หลินจ้งตกตะลึง เบิกตากว้างมองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างนิ่งทื่อ ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ออกมาได้ นั่นเป็นท่านพ่อของเขาเชียวนะ อย่าว่าแต่จะทำให้เขาต้องหลับใหลไม่ได้สติเลย แม้จะต้องเอาถึงแก่ชีวิตของตัวเอง เขาก็ล้วนไม่อาจกระทำเรื่องที่อกกตัญญูอย่างมหันต์แบบนั้นได้
นิ่งอึ้งอยู่เป็นเวลานาน จึงจะก้มหน้าลงเงียบๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น “ซื่อจื่อขอรับ โปรดให้อภัยด้วย ข้ามิอาจทำได้ขอรับ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของข้า ข้า…” คำพูดต่อจากนั้นก็ไม่ได้พูดออกมาหลังจากที่รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องของหวงฝู่อี้เซวียน
“พ่อของเจ้าได้ลุ่มหลงไปแล้ว วันนี้เขาลงมือไม่สำเร็จ พรุ่งนี้เขาก็ยังจะตามล่าหาผู้อื่นมาทำร้ายอีก เจ้ามีเวลาที่จะดูเขาเช่นนี้โดยไม่ทำอะไรวันแล้ววันเล่าอย่างนั้นหรือ”
หลิงจ้งก้มหน้า ไม่พูดอะไร
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมต่ำลง ทว่าแต่ละคำกระทบเข้าในใจของหลินจ้ง “บนโลกนี้ไม่มีกำแพงอะไรที่ลมไม่อาจทะลุผ่านได้ วันนี้ข้าช่วยเจ้าคลี่คลายเรื่องนี้ พรุ่งนี้เล่า มะรืนนี้เล่า ถ้าหากฝ่าบาททรงทราบเข้า บรรดาข้าราชการฝ่ายบุ๋นและบู้ทราบ และทุกคนในเมืองหลวงทราบเรื่องนี้อีก ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร จวนหลินของครอบครัวเจ้าก็จะไม่อาจรักษาไว้ได้อีกแล้ว เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่”
หลินจ้งกำมือแน่น เผยท่าทางที่เจ็บปวดและยากจะตัดสินใจ
คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนหยุดลงแต่เพียงเท่านี้ และไม่พูดอะไรมากอีก ปล่อยให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง
หมัดของหลินจ้งข้างหนึ่งชกลงบนพื้น กระทบจนผิวพื้นแตกร้าวและกระเซ็นไปด้วยหยดเลือดเล็กๆ ของเขา
ผ่านไปชั่วนาน ถึงจะเงยหน้าขึ้น เบิกตาที่แดงฉานมองหวงฝู่อี้เซวียน “ไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาอื่นแล้วหรือขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องมองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “มี”
หลินจ้งดีใจโดยพลัน และพูดอย่างรีบร้อน “ซื่อจื่อ โปรดบอกด้วยขอรับ”
“การตายอย่างเฉียบพลัน แล้วทุกอย่างจะจบสิ้นในคราเดียว”
หลินจ้งทรุดลงไปนั่งกับพื้น เขารู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ไดล้อเล่น ถ้าอยากจะปกป้องทั้งนายและบ่าวทุกคนในจวนหลิน คงเหลือทางเลือกให้เดินเพียงแค่สองทางนี้
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “วันนี้ ข้าได้จัดกองทัพที่ใหญ่โตขนาดนั้นไป อีกไม่นานฝ่าบาทก็ทรงทราบแล้ว เวลาของเจ้ากับข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว คุณชายหลินรีบตัดสินใจเถิด”
หลินจ้งกุมศีรษะของตัวเองอย่างทุกข์ระทม
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเขา ทุกคำ ทุกประโยคกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย “ผู้ที่ทำการใหญ่สำเร็จมักไม่คิดเล็กคิดน้อย หากเจ้าไม่มีแม้แต่ความกล้าเพียงแค่นี้ ต่อไปจะค้ำจุนจวนหลินได้อย่างไร ข้าว่าข้าไปรายงานต่อฝ่าบาทด้วยความสัตย์จริงดีกว่า แล้วให้พระองค์ตัดสินพระทัย จะได้ไม่ต้องทำให้เจ้าลำบากใจถึงขนาดนี้”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน และกำลังจะเดินออกไปด้านนอก
หลินจ้งปล่อยมือจากศีรษะของตัวเอง เปลี่ยนอิริยาบทจากการนั่งเป็นคุกเข่า พร้อมอ้อนวอนด้วยเสียงเบา “ซื่อจื่อ ให้เวลาข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้า…ข้า…”
ฝีเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุด และพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา “พรุ่งนี้เวลานี้ ข้า ต้องการได้ยินสิ่งที่ชัด เจน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ข้าจะทำให้ตามที่เจ้าต้องการ แต่ว่า เจ้าต้องจำเอาไว้เสียว่าจวนหลินแห่งนี้ นอกจากพ่อของเจ้าแล้ว ยังมีแม่ของเจ้า ฮูหยินและบุตรของเจ้า อีกทั้งยังมีน้องสาวของเจ้าที่ให้เป็นอนุของน้อง รองของข้าตลอดชีวิตนั่น”
หลินจ้งเหมือนดั่งถูกสายฟ้าฟาดลงมา ร่างกายแน่นิ่งอยู่กับที่
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตรงออกจากจวนหลิน หลังจากสั่งโจวอันให้ถอนกำลังขององครักษ์ลับ ตัวเองก็ขี่ม้าเร็วกลับมาที่จวนอ๋อง
เมิ่งซื่อยังคงอยู่เป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวภายในห้องของนาง ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกลับมา ก็ยิ้มถาม “ดูท่าว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายได้อย่างราบรื่นเป็นอย่างมากสินะ ถึงได้กลับมาไวขนาดนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอกขอรับ ข้าเพียงแต่ไปดูๆ เสียหน่อย ย่อมต้องกลับมาเร็วเป็นธรรมดาขอรับ”
เมิ่งซื่อเชื่อดังนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกแปลกๆ ว่าภายในมวลไอของเขาแฝงด้วยความโกรธอยู่ แต่เพื่อปิดบังเมิ่งซื่อ นางจึงไม่ได้ถามอะไรทั้งสิ้น
พระชายาฉีวิ่งวุ่นไปที่เรือนของหวงฝู่อวี้ตลอดวัน ทั้งกายและใจก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลินหันเยียนคนนี้ถึงคล้ายว่าได้แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ละวันต้องชะล้างใบหน้าด้วยน้ำตา ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมพูดปลอบนางอย่างไรก็ล้วนไม่ได้ผล เมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน นางก็เริ่มรู้สึกรำคาญใจ วันนี้ไปนั่งเป็นเพื่อนนางอยู่สองชั่วโมง ก็อ้างว่าต้องจัดแจงธุระต่างๆ ภายในจวน แล้วออกจากเรือนของหวงฝู่อวี้มา นึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันกายเข้ามายังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วคล้องแขนของเมิ่งซื่อด้วยรอยยิ้ม “ไปเถิด ไปที่ห้องของข้า พูดคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
เมิ่งซื่อก็ยิ้มและจูงเซิ่งเอ๋อร์เดินออกไปพร้อมกับนาง
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งลาทั้งสองคนออกไปด้วยกันกับหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็กลับเข้ามาในห้องรินน้ำแก้วหนึ่งให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนและส่งไปที่มือของเขา “ข้าเห็นว่าอารมณ์ของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไร เรื่องยุ่งยากมากหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนรับแก้วน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วดึงนางนั่งลงบนตักของตัวเอง จากนั้นก็เล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟัง และพูด “หลินจ้งคนนี้ แม้ว่าจะมีนิสัยที่มุทะลุไปบ้าง แต่ก็เป็นผู้ที่ใส่ใจรอบด้าน เห็นแก่ส่วนรวม บวกกับการได้รับการฝึกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน หากสามารถรับใช้ต่อพวกเรา ยามที่พี่ใหญ่ขึ้นครองราชย์เมื่อใด ก็จะได้ผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน แล้วก็จะสามารถครองบังลังก์ของฮ่องเต้แห่งอู่กั๋วนี้ได้อย่างมั่นคงขึ้นอีก ดังนั้น ข้าจึงให้เวลาเขาอีกหนึ่งวัน ก็ต้องดูว่าเขาจะเลือกอย่างไรแล้วล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นึกไม่ถึงว่าหลินฉงเหวินจะเป็นคนที่จิตใจคับแคบเช่นนี้ เพียงแค่มีเรื่องมากระทบเพียงเรื่องเดียวก็ทำให้เขาสูญสิ้นเหตุผลไปเลย”
