ตอนที่ 2002 ผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์กลับไม่รู้สึกแปลกใจ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังขานรับและพยักหน้าเห็นด้วย

และแล้ว ภายใต้ความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหลายท่านในเมืองเทียนหยวน ชายชราผมสีเงินจึงจัดการภารกิจส่วนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยเผ่ามนุษย์และปีศาจกว่าครึ่งซึ่งอยู่ในที่ประชุมกำลังจะถูกส่งออกนอกเมือง ไปล้อมปราบเหล่ามารที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ควบคุมพื้นที่ในเมืองเทียนหยวนไว้

ส่วนอีกจำนวนหนึ่งให้คงเหลือไว้ปกป้องเมืองเทียนหยวน และรับผิดชอบซ่อมแซมค่ายกลอาคมและแนวป้องกันต้องห้ามทั้งหมดที่ถูกทำลายโดยเร็วที่สุด

แน่นอน เรื่องสำคัญสุด ก็คือส่งคนอีกกลุ่มเข้าไปในพื้นที่ใกล้เคียง ทำลาย “จุดเชื่อมต่อ” ช่องทางเข้าออกแดนมารทันที ทำให้เผ่ามารแม้ส่งกองหนุนเข้ามาอีก ก็ไม่มีทางจุติมายังพื้นที่ใกล้เคียงกับเมืองเทียนหยวนแล้ว

เนื่องจากเรื่องเหล่านี้ล้วนสำคัญยิ่ง ทันทีที่แจกจ่ายเสร็จ ผู้คนในที่ประชุมก็รีบแยกย้ายกันไปทำเรื่องของตน

พริบตาเดียว ห้องโถงใหญ่ก็เหลือเพียงชายชราผมสีเงินกับชายชราที่เรียกกันว่า “ผู้เฒ่าชุย”

ชายชราท่านนี้คือหนึ่งในคนที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ส่งมา หลังจากหารืออย่างลับๆ กับชายชราผมสีเงินในวิหาร ค่อยเดินตัวปลิวจากไป

จากนั้นชายชราผมสีเงินก็หน้าชื่นตาบาน คล้ายได้รับข่าวดีอะไรจากปากของชายชรา

ไม่นานหลังจากนั้น ด้วยความมุมานะของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่เมืองเทียนหยวนส่งตัวไป มารที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแต่เดิม ก็ถูกล้อมสังหาร ทำลายล้างอีกครั้ง

แต่มารตนอื่นๆ ที่เหลือ กลับค่อยๆ ล่าถอยออกจากเมืองเทียนหยวนภายใต้การนำของเผ่ามารจำนวนหนึ่ง ไปสวามิภักดิ์ให้กับกองทัพมารอื่นๆ ในพื้นที่ที่มีเขตแดนติดกัน

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทหารของเมืองเทียนหยวนย่อมไม่กล้าล่าสังหารต่อ หลังจากวางทหารรักษาการณ์จำนวนมากไว้ตรงแนวชายแดน ก็กลับเข้าเมืองไป

จนถึงขั้นนี้ ศึกใหญ่ของเมืองเทียนหยวนค่อยนับว่าปิดฉากลงได้อย่างแท้จริง

ท้ายที่สุดเผ่ามนุษย์และปีศาจก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในทุกสมรภูมิของศึกใหญ่ แต่ก็ต้องสูญเสียกำลังพลในการป้องกันเมืองไปหนึ่งในสามส่วน กระทั่งมีผู้อาวุโสระดับผสานอินทรีย์หลายท่านต้องพลีชีพระหว่างออกรบอย่างไม่คาดคิด ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาลงไปก็ยิ่งบาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน

แต่ยังดีที่สุดท้ายสามารถขับไล่ทัพมารออกไปได้ กระทั่งจู่โจมสังหารมารได้ในจำนวนที่มากกว่า ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่เกิดหายนะเป็นต้นมา เชื่อว่านี่คือสิ่งสำคัญที่มีบทบาทเป็นอย่างยิ่งต่อขวัญและกำลังใจของทั้งสองเผ่า

แน่นอน ชัยชนะของเมืองเทียนหยวน มิได้หมายความว่าท่ามกลางหายนะทั้งสองเผ่าจะมีอำนาจเหนือกว่า

ตรงกันข้าม ฐานที่มั่นในพื้นที่อื่นๆ ก็กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ถูกกองทัพมารปิดล้อมเช่นกัน

ส่วนการที่ฐานที่มั่นเหล่านี้จะสามารถกอบกู้สถานะคืนจากคลื่นที่ถาโถมเข้ามาหรือไม่นั้น สวรรค์เท่านั้นที่รู้

