ดวงตาที่หลั่งไหลด้วยน้ำตาทั้งคู่ของหลินหันเยียนมองหลินจ้งและร้องเรียกอย่างตะกุกตะกัก “พี่ใหญ่”
ในใจของหลินจ้งยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะปลอบนางอย่างไรดี
หวงฝู่อวี้เม้มริมฝีปาก ยืนอยู่ด้านข้าง
หลินจ้งกัดฟัน และทำใจแข็งพูด “น้องเล็ก พฤติกรรมของเจ้าทำให้จวนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ท่านพ่อ กับท่านแม่ไม่ให้อภัยเจ้าเป็นแน่ เจ้าอยู่ในจวนอ๋องดีๆ เถิด ถ้ามีเวลาว่างข้าจะมาหาเจ้าเอง”
หลินหันเยียนร้องไห้จนเกือบหมดสติ น้ำตาหยดร่วงลงพื้นราวกับเม็ดไข่มุกที่สายขาด เพียงไม่นานก็ทำให้ผ้าห่มผืนบางที่คลุมอยู่บนหน้าอกเปียกชุ่ม แล้วกุมมือของหลินจ้งแน่น ร้องวิงวอนอย่างระทมทุกข์ “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่เจ้าขา ข้าขอร้องพี่เถิดนะเจ้าคะ พี่ช่วยข้าไปอ้อนวอนขอความเมตตาต่อเบื้องหน้าของท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยเถิดเจ้าค่ะ เพียงแค่พวกเขายอมรับว่าข้าคนนี้คือลูกสาวแล้วนั้น จะให้ข้าทำอะไรก็ยอมทั้งนั้นเจ้าค่ะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
หลินจ้งออกแรงดึงมือกลับมา ลุกขึ้นยืน ใบหน้าแสดงความไม่พอใจ “น้องเล็ก เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เข้าใจอีกกัน เจ้าได้กลายเป็นคนของจวนอ๋องแล้ว เจ้ากลับบ้านไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เจ้าอยู่ที่แห่งนี้อย่างสบายใจเถิด”
หลินหันเยียนร้องไห้ล้มลงไปนอนบนเตียง
สุดท้ายหวงฝู่อวี้รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างเป็นที่สุด นั่งอยู่ข้างเตียงโอบไหล่ของนาง และปลอบนางด้วยเสียงนุ่มนวล
หลินหันเยียนยิ่งสะอื้นไห้อย่างหนัก
ใบหน้าของหลินจ้งเผยความเจ็บปวด เขามองดูเยียนเอ๋อร์เติบโตตั้งแต่ยังเล็ก เขารักและเอ็นดูน้องสาวคนนี้เข้ากระดูก แต่สภาพของจวนหลินในตอนนี้ ไม่ควรที่จะให้นางได้รับรู้จริงๆ และบัดนี้ นางใกล้จะพังทลายแล้ว ถ้าบอกความจริงแก่นางไป เกรงว่าจะเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟเสียอีก ดีไม่ดีแม้แต่เด็กในท้องก็รักษาไว้ไม่ได้อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างที่สุดของครอบครัวชั้นสูง
เมื่อกล่อมหลินหันเยียนไม่ได้ หวงฝู่อวี้เผยสีหน้าโมโห แล้วออกปากขับไล่แขก “คุณชายหลิน เชิญท่านกลับไปเถิดขอรับ ต่อไปไม่มีเรื่องอันใดก็อย่าได้มาที่จวนอ๋องอีกเลย”
“ไม่นะ” หลินหันเยียนห้าม พูดด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อนปนด้วยความสะอื้นไห้ “พี่อวี้ ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ต้องการข้าแล้ว หากพี่ใหญ่ไม่มาหาข้าอีก ข้าก็ไม่มีคนในครอบครัวอีกแล้ว”
“ตกลงๆๆ” หวงฝู่อวี้เกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าอย่าได้ตกใจไป เอาตามดั่งที่เจ้าว่า ต่อไปให้พี่ใหญ่เข้ามาในจวนบ่อยๆ แล้วกันนะ”
หลินหันเยียนพยักหน้าขณะที่ร้องไห้ไม่หยุด
เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้รักใคร่เอ็นดูน้องสาวตัวเองเช่นนี้ หลินจ้งก็วางใจแล้ว “คุณชายรอง เยียนเอ๋อร์ ข้ายังมีธุระอีก ขอตัวก่อน มีเวลาเมื่อใดจะมาเยี่ยมพวกเจ้าอีก”