“หลินฉงเหวินเกิดในครอบครัวสามัญชน พึ่งพาตัวเองจนได้มาถึงตำแหน่งราชเลขาแห่งกรมทหาร พฤติกรรมโดยปกติจึงย่อมรู้จักระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ เขาหวั่นเกรงแต่เพียงว่าจะตัวเองจะพลาดพลั้งอันใด ทว่า เรื่องของหลินหันเยียนทำให้เขากลายเป็นเป้าที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ หากใจของเขาก้าวข้ามผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเช่นกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า และผละออกจากประเด็นนี้ “เมื่อครู่ข้าได้ปรึกษากับท่านแม่แล้ว ตกลงว่าจะถือโอกาสช่วงเวลานี้จัดการเรื่องงานแต่งของทุกคน”
หวงฝู่อี้เซวียนย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว มอบให้ข้าจัดการเถิด ส่วนเจ้าอุ้มท้องอย่างสบายใจก็พอแล้ว”
ดวงตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นประกายวาววับ ยิ้มพูด “นี่เป็นการแต่งงานของคนหลายร้อยกว่าคนเชียวนะ หากเจ้าไปจัดการด้วยตัวเอง จะต้องเหนื่อยแย่แน่ๆ ข้าทนเห็นเจ้าต้องแบกรับความเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ เมื่อครู่ ข้าคิดวิธีดีๆ วิธีหนึ่งออก”
ทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวเผยท่าทางเช่นนี้ออกมา ก็หมายความว่าคิดเรื่องสนุกๆ ขึ้นได้อีกแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มส่ายหน้า แล้วถามนางอย่างคล้อยตาม “วิธีอะไรเล่า”
ภายในน้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความตื่นเต้นอย่างชอบกล “พวกเราจะช่วยพวกเขาจัดงานแต่งงานแบบกลุ่ม”
รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ การที่บางครั้งนางจะพูดคำศัพท์แปลกประหลาดออกมาบ้างนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็เคยชินเสียนานแล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “งานแต่งแบบกลุ่ม?”
“อื้ม งานแต่งแบบกลุ่ม นั่นก็คือ การที่ทุกคู่บ่าวสาวล้วนกราบไหว้ฟ้าดินและบรรพบุรุษในงานแต่งพร้อมกัน เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่จำเป็นต้องช่วยจัดการให้พวกเขาทีละคนแล้ว”
ความคิดนี้เป็นความคิดที่ดีจริงเทียว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการแต่งงานก็คือการกราบไหว้ฟ้าดินและบรรพบุรุษ อย่าว่าแต่ฟ้าดินเลย ทหารที่บาดเจ็บและพิการพวกนั้นล้วนเป็นคนที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จึงย่อมไม่มีการกราบไหว้ไหว้ต่อบรรพบุรุษเป็นธรรมดา เช่นนี้ก็จะช่วยลดขั้นตอนไปได้มากทีเดียว
หวงฝู่อี้เซวียนพึมพำใคร่ครวญกับตัวเองเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดี ทั้งลดความวุ่นวายให้แก่พวกเขา และขจัดความยุ่งยากให้แก่พวกเราด้วย ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
“ในเมื่อเจ้าก็เห็นด้วยแล้ว ไว้เร็วๆ นี้ข้าจะไปหาเสด็จแม่ ให้พวกท่านช่วยเลือกฤกษ์ยามมงคล”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีความเห็นอันใด เรื่องนี้จัดการให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดีเหมือนกัน เมิ่งเชี่ยนโยวจะได้อุ้มท้องได้อย่างสบายใจแล้ว
วันถัดมา หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายเรื่องงานแต่งงานแบบกลุ่มให้แก่เมิ่งซื่อแล้ว ในขณะที่เมิ่งซื่อแสดงท่าทีที่ตกตะลึงอยู่นั้น มือข้างหนึ่งของเมิ่งเชี่ยนโยวก็คล้องแขนเมิ่งซื่อ และอีกข้างหนึ่งก็จูงเซิ่งเอ๋อร์ตัวน้อยๆ ไปหาพระชายาฉีเพื่อปรึกษาฤกษ์ยามแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่ในห้องคนเดียว แล้วโจวอันก็มารายงานที่เรือน “นายท่านขอรับ หลินจ้งมาแล้วขอรับ”
วางตำราแพทย์ลง หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น เดินออกมานอกห้องอย่างไม่รีบไม่ช้า
หลินจ้งยืนอยู่ภายในเรือนด้วยท่าทางที่ค่อนข้างเศร้าซึม อาจจะเป็นเพราะครุ่นคิดมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง หนวดก็ยาวขึ้นมาก ทั้งตัวดูราวกับห่อเ**่ยวลงอย่างมาก เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ก็ดึงเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงบนพื้น “หลินจ้งขอแสดงความเคารพซื่อจื่อขอรับ”