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกัน เมืองเทียนหยวนที่รบชนะอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากขับพวกมารออกจากพื้นที่ควบคุม แผ่นดินนี้พลันปรากฏอิทธิพลที่หลงเหลืออยู่ของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก รวมทั้งสำผู้บำเพ็ญเพียรและตระกูลสูงศักดิ์ก็ทยอยกันเข้ามาในเมืองเทียนหยวนไม่น้อย

กระทั่งในพื้นที่ควบคุมของเหล่ามารที่อยู่ติดชายแดน ก็ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักและผู้มีอิทธิพลเล็กๆ มากมายยอมเสี่ยงหนีเข้ามาในเมืองเทียนหยวน

ถ้าเป็นเช่นนี้ กำลังคนที่เมืองเทียนหยวนสูญเสียไป ก็ได้รับการเติมเต็มขึ้นมาใหม่อย่างง่ายดาย เชื่อว่าอีกไม่นาน แม้กองทัพมารฟื้นคืนกลับ เมืองเทียนหยวนก็มีกำลังพอที่จะรบอีกครั้ง

ดังนี้ ทุกอย่างในเมืองเทียนหยวนกำลังฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างตั้งหน้าตั้งตาสะสมกำลังพลทุกอย่างที่ใช้งานได้

เวลาดุจกระสวยทอผ้า พริบตาเดียวก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้ว

วันนี้ เจดีย์ศิลาที่หานลี่พักอาศัยอยู่ กลับมีแขกพิเศษท่านหนึ่งมาเยือน

พอคุณชายไห่กับชี่หลิงจื่อได้ข่าวก็ตกใจ รีบเชิญเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ชั้นบนสุด

คนผู้นี้พอนั่งลงในห้องโถงใหญ่ ก็พลันถามชี่หลิงจื่ออย่างไม่เกรงใจ

“ข้ามาหาอาจารย์ของพวกเจ้าในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญ พวกเจ้าไปแจ้งให้ข้าที”

“เรียนผู้อาวุโส อาจารย์กำลังเข้าฌาน กำชับไว้แต่แรกว่าไม่ขอพบแขก”

แม้ชี่หลิงจื่อรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ไม่เป็นไร ข้ากับอาจารย์ของพวกเจ้านัดกันไว้นานแล้ว เจ้าแค่ไปแจ้งเขาคำหนึ่ง สหายหานไม่ตำหนิพวกเจ้าหรอก” คนผู้นี้มีสีหน้าเย็นชา และพูดจาอย่างไม่ยี่หระ

“เมื่อผู้อาวุโสพูดเช่นนี้ ผู้น้อยก็จะลองดูเจ้าค่ะ!”

หลังจากลังเลอยู่สักพัก ชี่หลิงจื่อก็จำใจรับปาก เพราะรู้ดีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ทั่วไปจริงๆ

ซึ่งจากนั้น เขาก็พลิกมือ ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งปรากฏ หลังจากก้มลงพูดกับยันต์ไม่กี่คำ ก็ชูขึ้น ปล่อยมันไป

…..

ห้องลับชั้นใต้ดินของเจดีย์ศิลา

ตั้งแต่วันที่เข้าฌานมา หานลี่ก็มิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ ร่างพลันเปล่งแสงสีทองขึ้นวาบ ดวงตาที่ปิดสนิททั้งสองข้างค่อยๆ ลืมขึ้น

แววตาของเขาทอประกาย เห็นชัดว่าพลังปราณได้ฟื้นคืนกว่าครึ่งแล้ว

เขายื่นมือข้างเดียวจับที่ว่าง หลังจากเสียงดัง ‘พรึ่บ’ แสงไฟเส้นหนึ่งก็กรีดที่ว่างแล้วบินออกมาตรงๆ พอ

วาบก็มาอยู่ในกำมือเขา

หานลี่ใช้พลังจิตกวาดตามอง พอกะพริบตา ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำ

“นึกว่าใคร กลับเป็นเขาที่มา เห็นทีถ้าไม่ออกไปพบสักหน่อย คงไม่ได้”

สิ้นเสียง ก็ลุกจากอาสนะ หลังจากร่างพร่ามัว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่ง พุ่งออกจากประตูใหญ่ของห้องลับทันที

จากนั้นไม่นาน กลางห้องโถงใหญ่ชั้นบนสุดของเจดีย์ศิลาก็มีแสงสีเขียววาบเก็บ แล้วร่างของหานลี่ก็ยืนหลังตรง ปรากฏอยู่ตรงนั้น

“คารวะท่านอาจารย์!”