หลินหันเยียนมองเขาผ่านน้ำตาอย่างอาลัยอาวรณ์
หวงฝู่อวี้นั่งนิ่งไม่ขยับ
หลินจ้งขอร้องเสียงเบา “คุณชายรอง ท่านออกมาสักหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีบางอย่างที่อยากจะบอกท่าน”
หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
หลินหันเยียนถามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “พี่ใหญ่ มีอะไรที่ให้ข้าได้ยินไม่ได้หรือเจ้าคะ”
หลินจ้งฝืนแสดงหน้ายิ้มให้ “แน่นอน ข้าต้องการกำชับคุณชายรองให้เขาอย่าได้รังแกเจ้าอีก”
ใบหน้าที่ขาวซีดของหลินหันเยียนแดงระเรื่อขึ้น แล้วหัวเราะคิกออกมาทั้งน้ำตา ความเขินอายของหญิงสาวเผยขึ้นอย่างไร้ข้อกังขา “พี่ใหญ่ พี่อวี้ดูแลข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
“เฮอะ ใครๆ ต่างก็บอกว่าพวกผู้หญิงสนใจแต่คนนอก นี่ก็ยังไม่ถึงไหนเลย เจ้าก็ไม่ยอมแล้ว ถ้าหากว่ามีวันใดพี่ใหญ่กับเขาทะเลาะวิวาทขึ้นมา เจ้าจะไม่ตัดขาดความสัมพันธ์กับพี่เลยอย่างนั้นหรือ” เจตนาเดิมของประโยคนี้ก็คือตั้งใจพูดล้อเล่น เพื่อให้หลินหันเยียนอารมณ์ดีขึ้นบ้าง แต่กลับไปทิ่มแทงใจเรื่องที่หลินหันเยียนเสียใจ รอยยิ้มที่เพิ่งปรากฏบนหน้าก็คลายลง และจะร้องไห้โฮขึ้นอีกครั้ง
หลินจ้งลนลานจนตบปากตัวเองครั้งหนึ่ง “เป็นความผิดของพี่เอง พี่โง่เขลา พี่ปากเสีย เจ้าอย่าได้ทำตัวต่ำช้าอย่างพี่ใหญ่เลยนะ”
หลินหันเยียนหัวเราะทั้งน้ำตาอีกครั้ง “ข้าไม่โทษพี่ใหญ่หรอกเจ้าค่ะ”
หลินจ้งสบายใจขึ้น และไม่กล้าพูดบอกลาหลินหันเยียนอีก จึงหันตัวเดินออกไปทันที
หลังจากช่วยสอดขอบผ้าห่มให้หลินหันเยียนแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกไปด้านนอก
หลินหันเยียนคว้ามือของเขาไว้ ภายในน้ำเสียงปนด้วยความอ้อนวอน “พี่อวี้เจ้าคะ พี่ใหญ่เป็นคนบุ่มบ่าม ไม่ชอบพูดจาวกวนอ้อมค้อม ถ้าหากเขามีตรงไหนที่พูดไม่ถูกต้อง ข้าต้องขอโทษพี่อวี้แทนเขาด้วย พี่อย่าได้โทษเขาโดยเด็ดขาดเลยนะเจ้าคะ”
ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อวี้มีความหึงหวงอย่างมาก “รู้แล้ว เมื่อครู่พี่ใหญ่ของเจ้าเพิ่งจะบอกว่าผู้หญิงสนใจแต่คนนอกอยู่เลย ทำไมไม่เห็นเจ้าพูดลำเอียงให้ข้าบ้าง”
หลินหันเยียนหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง ปล่อยมือของเขา มองเขาเดินออกไป แล้วร่างกายก็เอนไปด้านหลังพิงกับหัวเตียง และรอเขากลับมา
หลินจ้งไม่ได้รออยู่ภายในเรือน แต่มารอหวงฝู่อวี้อยู่นอกเรือนในมุมที่ลับสายตาคน
หวงฝู่อวี้ออกจากประตูมาไม่เห็นเขา ในใจก็รู้สึกสงสัย เฮ่ออีจึงโค้งตัวลง “คุณชายรอง คุณชายหลินคอยท่านอยู่ด้านนอกขอรับ”
หวงฝู่อวี้เดินออกไปนอกเรือน เห็นหลินจ้งที่อยู่ในมุมลับตาคน แล้วเดินก้าวยาวไปหา
หลินจ้งมองเขาอยู่ตลอดจนกระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว ก็ถกเสื้อคลุมขึ้น แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้ตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดวงตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ “พี่ใหญ่ นี่ท่าน?”