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมต่ำ “ตัดสินใจได้แล้วหรือยัง”
หลินจ้งพยักหน้าอย่างแรง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉับไวและรีบร้อน ราวกับว่าเพื่อจะไม่ให้ตัวเองรู้สึกเสียใจภายหลัง “ตัดสินใจได้แล้วขอรับ วันนี้ข้าจะกักขังท่านพ่อไว้ภายในจวนขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ “เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี”
“หลินจ้งมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องซื่อจื่อขอรับ”
“ว่ามา”
“ข้าช่วยท่านพ่อส่งจดหมายลาออกจากตำแหน่งขุนนาง ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ท่านพ่อยังอยู่ในช่วงวัยที่แข็งแรงที่สุดของชีวิต อีกทั้งยังได้รับความเมตตาเอ็นดูจากฝ่าบาทมานานหลายปี เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงไม่อนุญาตอย่างง่ายๆ เช่นนั้น จึงอยากขอให้ซื่อจื่อช่วยข้าในเรื่องนี้ด้วยขอรับ”
“เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าจะสั่งคนไปคุยที่สำนักหมอหลวงอย่างดี”
หลินจ้งกระแทกศีรษะลงกับพื้น “ขอบพระคุณซื่อจื่ออย่างยิ่งขอรับ ท่านมีพระคุณอันใหญ่หลวงต่อหลินจ้ง หลินจ้งจะไม่ลืมโดยเด็ดขาด ต่อไปซื่อจื่อมีตรงไหนที่ต้องการเรียกใช้งาน ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟ ก็จะไม่ปฏิเสธเลยขอรับ”
“เรื่องตอบแทนบุญคุณก็ช่างเถิด คุณชายหลินทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้ดีก็พอ”
“หลินจ้งเข้าใจขอรับ”
“โจวอัน ส่งคุณชายหลินไปพบคุณหนูหลินที่เรือนของคุณชายรอง”
โจวอันรับคำ
หลินจ้งอึ้งไปครู่หนึ่ง พลันตอบสนองกลับอย่างรวดเร็ว ภายในน้ำเสียงมีความตื่นเต้นที่มิอาจปิดบังไว้ได้ แล้วก็กระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงอีกครั้ง “ขอบพระคุณซื่อจื่ออย่างยิ่งขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนหันตัวกลับเข้าไปในห้อง
หลินจ้งลุกขึ้นยืน แล้วตามโจวอันมาถึงด้านนอกเรือนของหวงฝู่อวี้
ขณะที่หงเอ๋อร์กำลังยกน้ำถาดหนึ่งออกมาและเตรียมจะเททิ้งพอดี ก็เห็นหลินจ้ง แล้วจึงเบิกตาโพลง พร้อมตะโกนเสียงดังอย่างไม่เชื่อ “คุณชายใหญ่!”
หลินจ้งผงกศีรษะเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ล่ะ”
“คุณหนูอยู่ในห้องเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ตอบด้วยความตื่นเต้น
พลันหันหน้า ตะโกนเสียงดังไปทางห้องโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่มาเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหงเอ๋อร์ ร่างกายของหลินหันเยียนที่นอนซมอยู่บนเตียงก็สะท้านโดยทันที แล้วคว้ามือของหวงฝู่อวี้ “พี่อวี้ ข้าไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหมเจ้าคะ พี่ใหญ่มาเยี่ยมข้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า พูดสั่งไปทางด้านนอกด้วยเสียงขรึม “เชิญคุณชายหลินเข้ามา”
หลินหันเยียนพยายามนั่งขึ้นมา
หลินจ้งก้าวเท้ายาวเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นหลินหันเยียน ก็ผงะไป ไม่กล้าเชื่อว่าหญิงสาวที่รูปร่างผอมจนเหลือแต่กระดูก ใบหน้าขาวซีดไร้เลือด และผมเผ้ายุ่งเหยิงตรงหน้าคนนี้ จะเป็นน้องเล็กที่เปี่ยมล้มด้วยพลัง รักอิสระ และซุกซนขี้เล่นของตัวเองคนนั้น
น้ำตาของหลินหันเยียนร่วงพรูลงมา ร้องเรียกอย่างเศร้าสร้อย “พี่ใหญ่เจ้าคะ”
หัวใจของหลินจ้งคล้ายกับว่ามีเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าใส่ รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แม้แต่ชายหนุ่มที่มีท่าทีองอาจและยิ่งใหญ่ตลอดมา ก็ห้ามขอบตาไม่ให้แดงไว้ไม่ได้ เดินเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เรียก “น้องเล็ก”
น้ำตาของหลินหันเยียนยิ่งไหลรินหนักขึ้น