พอชี่หลิงจื่อกับคุณชายไห่เห็นหานลี่ ก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะด้วยความปีติยินดีก่อน

“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด พี่หล่ง เวลาในการมาของท่านไม่ถูกต้องนี่ ดูเหมือนเร็วกว่าที่นัดกันมาก อีกทั้งมาเมืองเทียนหยวนในตอนนี้ ไม่กลัวพวกมารฉวยโอกาสถล่มฐานที่มั่นสกุลหล่งจนราบคาบหรอกหรือ”

หานลี่โบกมือให้ศิษย์ทั้งสอง ก่อนหันไปพูดเบาๆ กับแขกผู้มาเยือน

แขกที่กำลังกวาดตามองขึ้นลง สำรวจหานลี่อยู่นั้น มีใบหน้าสีทองอ่อน ดวงตามีแววแปลกใจวาบผ่าน ซึ่งก็คือผู้ที่เคยมีนัดลับๆ กับหานลี่ ปรมาจารย์สกุลหล่ง

“ที่ผู้แซ่หล่งริอาจมาไกลขนาดนี้ ย่อมเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางมานาน กลับได้ยินว่าสหายเข้าสู่ขั้นปลายแล้ว และยังฉายเดี่ยวสังหารร่างอวตารบรรพชนมารศักดิ์สิทธิ์กับเผ่ามารขั้นปลายในศึกสงครามใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ด้วย ข่าวนี้เดิมทีข้าไม่ค่อยเชื่อหรอก แต่ตอนนี้เห็นทีน่าจะไม่ปลอม หลังจากสหายหานเข้าสู่ขั้นปลาย ที่สุดแล้วระดับบำเพ็ญเพียรก็พุ่งพรวดมาถึงขั้นนี้ได้ ข้าสิต้องละอายใจที่เทียบไม่ติด แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากลับยิ่งมั่นใจในเรื่องที่เรานัดกันไว้ ส่วนที่มาก่อนเวลานิดหน่อย เพราะเรื่องในตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”

หลังจากปรมาจารย์สกุลหล่งเก็บสายตาคืนกลับ ท่าทางแม้สงบนิ่ง แต่มิอาจซ่อนความประหลาดใจในแววตา

“ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้น้อยค่อนข้างมีวาสนาอยู่บ้าง จึงเข้าสู่ขั้นปลายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการสังหารร่างอวตารบรรพชนมารศักดิ์สิทธิ์นั้น มิได้อาศัยแรงของผู้แซ่หานเพียงคนเดียว พวกสหายกู่ก็ออกแรงค่อนข้างมาก”

ใบหน้าหานลี่มีความประหลาดใจวาบผ่าน แต่มิได้ถามอะไรในทันที กลับอธิบายคร่าวๆ ไปสองประโยค

“ไม่ว่าอย่างไร สามารถจู่โจมสังหารร่างอวตารบรรพชนมารศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ นอกจากนี้สหายยังเพิ่งเข้าสู่ขั้นปลายของระดับเท่านั้น คิดว่าต่อไปถ้าบำเพ็ญพลังยุทธ์จนบรรลุ อิทธิฤทธิ์จะยิ่งก้าวหน้าไปอีกขั้น ซึ่งผู้แซ่หล่งต้องบอกตัวเองว่า ตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหายแล้ว” ปรมาจารย์สกุลหล่งทอดถอนใจก่อนพูด

“เอ๋ พี่หล่งก็พูดถ่อมตัวจนเกินไป เอาล่ะ สหายเล่ารายละเอียดของเรื่องนั้นให้ผู้แซ่หานฟังหน่อยเถอะว่า

เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร” หานลี่หัวเราะเบาๆ แล้วดึงเข้าประเด็นจนได้

“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว ถ้าอยู่ที่นี่…”

ปรมาจารย์สกุลหล่งกะพริบตา เหลือบมองชี่หลิงจื่อกับคุณชายไห่พลางลังเลใจเล็กน้อย

“พวกเจ้าออกไปก่อน รอข้าเรียก ค่อยเข้ามา”

หานลี่ย่อมเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย จึงหันไปพูดกับศิษย์ทั้งสองอย่างไม่ลังเลใจทันที

“ขอรับอาจารย์!”

ศิษย์ทั้งสองย่อมไม่มีความเห็นอื่นใด รับคำสั่งอย่างนอบน้อม แล้วออกจากห้องโถงใหญ่ไปเงียบๆ

หานลี่สะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวสว่างกลุ่มหนึ่งม้วนออก แต่พอวาบก็หายวับไป

ถัดมาที่ว่างใกล้ๆ ก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ แสงสีขาวลอยขึ้นเป็นชั้นๆ ครอบห้องโถงใหญ่ทั้งห้องไว้

“เอาล่ะ ตอนนี้นอกจากข้ากับท่าน ที่นี่ก็ไม่มีใครอื่นอีก พี่หล่งมีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย”

หานลี่แอบเก็บคาถา แล้วยิ้มน้อยๆ พลางพูดกับปรมาจารย์สกุลหล่ง

“เมื่อสหายหานเปิดเขตต้องห้ามแล้ว ข้าย่อมวางใจลง เรื่องเป็นเช่นนี้ เวลาแต่เดิมที่เรานัดกันว่าจะเข้าไปในแดนมาร อาจต้องเลื่อนให้เร็วขึ้นหน่อย เพราะข้าได้ข่าวว่า เผ่ามารจะทำการตอบโต้เผ่าทั้งสองของเราในหลายปีหลังจากนี้ และเมื่อถึงตอนนั้น ดูเหมือนสามบรรพชนผู้บุกเบิกแดนมารจะมาจุติพร้อมกันในแดนวิญญาณด้วย ถึงตอนนั้นไม่ว่าเราจะรบชนะหรือแพ้ เกรงว่าล้วนไม่มีโอกาสแฝงตัวเข้าไปในแดนมารอีก ถ้าอยากได้วัตถุวิญญาณสองอย่างนั้น เรามีแต่ต้องเข้าไปในแดนมารล่วงหน้า จึงจะมีโอกาส”

ปรมาจารย์สกุลหล่งมีท่าทางจริงจังขึ้นมา

“สามบรรพชนผู้บุกเบิกแดนมาร!” พอได้ยิน หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี

“ดูๆ ไปสหายหานก็เคยได้ยินชื่อของสามบรรพชนผู้บุกเบิกแดนมารมาเหมือนกัน มารชราสามตนนี้น่าจะอยู่ในระดับทรงพลังที่สุดในแดนมารยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งห่างชั้นกับบรรพชนมารศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปอย่างเทียบกันไม่ได้ ได้ยินว่าชนต่างเผ่าที่อยู่ในระดับมหายานในแดนวิญญาณเราหลายคน ก็ล้วนถูกมารทั้งสามตนนี้แยกกันสังหาร” พอปรมาจารย์สกุลหล่งพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ม่านตาก็อดที่จะหรี่ลงไม่ได้

หานลี่พลันมีท่าทางเคร่งขรึมลง กะพริบตา ครุ่นคิดอะไรอยู่ที่เดิม

ปรมาจารย์สกุลหล่งก็ไม่เปิดปากพูดอะไรอีก เพียงรอหานลี่ตอบเงียบๆ

“ที่ข้ารู้มา สามบรรพชนมารผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยออกจากแดนมานมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องของชนต่างเผ่าระดับมหายานเหล่านั้น คล้ายเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาบุกเข้าไปในแดนมาร ค่อยเสียชีวิตด้วยน้ำมือของมารทั้งสาม พี่หล่งแน่ใจหรือว่าข่าวนี้ถูกต้อง” ผ่านไปสักพัก หานลี่จึงค่อยๆ เอ่ยปาก

“ทำไม พี่หานสงสัยในคำพูดของผู้น้อยหรือ” ปรมาจารย์สกุลหล่งถามกลับโดยมิได้รู้สึกว่าแปลก

“ใช่ว่าผู้แซ่หานสงสัยสหาย แต่เรื่องที่พี่หล่งพูดเมื่อครู่ มิใช่เรื่องเล็กจริงๆ ผู้น้อยจึงต้องรอบคอบหน่อย”

หานลี่ไม่เปลี่ยนท่าทีขณะตอบ

“ถ้าเป็นเช่นนี้ สหายก็วางใจได้ ข่าวนี้ข้าได้มาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ เป็นข่าวที่ออกมาจากปากของผู้อาวุโส

เอ๋าเซี่ยวแห่งเผ่าปีศาจเอง คำพูดของท่านผู้เฒ่า สหายหานรู้สึกว่ามีส่วนที่ไม่ถูกต้องอยู่กี่ส่วน”

ปรมาจารย์สกุลหล่งจ้องหน้าหานลี่ พลางพูดเน้นทีละคำ

“ปรมาจารย์เอ๋าเซี่ยว ท่านผู้เฒ่าไปเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ” หานลี่สะอึก มองนิ่งและรีบถามกลับ