“คุณชายรอง ขอพูดความจริงโดยไม่ปิดบัง บ้านของข้าเกิดเหตุร้ายบางอย่างขึ้น ข้าไม่อาจบอกแก่เยียนเอ๋อร์ให้ทราบได้ ถึงได้ปฏิเสธไม่ให้นางกลับไปที่จวน หวังว่าต่อไปคุณชายรองจะดูแลนางด้วยความเมตตา หลินจ้งขอขอบพระคุณไว้ ณ บัดนี้”
หวงฝู่อวี้รีบเดินเข้าไป เอนกายลงอยากจะพยุงเขาขึ้นมา “พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรลุกขึ้นมาแล้วค่อยพูดกันเถิดขอรับ”
หลินจ้งไม่ขยับ “คุณชายรองรับปากข้าก่อนเถิด มิเช่นนั้นหลินจ้งจะไม่ลุกขึ้น”
“พี่ใหญ่ ความรู้สึกของข้าที่มีต่อเยียนเอ๋อร์ พี่ยังไม่รู้อีกหรือ ตั้งแต่เล็กจนโต มีเมื่อใดกันที่ข้าไม่รักและไม่ใส่ใจนาง! ไม่ว่าจะเกิดเหตุวิบัติอันใดในจวนของพี่ พี่ก็วางใจเถิด ต่อให้ข้าดูแลตัวเองไม่ดี ข้าก็จะดูแลเยียนเอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอนขอรับ”
หลินจ้งพูดขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ “เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว ขอบพระคุณคุณชายรองอย่างยิ่ง ต่อไปมีตรงไหนที่ต้องการใช้งานหลินจ้ง ก็ขอให้เอ่ยปากบอกได้เลย หลินจ้งจะต้องทำให้แน่นอน”
“พี่ใหญ่ รีบลุกขึ้นเถิดขอรับ ถ้าบ่าวรับใช้มาเห็นเข้า แล้วพูดไปถึงหูของเยียนเอ๋อร์ ไม่รู้ว่านางจะโกรธเคืองข้าอย่างไร”
หลินจ้งเผยรอยยิ้ม ลุกขึ้นยืน ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หลังจากบอกลาหวงฝู่อวี้แล้ว ก็เดินก้าวยาวออกไปทางด้านนอกของจวน
เห็นเงาของแผ่นหลังเขา หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว และสั่ง “เฮ่ออี ไปตรวจสอบดูสิว่าจวนหลินเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฮ่ออีรับคำ
“จำไว้ นอกจากข้าแล้ว อย่าได้ให้ใครอื่นล่วงรู้อีก”
จากนั้นเฮ่ออีก็เดินก้าวยาวออกจากจวนอ๋อง
หวงฝู่อวี้กลับเข้าไปในเรือนของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่นางกับหวงฝู่อี้เซวียนวางแผนจะให้พวกคนงานจัดงานแต่งงานร่วมกันแก่พระชายาฉีอย่างยิ้มแย้ม
พระชายาฉีตกตะลึงอย่างมาก กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะพูดออกมา “คนมากมายเช่นนี้จะแต่งงานในเวลาเดียวกันหรือ นี่มันแปลกประหลาด ดูพิลึกเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้นล่ะเจ้าค่ะ” เมิ่งซื่อยิ้มคล้อยตาม “พอนางบอกเมื่อครู่ ข้าก็ตกใจแทบแย่ คนหนึ่งคนจะแต่งงานก็ทำให้พวกเรายุ่งวุ่นวายมากพออยู่แล้ว คนมากมายเช่นนี้จะไม่ชุลมุนกันไปใหญ่เลยหรือ”
พระชายาฉีพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่หลุดหัวเราะออกมา “เสด็จแม่ ท่านแม่ คนงานเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ไร้ครอบครัวทั้งนั้นเจ้าค่ะ นอกจากจะไม่ต้องกราบไหว้บรรพบุรุษแล้ว ก็ยังไม่ต้องจัดโต๊ะกินเลี้ยงจำนวนมากอีกด้วย หรือพูดให้ชัดก็คือรวบรัดจัดพิธีเดียวเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ง่ายดายอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกังวลเล็กน้อย “พูดเช่นนี้แล้วดูเหมือนไม่มาก แต่คนงานในโรงงานของเจ้ามีหนึ่งร้อยกว่าคน จำนวนนี้ก็ไม่ได้น้อยเลย แล้วยังต้องทำพิธีสู่ขออีก ซึ่งก็อาจจะทำให้ควบคุมไม่ได้ ข้าว่าอย่าเลยดีกว่า เจ้านับจำนวนคน แล้วให้เงินแต่ละคนมากหน่อย เพื่อให้พวกเขาไปจัดการกันเองดีกว่า”
“เสด็จแม่เพคะ คนพวกนี้ล้วนเป็นคนงานในโรงงานของข้า พวกเขาแต่งงาน ข้าก็ย่อมต้องไปแสดงความยินดีด้วยอยู่แล้วเจ้าค่ะ ถ้าไปทุกๆ บ้านเช่นนี้ จะต้องทำให้ข้าเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเป็นแน่ และอีกอย่างนะเจ้าคะ หากวันที่พวกเขาแต่งงานไม่ได้เป็นวันเดียวกัน ก็จะมีคนมาขอลาหยุดทุกวี่ทุกวัน พวกพี่ชายรองเองก็คงหาวิธีจัดการบัญชีไม่ได้ ดังนั้นให้พวกเขาทั้งหมดหยุดงานเป็นเวลาสามวัน แล้วใจจดใจจ่อกับการแต่งงานดีกว่าเพคะ พี่ชายรองก็จะได้พักหลายวันหน่อย”
มองดูท้องของนางที่ใหญ่กว่าตัวเองตอนใกล้คลอด แล้วจินตนาการว่าเมิ่งเชี่ยนโยวต้องวิ่งเต้นอยู่บนท้องถนนที่จะไปร่วมแสดงความยินดีทุกวันไม่หยุด พระชายาฉีก็สงสารอย่างยิ่ง “ถ้าเจ้าคิดว่าเช่นนั้นดี ก็ทำเช่นนั้นเถิด แต่ แม่ขอบอกเจ้านะว่าเจ้าต้องระวังเสียหน่อย ถ้าหากว่ากระทบต่อหลานสาวสุดที่รักของข้า ข้าจะเอาเรื่องกับเจ้าแน่”
ทราบดีว่าคำพูดนี้ของพระชายาฉีก็คือเป็นห่วงตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มรับประกัน “เสด็จแม่วางใจเถิดเพคะ ถึงเวลานั้น ข้าจะหลบอยู่ไกลๆ ให้พี่ชายรองจัดการอยู่ด้านหน้า”
พระชายาฉีก็เห็นด้วยแล้ว เมิ่งซื่อก็ไม่มีความเห็นอันใด เรื่องนี้จึงตกลงกันเช่นนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งคนไปเรียกให้เมิ่งฉีและผู้จัดการอันมาพบนางที่จวนอ๋อง แล้วบอกความคิดนี้แก่พวกเขา ในขณะที่ทั้งสองตกตะลึง ก็รู้สึกพิศวงอย่างมาก แล้วเมิ่งฉีก็พูดขึ้น “พวกเราทำเช่นนี้ เกรงว่าจะก่อให้เกิดความอื้ออึงไปทั้งเมืองหลวงอีกแน่ แล้วจะไม่ทำให้คนอื่นเกิดความระแวงหรือ”
คนที่ระแวงนี้คือผู้ใด เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวทราบดี ส่วนผู้จัดการอันไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้ถามมากอย่างมีไหวพริบ
“ไม่ว่าพวกเราจะทำหรือไม่ทำ คนที่จะระแวงก็ระแวงอยู่วันยังค่ำ พวกเราก็ทำตามความคิดนี้ของตัวเองก็พอแล้ว”
ทั้งสามคนปรึกษากันถึงรายละเอียด จนกระทั่งวางแผนกันโดยไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ทั้งหมดแล้ว ผู้จัดการอันถึงจะพูดเบาๆ ด้วยใบหน้าที่แดง “นายหญิง ข้า…ข้าไม่อยากแต่งงานกับแม่นางเหวินเหลียนอย่างง่ายๆ เช่นนี้ขอรับ”
แผนเริ่มแรกของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็คือจะให้เหวินซงกับชิงหลวน กัวเฟยกับจูหลี และเหวินเหลียนกับผู้จัดการอันแต่งงานพร้อมกับพวกคนงาน หลังจากนั้นเมิ่งซื่อขอร้องนางไว้ ‘พวกเขาล้วนเป็นคนที่ติดตามเจ้ามานานหลายปี ก็ต้องแยกตื้นลึกหนาบางบ้าง อีกอย่างเหวินเปียวและฮูหยินก็ยังอยู่ หากเจ้าทำเช่นนี้ จะเอาพวกเขาไปไว้ที่ไหน’
ครานี้เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้ละทิ้งความคิดนี้ พอได้ยินผู้จัดการอันพูดดังนั้น ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “งานแต่งงานของพวกเจ้าย่อมไม่เหมือนกับพวกเขาอยู่แล้ว เช่นนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ให้เจ้าหยุดงานหนึ่งวัน แล้วเจ้าไปเชิญแม่สื่อมาไปสู่ขอถึงที่บ้าน เหวินเปียวไปส่งสินค้าน่าจะกลับมาแล้ว เจ้าสามารถไปตกลงเรื่องการจัดงานแต่งต่อหน้าได้”
ผู้จัดการกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ หลังจากกลับไปก็หาแม่สื่อพร้อมถือของขวัญที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมุ่งไปสู่ขอถึงบ้าน
ภรรยาเหวินเปียวไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้มาตลอด โดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกเขาฟื้นคืนสถานะอิสระอย่างสิ้นเชิง และเปิดกิจการสำนักคุ้มภัยอีกครั้งแล้ว เมื่อได้ยินว่าผู้จัดการอันจะเชิญแม่สื่อมาสู่ขอถึงที่ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นทันใด แม้ว่าผู้จัดการอันและเหวินเปียวจะคุ้นเคยกันมาก แต่ตามกฎระเบียบแล้ว ควรจะส่งแม่สื่อมาที่บ้านก่อน แล้วค่อยตกลงเรื่องฤกษ์ยามที่จะสู่ขอ จะมาด้วยตัวเองได้ที่ไหนกัน และอีกอย่างเรื่องงานแต่งงานของเหวินซงก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย เหวินเหลียนจะข้ามหน้าข้ามตาพี่ชายไปได้อย่างไรกัน
เหวินเปียวยังไม่กลับมา เรื่องนี้มีเพียงภรรยาเหวินเปียวที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้เท่านั้น คนที่รายงานไม่ได้คำตอบรับ ก็ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรจะเร่งเร้าถามอีกครั้ง
เหวินเหลียนกับแม่ของตัวเองกำลังทำงานถักร้อยอยู่ด้วยกันพอดี เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของแม่ตัวเอง ก็รู้ว่านางยังคงไม่ยินยอมเรื่องการแต่งงานของตัวเองอยู่ จึงพูดอย่างยิ้มแย้ม “ท่านแม่ ท่านลองไปดูสักหน่อยสิเจ้าคะ ในเมื่อพ่อกับนายหญิงต่างก็บอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใช้ได้ เช่นนั้นก็ต้องไม่เลวร้ายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ภรรยาเหวินเปียวยังคงรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง “เหลียนเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งสำนักคุ้มภัยแล้ว ถ้าหากจะต้องไปตบแต่งกับบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ในใจของแม่นี้ก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่ตลอด”
เหวินเหลียนวางเข็มบนมือลง แล้วโอบไหล่ของแม่ตัวเองไว้ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ พวกเราไม่ได้อยู่เมืองหลวงหลายปี ไม่มีการติดต่อกับใครๆ ตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ แม้ว่าท่านจะไม่เห็นด้วยกับการสู่ขอของผู้จัดการอัน แล้วจะไปหาคู่ครองดีๆ ให้ข้าได้ที่ไหนกันเจ้าคะ ถ้าไม่ได้คนที่ยากจนคดแค้นจนไม่มีข้าวกิน แล้วแสวงหาผลประโยชน์จากพวกเรา ก็คงต้องได้แต่งเป็นภรรยาของพ่อม่าย นี่เป็นสิ่งที่แม่อยากเห็นหรือเจ้าคะ”
ภรรยาเหวินเปียวอ้าปาก ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา จึงถอนหายใจอย่างแรง แล้วลูบศีรษะของเหวินเหลียน “เหลียนเอ๋อร์ พ่อแม่ทำให้เจ้าได้ไม่ดีพอ”
เหวินเหลียนผลักนางด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ข้าสบายดีมากเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก รีบไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้ให้ผู้จัดการอันต้องรอคอยอยู่เป็นเวลานานเลย”
ภรรยาเหวินเปียวมาถึงโถงรับแขก ทันทีที่เห็นว่าผู้จัดการอันแลดูสง่า มีราศี มารยาทเรียบร้อย และสุขุมมั่นคง ความไม่ยินยอมทั้งหมดก็ล่องลอยไปจากสมองโดยสิ้น แล้วทักทายเขากับแม่สื่อด้วยรอยยิ้ม “รีบนั่งก่อนเถิดเจ้าค่ะ สำนักคุ้มภัยเพิ่งจะเปิดทำการเอง มีธุระตั้งมากมาย จึงทำให้ล่าช้าต่อท่านทั้งสองแล้ว อย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ”
สิ่งที่แม่สื่อเชี่ยวชาญก็คือก็ตรวจดูสีหน้าและวาจา เมื่อเห็นท่าทางที่ยินดีของฮูหยินเหวินเปียว ก็รู้ว่างานแต่งครั้งนี้สำเร็จแน่นอนแล้ว ค่าจ้างแม่สื่อจำนวนสองตำลุงของตัวเองก็จะได้รับแล้วอย่างแน่นอน จึงดีใจอย่างมาก แล้วพูดประจบสอพลออย่างเบิกบาน “ฮูหยินเหวินเจ้าคะ นี่ท่านจะได้มีบุญวาสนาแล้วนะเจ้าคะ ท่านลองดูผู้จัดการอันผู้นี้สิ ทั้งความสามารถและหน้าตาล้วนเพียบพร้อม อีกทั้งยังมีหน้าที่การงานที่ดี นี่เป็นคู่ครองดีที่หาตัวจับยากเลยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินเหวินในเวลานี้ คือแม่สะใภ้ที่มองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งสบายตา ทำให้ยิ้มจนหุบปากไม่ลง แล้วก็เป็นผู้เริ่มปรึกษาเรื่องวันมอบสินสอดกับแม่สื่อโดยทันที
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินข่าวนี้แล้ว ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างยิ้มแย้ม “ข้าดันให้สำเร็จอีกคู่หนึ่งแล้ว ถ้าต่อไปไม่มีอะไรทำ ข้าก็สามารถเปิดโรงรับหาคู่ได้แล้วล่ะ”
แม้จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่นางพูดหมายความว่าอย่างไร แต่ดูจากความหมายเบื้องต้นของคำ หวงฝู่อี้เซวียนก็พอเดาออกได้ประมาณหนึ่ง จึงปัดจมูกนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว”
โจวอันถูกหวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้ออกไปทำธุระ ขณะที่เพิ่งจะกลับมาถึงประตูจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนร้องเรียกเขา “ท่านจอมยุทธ์ โปรดหยุดก่อนขอรับ”
โจวอันหันหน้ากลับไป เห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาหยุดลงตรงหน้าเขา แล้วหมอหลวงเจียงก็ ‘กระโดด’ ลงมาจากรถม้าโดยที่มีเหงื่อท่วมศีรษะ “ท่านจอมยุทธ์ ข้ามาหาซื่อจื่อเพราะมีเรื่องเร่งด่วน ขอรบกวนท่านหิ้วข้าเข้าไปด้วยขอรับ”
เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนไม่ได้พูดล้อเล่น โจวอันจึงหิ้วเขากระโดดกลับเข้าไปในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนจริงๆ
ไม่รอให้ชิงหลวนกล่าวรายงาน เสียงที่ตื่นตระหนกของหมอหลวงเจียงก็ดังขึ้นภายในลานบ้าน “ซื่อจื่อ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ ข้าพลั้งปากเปิดเผยเรื่องที่ท่านได้ดอกบัวสีเลือดออกไปแล้วขอรับ!”