งเช่นเดียวกัน” ในกลุ่มคนมีคนสนองตอบทันที

“สหายท่านนี้ การพบหน้าเขาในตอนนี้ เกรงว่าไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้าง เนื่องจากสงครามใหญ่ครั้งนี้ สหายหานก็สูญเสียพลังปราณไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน พอกลับเข้าเมือง จำต้องรีบเข้าฌาน ดังนั้นการรวมตัวในครั้งนี้ ข้าจึงมิได้เชิญสหายหานมาด้วย” ชายชราผมสีเงินค่อยๆ อธิบาย

“เช่นนี้นี่เอง กลับเป็นข้าที่พูดจาวู่วามไปหน่อย เช่นนั้นรอให้สหายหานออกฌาน ข้าค่อยไปเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน” หญิงวัยกลางคนชุดฟ้าแสดงสีหน้าเสียดายออกมา

สองสามคนในกลุ่มก็แสดงความเสียใจออกมาเช่นกัน แต่ถ้าจะพูดอะไรอีกก็ไม่สู้ดีนัก

“ศึกครั้งนี้ สหายหานแม้มีผลงานไม่น้อย แต่การที่เมืองรอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้ ที่สำคัญยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลืออย่างทุ่มเทจากทุกท่าน ข้าไม่ขอกล่าวขอบคุณมากมายอะไรอีก ขอเพียงต่อไปทุกท่านมีอะไรที่ต้องการใช้เมืองเทียนหยวน แค่บอกข้ามาคำเดียว เมืองเราต้องตอบแทนด้วยกำลังทั้งหมดที่มีอย่างแน่นอน”

ผู้อาวุโสอีกหลายคนของเมืองเทียนหยวนยืนขึ้นและให้คำมั่นสัญญาในลักษณะเดียวกัน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ท่านอื่นๆ ก็ล้วนอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าปีติยินดีออกมา จากสถานะของชายชราผมสีเงินและอีกหลายคน คำมั่นสัญญาเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต้องมีประโยชน์ในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบแสดงความเกรงอกเกรงใจตอบเช่นกัน

“ศึกใหญ่ในครั้งนี้ แม้เราชนะแล้ว แต่ยังคงวางใจลงไม่ได้ เพราะเผ่ามารเหล่านั้นกับกองทัพมารเกือบครึ่งยังมิได้สูญสลายไป เกิดบรรพชนของเซวี่ยกวงตนนั้นโหดร้ายขึ้นมา ย่อมอวตารมาจุติในแดนวิญญาณอีก ซึ่งเราอาจต้องเผชิญหน้ากับสงครามที่ยากลำบากอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เราจึงไม่อาจปกป้องเมืองอยู่กับที่อย่างเดียว ต้องฉวยโอกาสจากชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ รุกจู่โจมเพิ่ม ล่าสังหารกองทัพมารที่หลงเหลือต่อ จะให้มารที่เหลืออยู่เหล่านี้ มีโอกาสอื่นใดในการตั้งทัพขึ้นใหม่ไม่ได้เป็นอันขาด”

ชายชราผมสีเงินพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมลงขณะพูด