หัวใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเต้นรัว หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืนทันที แล้วเดินก้าวยาวออกไป

 

 

หมอหลวงเจียงได้คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว “ซื่อจื่อ ล้วนเป็นความผิดของข้าเองขอรับ บัดนี้เกรงว่าคนในวังหลวงจะทราบเรื่องกันหมดแล้ว”

 

 

ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความโหดเ**้ยม ตะโกนถามเสียงขรึม “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

หมอหลวงเจียงก็ไม่ได้มีเวลามานั่งกลัวอีกแล้ว และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาโดยคร่าวๆ

 

 

ที่แท้ หลังจากที่หมอหลวงเจียงดื่มยาที่ต้มจากดอกบัวสีเลือดแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีพละกำลังมากขึ้น แม้แต่ร่างกายก็รู้สึกอ่อนเยาว์ลงอย่างมาก เหล่าหมอหลวงในสำนักหมอหลวงมีปฏิสัมพันธ์กับเขาทั้งวัน จึงย่อมสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของเขาเป็นธรรมดา แล้วพากันสอบถามอย่างลับๆ ว่าเขาได้กินยาอายุวัฒนะวิเศษอันใดหรือไม่ หมอหลวงเจียงก็ย่อมปิดปากโดยสนิทอยู่แล้ว มิได้บอกแก่ผู้ใด

 

 

แล้วเรื่องนี้ก็เข้าถึงพระกรรณของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ถึงขนาดเรียกให้เขาไปหาด้วยพระองค์เอง แล้วแอบตรัสถามเขาว่า ข่าวลือที่แพร่มานั้นเป็นอย่างไรกัน

 

 

หมอหลวงเจียงตอบอย่างระมัดระวังด้วยความพรั่นพรึง “กระหม่อมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่านี่เป็นเพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ หรืออาจจะเป็นผลจากที่กระหม่อมตั้งใจศึกษาและปรุงสมุนไพรในช่วงนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ใช้พระเนตรอันเฉียบคมจ้องมองเขา พินิจดูอยู่นานก็มองไม่เห็นท่าทางหวาดกลัวใดๆ บนใบหน้าของเขา จึงโบกมือ “ออกไปเถิด”

 

 

หมอหลวงเจียงออกจากตำหนักหย่างซินมา ไม่กล้าแม้แต่จะซับเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก กลับเข้าห้องของตัวเองในสำนักหมอหลวงอย่างรีบร้อน ครานี้ถึงจะหอบหายใจได้เต็มปอด พร้อมทั้งกุมหัวใจที่เต้นอย่างแรงไม่หยุดของตัวเองไว้ ถึงจะรู้สึกว่าทั้งกายสั่นระรัวไปหมด นึกไม่ถึงว่าจะโกหกต่อพระพักตร์ฝ่าบาทได้ เขาได้ยืมความกล้าจากพระเจ้ามาอย่างแท้จริงแล้ว

 

 

หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ยิ่งรอบคอบมากขึ้น ไม่ว่าใครจะทำทุกวิถีทางเพื่อหลอกล่ออย่างอ้อมค้อมอย่างไร เขาก็ล้วนไม่ปริปากพูดสักคำ ทว่าหลายวันก่อน ขณะที่ร่ำสุราอยู่คนเดียวในบ้านของตัวเอง ก็ได้ดื่มมากเกินไป จึงเผลอบอกแก่ฮูหยินของตัวเองไปบางส่วนด้วยอารมณ์ที่คึกคะนอง ทำให้ถูกบ่าวที่รับใช้อยู่ลอบฟัง

 

 

บ่าวรับใช้คนนี้ได้ถูกซื้อตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้น เมื่อเขาตื่นเช้าตรู่เพราะอาการเมาค้าง แล้วไปที่สำนักหมอหลวง ก็เห็นว่าเพื่อนร่วมงานต่างมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งริษยาและเวทนา ในใจก็เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาอย่างชอบกล จึงสอบถามครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงรู้ว่าพวกเขารู้เรื่องที่เขาดื่มบัวสีเลือดกันหมดแล้ว

 

 

ครานี้ก็ได้สร้างหายนะใหญ่อันหลวงเข้าแล้ว หมอหลวงเจียงตื่นตระหนกจนวิญญาณเกือบหลุดลอยออกไป ดังนั้นถึงได้มาที่จวนอ๋องด้วยความรีบร้อน

 

 

ตัวเองก็ทราบดีว่าได้ก่อเรื่องหายนะแล้ว หมอหลวงเจียงจึงไม่กล้าร้องขอความเมตตา ได้แต่คุกเข่าลงที่พื้นและพูด “ซื่อจื่อ ข้าสมควรตายขอรับ ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด เวลานี้ฝ่าบาทก็น่าจะทรงทราบเรื่องดอกบัวสีเลือดแล้ว และจะส่งคนมาโดยเร็ว”

 

 

นัยน์ตาของหวงฝู่อี้เซวียนปรากฎแสงแห่งความกระหายเลือดที่น่าสะพรึงจนทำให้ชิงหลวน จูหลี หวงฝู่อี้และโจวอันต้องถอยหลังไปหลายก้าว “เจ้าสมควรตายจริงๆ ตอนนั้นข้าได้กำชับเจ้าไว้ว่าอย่างไรกัน”

 

 

หมอหลวงเจียงรู้สึกถึงจิตสังหารของเขา และหมอบลงไปกับพื้นด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น แม้แต่ร้องขอชีวิตก็ยังไม่กล้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากห้องตามมา ได้ยินคำพูดของหมอหลวงเจียง ก็เดินมาที่ข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วส่ายหน้า บอกเป็นนัยให้เขาอย่าได้ลงมือกับหมอหลวงเจียง

 

 

ปิดตาลงเพื่อระงับความดาลเดือดในใจ หวงฝู่อี้เซวียนก็ถามด้วยเสียงเคร่งขรึม “ยังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าพูดอะไรออกไปบ้าง”

 

 

หมอหลวงเจียงส่ายหน้าขณะที่หมอบอยู่ “เวลานั้นข้าเมามากแล้ว ลืมว่าตัวเองพูดอะไรไปโดยสิ้นขอรับ”

 

 

“โจวอัน ลองไปถามฮูหยินเจียงว่าตกลงแล้วหมอหลวงเจียงพูดอะไรกับนางเมื่อคืนกันแน่”

 

 

โจวอันไม่กล้ารอช้า หลังจากรับคำ ร่างกายก็หายวับไปดั่งสายฟ้า พุ่งทะยานออกไป เพียงกระโดดไม่กี่ครั้ง ก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว

 

 

หมอหลวงเจียงลอบอธิษฐานในใจ ขอให้เมื่อคืนตัวเองอย่าได้พูดอะไรมากเกินไป มิฉะนั้นแม้ว่าซื่อจื่อจะให้อภัยเขา ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางให้อภัยเขาเป็นแน่

 

 

โจวอันว่องไวอย่างมาก หลังจากนั้นสิบห้านาทีก็กลับมาแล้ว พร้อมรายงานด้วยเสียงนอบน้อม “ฮูหยินเจียงบอกว่า หมอหลวงเจียงบอกนางเพียงแค่ว่าเขาได้เห็นดอกบัวสีเลือดของจริงในจวนอ๋อง แล้วยังได้ทดสอบฤทธิ์ของมันด้วยตัวเอง ดังนั้นนับวันร่างกายถึงได้ยิ่งกระปรี้กระเปร่าขึ้น จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นอีก”

 

 

ยังดี ยังดี หมอหลวงเจียงพ่นลมออกมาอย่างแรงจนทำให้ฝุ่นดินด้านหน้าลอยฟุ้งขึ้นเข้าลำคอของเขา แต่เขากลับไม่กล้าสำลักออกมา ได้แต่เพียงอดกลั้นไว้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วสั่งกับหมอหลวงเจียงด้วยเสียงที่ดุดัน “อย่าได้มาขวางตาอยู่ตรงหน้าข้าอีก รีบไสหัวกลับไปสำนักหมอหลวงเดี๋ยวนี้ แล้วเตือนทุกคนว่า ถ้าหากมีคนบังอาจพูดจาเหลวไหลอีก ระวังหัวจะหลุดออกจากบ่า ข้าพูดจริงทำจริง”

 

 

พวกหมอหลวงในสำนักหมอหลวงนี้ พูดให้น่าฟังเสียหน่อยก็คือมีไว้ให้คนในราชสำนักใช้ แต่ความเป็นจริงแล้วก็คือกลุ่มทาสรับใช้ของราชสำนัก หวงฝู่อี้เซวียนอยากจะเอาชีวิตของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย หมอหลวงเจียงรับคำขณะที่ร่างกายสั่นระรัว แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้นมา จึงค่อยๆ คลานถอยออกไป จนกระทั่งมาถึงด้านนอกของเรือนถึงจะกล้าตะกายตัวขึ้น แล้ววิ่งออกไปด้านนอกราวกับคนสิ้นสติ เพื่ออยากจะรีบกลับไปรายงานคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนที่สำนักหมอหลวงโดยเร็ว ทว่าก็สายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีคนมากน้อยเท่าไรที่หัวจะต้องหลุดออกจากบ่าแล้ว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ภายในเรือน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป คล้องแขนของเขาเอาไว้พร้อมปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก หากพวกเขาอยากได้ ก็ให้พวกเขาไปแค่นั้นเอง ไม่จำเป็นต้องมีความบาดหมางกับพวกเขา”

 

 

มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏรอยยิ้มดั่งสัตว์ป่ากระหายเลือดขึ้นแวบหนึ่งแล้วก็หายไป ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาอยู่ตลอดก็คงสงสัยว่าตัวเองอาจจะมองผิดไปแล้ว “โยวเอ๋อร์ ชีวิตของเจ้าจัดอยู่ในลำดับที่หนึ่งตลอดกาล ถ้าหากมีคนบังอาจไม่เห็นแก่เจ้า ก็หวังว่าพวกเขาจะพอรับกับผลลัพธ์ที่ตามมานั้นได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกตื้นตันใจ จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องอาจจะไม่ได้ถึงขั้นนั้นหรอก รอให้มีคนมาแล้วก็ค่อยว่ากันเถิด”

 

 

ไม่มีคนมา แต่กลับมีพระราชเสาวนีย์มาแล้ว กูกูผู้ดูแลไม่ได้เป็นเหมือนครั้งก่อนที่ทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างยิ้มแย้ม แต่สีหน้าดูออกจะเคร่งขรึมไป “ซื่อจื่อเฟยเจ้าคะ องค์ไทเฮาทรงคิดถึงท่าน จึงมีพระรับสั่งให้ท่านเข้าวังหลวงไปพูดคุยกับพระองค์เจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มแย้มราวกับไม่รู้ว่าไทเฮาได้รู้เรื่องที่นางมีดอกบัวสีเลือดอยู่ในมือแล้ว “กูกูอาจจะต้องมาอย่างเหนื่อยเปล่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านดูร่างกายที่อ้วนท้วมของข้านี่สิ ไม่สะดวกที่จะเข้าวังหลวงกับท่านจริงๆ เจ้าค่ะ จึงขอกรุณาให้ท่านช่วยบอกต่อพระพักตร์องค์ไทเฮาด้วยคำพูดรื่นหูแทนข้าด้วยนะเจ้าคะ”

 

 

กูกูผู้ดูแลนิ่งอึ้ง ระหว่างทางที่มานางนึกคิดสารพัด และยังคิดถึงท่าทีของเมิ่งเชี่ยนโยวนับร้อยนับพันแบบ แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธไม่ไปวังหลวง

 

 

“ทำไมหรือเจ้าคะ กูกูรู้สึกลำบากอย่างมากเลยหรือเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นให้สาวใช้ของข้าไปรายงานที่วังหลวงกับท่านด้วยแล้วกันเจ้าค่ะ”

 

 

กูกูผู้ดูแลได้สติกลับคืนมา ก็อดรู้สึกนับถือเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในใจไม่ได้ ถึงขนาดกล้าขัดขืนพระราชเสาวนีย์ เกรงว่านางน่าจะเป็นผู้แรกตั้งแต่โบราณกาลมา แม้แต่ซู่อิงก็ยังไม่กล้ากระทำเช่นนี้ ใบหน้าก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้น “ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยมิลำบากเจ้าค่ะ ท่านพักผ่อนอย่างเต็มที่อยู่ในจวนเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกลับวังหลวงไปคืนพระราชเสาวนีย์เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

 

 

“กูกูมาอย่างรีบร้อนจนหน้าผากมีเหงื่อออกเต็มไปหมดแล้วนะเจ้าคะ ท่านก็ควรจะดื่มน้ำชาสักถ้วยและซับเหงื่อบนหน้าผากเสียหน่อย แล้วค่อยกลับไปเจ้าค่ะ”

 

 

กูกูผู้ดูแลเข้าใจเจตนาดีของเมิ่งเชี่ยนโยว นี่เป็นเพราะนางกลัวว่าตัวเองจะกลับเร็วไป ทำให้ไทเฮาเห็นว่านางมิได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และจะลงโทษนางได้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น “ข้าน้อยขอขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนรินน้ำชามา

 

 

กูกูผู้ดูแลไม่รีบไม่ช้า ดื่มน้ำชาถ้วยหนึ่งด้วยท่าทางที่สง่างามจนหมด แล้วถึงลุกขึ้นยืน พร้อมโก่งตัวให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยจะต้องกลับไปแล้ว ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับชาดีของซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ส่งสัญญาณบอกให้ชิงหลวนส่งคนออกจากประตูใหญ่

 

 

ไทเฮารอคอยอยู่ภายในวังหลวงด้วยความร้อนใจโดยตลอด กว่าจะชะเง้อเห็นกูกูผู้ดูแลที่กลับมาคืนพระราชเสาวนีย์ กลับต้องเห็นว่ากลับมาเพียงคนเดียว ความหวังก็มลายหายสูญ และไฟแห่งความโกรธในใจก็ลุกโชนขึ้น แล้วตวาดด่านาง “เจ้าคนไร้ประโยชน์ แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ทำให้ดีไม่ได้”

 

 

กูกูผู้ดูแลคุกเข่าบนพื้นอย่างแน่นิ่ง ไม่พูดอะไร

 

 

ไทเฮาพ่นลมออกมาและไม่ได้สนใจนางอีก

 

 

วิธีการของฮ่องเต้กลับตรงไปตรงมาอย่างมาก เมื่อไล่อ่านเอกสารราชการประจำวันเสร็จแล้ว ก็สั่งคนให้ยกเกี้ยวมาถึงจวนอ๋องฉี

 

 

อ๋องฉีไม่ได้ออกว่าราชการเป็นเวลานานแล้ว ในขณะที่ตกใจ ก็ไม่กล้ารอช้าและออกมาต้อนรับด้วยความลนลาน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้รับข่าวนี้ กลับนั่งนิ่งไม่ขยับ และอ่านตำราแพทย์ในมือของตัวเองต่อ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนอนงีบอยู่บนเตียง แล้วถูกเสียงที่ตื่นตระหนกของผู้ดูแลทำให้สะดุ้งตื่น ครั้นได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จมา แม้แต่ดวงตาก็ไม่เปิดออก อีกทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งหัว แล้วนอนของนางต่อ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลอบเห็นท่าทางของนาง จึงเดินเข้ามาตรงหน้านางด้วยรอยยิ้ม พร้อมดึงผ้าห่มผืนบางบนศีรษะของนางออก “หายใจออกด้วยหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น แกล้งสูดหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้ง แล้วเอื้อมมือออกไปหาเขาอย่างยิ้มแย้ม “ก็ต้องหายใจไม่ออกน่ะสิ เซี่ยงกงก็ช่วยข้าสักหน่อยสิ”

 

 

นานแล้วที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเช่นนี้ คอของหวงฝู่อี้เซวียนกระตุกขึ้น มองใบหน้าที่ไม่ได้ปะแป้งของนางเต็มไปด้วยสีสันน่าดูชม จนสุดท้ายก็ไม่อาจอดรนทนได้ไหว ก้มหน้าลง จูบริมฝีปากของนางอย่างดูดดื่ม จนกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวจะหายใจไม่ออกแล้วจริงๆ ถึงจะปล่อยนาง พร้อมกับหอบหายใจอย่างรุนแรง แล้วจ้องแก้มทั้งสองข้างของนางที่ยิ่งมีสีนวลลออขึ้นอีก เสียงก็แหบแห้ง “นี่เจ้ากำลังยั่วยวนข้าอยู่หรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหลบเข้าไปในผ้าห่ม เย้าแหย่ใส่เขาอย่างไม่กลัวตาย “ย่อมต้องไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าก็แค่อยากจะดูสักหน่อยว่าฝีมือของเจ้าตกลงไปแล้วหรือยัง”

 

 

เพียงแค่เสียงที่พรายพริ้งนี้ ก็ทำให้สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก น้ำเสียงเริ่มเผยความปรารถนา “เจ้าก็เคยพิสูจน์แล้ว สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าถดถอยลงแล้วหรือยัง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแอบพ่นลมดูถูกเขาอยู่ในผ้าห่ม เจ้าคนไร้ยางอายคนนี้ หนังหน้ายิ่งอยู่ยิ่งหนาขึ้นทุกวันแล้ว

 

 

ยั่วแหย่พอแล้ว ก็ไม่สนใจเขาอีก หวงฝู่อี้เซวียนจะให้นางสมดังใจปรารถนาได้อย่างไร จึงถอดรองเท้าและถอดเสื้อนอกออกอย่างรวดเร็ว มุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม แล้วฉกฉวยผลประโยชน์อย่างรุนแรง

 

 

สี่คนที่เฝ้ารับใช้อยู่ภายในเรือนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องก็ถอยออกนอกเรือนไปโดยพร้อมกัน

 

 

ดังนั้น เมื่อพ่อบ้านที่แก่ชราผู้น่าสงสารมาเรียกตัวอีกครั้ง ก็ถูกโจวอันขวางไว้นอกเรือน “ตอนนี้ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยไม่ว่างขอรับ หากมีเรื่องอันใดอีกสักพักท่านค่อยมาอีกครั้งเถิดขอรับ”

 

 

กลางวันแสกๆ เช่นนี้ คำว่าไม่ว่างหมายถึงอะไร ผู้ดูแลชราจะไม่เข้าใจได้อย่างไร จึงอดไม่ได้ที่หน้าจะแดงก่ำไปทั้งหน้า ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยนี่ก็จริงๆ เลย ทำไมต้องเป็นเวลานี้ถึงได้…ไม่ใช่ว่าตัวเองเพิ่งจะมารายงานว่าฝ่าบาทเสด็จมาหรอกหรือ

 

 

หากเมิ่งเชี่ยนโยวทราบความคิดในใจของเขา จะต้องบอกเขาอย่างแน่นอนว่า ก็เป็นเพราะฝ่าบาทเสด็จมาน่ะสิ นางถึงได้จงใจยั่วเย้าหวงฝู่อี้เซวียน มิเช่นนั้นใครจะกล้าทำเรื่องเสี่ยงตายเช่นนี้เล่า ต้องรู้เสียด้วยว่า นางมักจะถูกรบเร้าจนต้องนอนตื่นสายทุกครั้ง

 

 

พ่อบ้านกลับไปที่โถงรับแขก และรายงานว่าซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาไม่ได้อย่างอ้ำๆ อึ้งๆ

 

 

ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทั้งสิ้น ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พ่อบ้านพูดหมายความว่าอย่างไร พระชายาฉีหน้าแดงด้วยความเขินอาย เคราของอ๋องฉีชูขึ้นตรง ส่วนฮ่องเต้แทบจะบีบถ้วยชาบนพระหัตถ์จนแตกเป็นเสี่ยงๆ