หวงฝู่อวี้ก็ขอบตาแดงไปด้วย ลุกขึ้นยืน แล้วสละเก้าอี้ให้นั่ง “พี่ใหญ่ เชิญนั่งขอรับ”
หลินจ้งไม่สนใจเขา ขณะจดจ้องหลินหันเยียน ทั้งร่างก็แผ่ซ่านไอของความเดือดดาลออกมา “เหตุใดเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้ได้”
“พี่ใหญ่” รู้ว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว หวงฝู่อวี้จึงรีบอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ตั้งท้องแล้วขอรับ ดื่มน้ำไม่ลง กินข้าวก็ไม่ลง ถึงได้ผอมลงไปมากเช่นนี้”
หลินจ้งมองไปทางหลินหันเยียนโดยที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หลินหันเยียนพยักหน้าหงึกๆ ขณะที่สะอื้นไห้ไปด้วย
น้ำเสียงของหลินจ้งยังคงมีความโกรธ “ไม่ได้เชิญหมอหลวงให้มาตรวจดูหรือ”
“หมอหลวงมาแล้วขอรับ ยาบำรุงครรภ์ก็กินแล้ว แต่ก็ล้วนไม่เป็นผลเลยขอรับ หมอหลวงเจียงบอกว่า นี่เป็นเพราะนางป่วยเป็นโรคทางใจ จึงยังจำต้องรับยารักษาจิตใจอีกขอรับ” หวงฝู่อวี้อธิบายแทนหลินหันเยียนยอยู่ข้างๆ
โรคทางใจของหลินหันเยียนคืออะไร หลินจ้งรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ใครใช้ให้นางสับสนไปชั่วขณะ แล้วกระทำการล่อลวงหวงฝู่อี้เซวียนกันเล่า นี่ไม่เพียงแต่จะทำลายชื่อเสียงของตัวเอง แล้วยังเกือบจะลากเอาชะตาชีวิตของทุกคนในจวนหลินเข้ามาเอี่ยวอีกด้วย
น้ำเสียงของหลินจ้งผ่อนลงเล็กน้อย แล้วปลอบนาง “เยียนเอ๋อร์ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้ว่าเจ้าจะลงโทษตัวเองเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า ฟังพี่ใหญ่นะ รักษาร่างกายของตัวเองให้ดี แล้วคลอดลูกในท้องของเจ้าออกมาอย่างปลอดภัย นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
หลินหันเยียนร้องไห้ส่ายหน้า พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่เพียงร้องเรียกไม่ขาดสาย “พี่…พี่ใหญ่…”
หลินจ้งยื่นมือออก อยากจะลูบศีรษะของนางเพื่อปลอบใจ แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้นางเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว จึงไม่เหมาะสมที่ตัวเองจะกระทำเช่นนี้อีกต่อไป มือที่ยื่นออกไปก็กำเป็นหมัด แล้วเก็บกลับมาอย่างช้าๆ “น้องเล็ก เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่เจ้าคิดไตร่ตรองหาวิธีต่างๆ เพื่อให้ได้มานะ เจ้าควรจะดีใจสิถึงจะถูก อย่าได้เสียใจอีกเลยหนา”
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนคว้ามือของเขาไว้ในทันใด แล้วส่งเสียงสะอื้นออกมา “พี่ช่วยขอร้องท่านพ่อกับท่านแม่ บอกว่าข้าอยากกลับบ้านเจ้าค่ะ ข้าคิดถึงพวกท่านแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่ต้องพูดถึงว่าหลินหันเยียนกระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้เมื่อออกจากบ้านจะต้องถูกผู้คนพากันถมน้ำลาย จนต้องจมกองน้ำลายตายอย่างแน่นอน แค่สถานการณ์ของจวนหลินในตอนนี้ ก็ไม่เหมาะที่นางจะกลับไป หลินจ้งปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “น้องเล็ก ความโกรธของท่านพ่อกับท่านแม่ยังคงไม่คลาย รอให้ผ่านไประยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด”
“ท่านพ่อยังกล่าวโทษข้าอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ จริงๆ ข้าก็ไม่อยาก ทั้งหมดก็เพราะ…เพราะ…เพราะ…” ทั้งหมดก็เป็นเพราะคำพูดของหงเอ๋อร์ที่ริเริ่มเป็นตัวตั้งตัวตี แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะดูจากนิสัยของหลินจ้งแล้ว ถ้าหากให้เขารู้ ชีวิตของหงเอ๋อร์ก็คงจะไม่อาจรักษาไว้ได้อีกแล้ว
เห็นท่าทีของนาง ในใจของหวงฝู่อวี้ก็เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก หลายวันนี้ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เขาก็ดูแลอยู่ตลอดโดยที่ไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย และไม่เคยขอร้องให้ใครช่วยเหลือ แล้วตัวเองยังไม่ดีพอสำหรับนางอีกหรือ