ไม่มีความอดทนที่จะคอยอีกต่อไป ฮ่องเต้วางถ้วยชาลง จ้องใบหน้าอ๋องฉีแล้วถาม “ได้ยินว่าเซวียนเอ๋อร์ได้ดอกบัวสีเลือดช่อหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ในวันนี้เราจึงอยากมาดูเป็นขวัญตา”

 

 

อ๋องฉีผงะไป

 

 

พระชายาฉีก็ผงะไปเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

 

 

สองสามีภรรยามองตากัน แล้วอ๋องฉีก็ประสานมือขึ้น “เสด็จพี่ นี่เป็นข่าวลือจากที่ใดกันหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุไฉนจวนอ๋องของพวกเราถึงได้มีของล้ำค่าเช่นนี้ได้”

 

 

พระชายาฉีไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าคล้อยตามอย่างเงียบๆ

 

 

ฮ่องเต้ถูกย้อนถามจนใจสั่นสะท้าน ใบหน้าเริ่มมีความเคืองโกรธ และน้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นเล็กน้อย “น้องข้า วันก่อนหมอหลวงเจียงเห็นดอกบัวสีเลือดที่จวนอ๋องของพวกเจ้า แล้วยังได้ลองสมุนไพรด้วยตัวเอง อย่าบอกนะว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหลอกลวงอย่างนั้นหรือ”

 

 

ครั้งนี้อ๋องฉีอึ้งไปแล้วจริงๆ และมองไปทางพระชายาฉีอย่างงุนงง ส่งสายตาถามนางว่าทราบเรื่องนี้หรือไม่

 

 

ช่วงนี้พระชายาฉียุ่งกับการปลอบและกำชับหลินหันเยียน มิได้ทราบเรื่องดอกบัวสีเลือดจริงๆ จึงส่ายหน้า

 

 

สองพระเนตรที่แหลมคมของฮ่องเต้จับจ้องทั้งคู่อยู่ตลอด เห็นท่าทางของทั้งคู่ดูไม่เหมือนกับกำลังเสแสร้ง จึงย่นหัวพระขนง แล้วครุ่นคิดอยู่ในใจ อย่าบอกนะว่าอนุชาของตัวเองจะไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ

 

 

หมอหลวงเจียงได้ลองยาแล้ว เช่นนั้นต้องมีอยู่จริงอย่างแน่แท้ อ๋องฉีจึงกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วสั่งพ่อบ้าน “ไปเชิญซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยมา!”

 

 

หัวใจของพ่อบ้านสั่นระรัว เม็ดเหงื่อบนหน้าผากผุดขึ้นมาทันใด นี่…นี่…นี่…

 

 

อ๋องฉีใช้สายตาที่คมดั่งเล่มมีดมองมา พ่อบ้านก็ผวาจนขาอ่อนแรง และรับคำโดยทันที “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” พูดจบ ก็รีบวิ่งเหยาะๆ ออกไป

 

 

และก็เป็นเช่นเดิม ยังคงถูกชิงหลวนกันไว้อยู่ด้านนอก

 

 

พ่อบ้านยกชายเสื้อที่แขนขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผาก แล้วก็รู้สึกว่าแสงของท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว และพลอยทำให้จิตใจของเขาขุ่นมัวตามลงไปด้วย ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย เป็นผู้ที่เขาไม่กล้ารบกวนจริงๆ ทว่า ทางด้านอ๋องฉีนั้นยังคงรอคอยการรายงานกลับอยู่ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรล้วนแต่ไม่ถูกต้อง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรบเร้าอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกพอใจแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก รู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อนที่มือและหน้าอกของตัวเอง แล้วอยากจะโบยตีหวงฝู่อี้เซวียนสุดแรงหลายครั้ง เพื่อระบายความคับแค้นภายในใจ เจ้าสัตว์ป่าเถื่อนตัวนี้ ตั้งแต่ที่ได้ลองในครั้งนั้นแล้ว ถ้าทุกครั้งไม่ได้รบเร้าด้วยท่าทีนี้สักรอบหนึ่ง ก็จะไม่ยอมพอ

 

 

ทว่า พลังของนางกลับมีเพียงน้อยนิด ทุบตีบนกายเขาก็ไม่เจ็บไม่คัน หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่สนใจ และยังส่งเสียงขู่ “โยวเอ๋อร์ ยังไม่พออีกหรือ ถึงได้ออกแรงกับข้าหนักเช่นนี้”

 

 

“ไสหัวไปให้พ้น!” เมิ่งเชี่ยนโยวร้องด้วยความอิดออด แทบอยากจะถีบเจ้าสัตว์ป่าเถื่อนนี้ตกลงไปจากเตียง

 

 

เห็นสีหน้าของหญิงงามตรงหน้าเป็นสีแดงสด และริมฝีปากแดงก็ได้ผ่านการล้างโทษจากตัวเองแล้ว ก็ยิ่งดูเพริศพรายพิสมัย แม้แต่ถ้อยคำที่ดุด่าตัวเองก็นุ่มละมุน และยังแฝงปนด้วยรสชาติแห่งความเย้ายวน สีของนัยน์ตาหวงหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งเข้มขึ้น ร่างกายก็จะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง

 

 

ไหนเลยที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่รู้ว่าท่าทีของเขาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร จึงหวาดผวาจนต้องรีบดึงผ้าห่มมาห่อตัวเองอย่างแน่นหนา แล้วกลืนน้ำลายติดต่อกันหลายอึก ความน่าเกรงขามที่เปิดเผยออกมาเมื่อครู่ก็ได้สูญสิ้นไปโดยไม่เหลือร่องรอย และอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนแล้ว”

 

 

เมื่อได้ยินว่า ‘เหนื่อย’ ความคิดฝันที่สวยงามทั้งหมดภายในหัวของหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้จางหายไป กลับกลายเป็นรู้สึกผิดที่ตัวเองรบเร้านางเมื่อครู่ เป็นเวลานานมากกว่าเขาจะได้กินเนื้อสักครั้งหนึ่ง จึงอดอยากมากแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้ จากนั้นก็เอื้อมมือไปจัดริมผ้าห่มให้นางอย่างมิดชิด แล้วใช้เสียงที่นุ่มนวลพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวจนทำให้นางรู้สึกขนลุก “นอนเถิด ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”

 

 

ได้รับคำรับรองแล้ว ครานี้เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะผ่อนคลายร่างกายเพื่อปิดตาลงนอน

 

 

“เดี๋ยวก่อน” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพลันลืมตาขึ้น แล้วมองเขาเพื่อเตรียมการตั้งรับ คล้ายกับว่าศัตรูตัวฉกาจกำลังย่างกรายเข้ามา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วลูบศีรษะของนาง “เจ้าเป็นแบบนี้จะไม่สบายเอาได้ ข้าช่วยเช็ดตัวให้เจ้าก่อนแล้วค่อยนอน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอก หลับตาลง และพยักหน้า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลงจากเตียง สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งชิงหลวนกับจูหลีให้นำน้ำอุ่นเข้ามา จากนั้นก็ช่วยเช็ดตัวให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วอุ้มนางขึ้นมาโดยที่มีผ้าห่มห่อตัวอยู่ พร้อมสั่งกับคนด้านนอก “ใครก็ได้!”

 

 

ชิงหลวนกับจูหลีรับคำและเดินเข้ามา “เจ้าค่ะ”

 

 

“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสีย”

 

 

ทั้งสองคนรับคำ คนหนึ่งรีบไปนำผ้าปูเตียงสะอาดออกมา ส่วนอีกคนก็ดึงผ้าปูเตียงที่เปียกชุ่มออกอย่างว่องไว ทิ้งไว้ด้านหนึ่ง แล้วทั้งสองคนก็ปูเตียงเสร็จเรียบร้อยด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว จากนั้นเอนตัวลงหยิบผ้าปูเตียงบนพื้นและเดินก้มหน้าออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอาศีรษะมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของหวงฝู่อี้เซวียนดั่งนกน้อย แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้หลายครั้งแล้ว นางก็ยังไม่คุ้นเคยกับการที่มีคนมาช่วยพวกเขาเก็บกวาดหลังจากที่เสร็จธุระ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางนางกลับลงบนเตียงเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ ก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากนาง “นอนเถิด ข้าจะออกไปสักหน่อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกง่วงตั้งนานแล้ว จึงพยักหน้า ห่มผ้าห่มให้ดี พอหลับตาลงแล้ว ก็แทบจะหลับไปโดยทันที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจูบหน้าผากของนางอย่างเอ็นดูอีกครั้ง ช่วยนางห่มผ้าอย่างใส่ใจ แล้วหันกายเดินออกไป

 

 

ชิงหลวนและจูหลีไม่อยู่ หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งหวงฝู่อี้ยืนอยู่หน้าประตู “เฝ้าเรือนให้ดี ก่อนที่โยวเอ๋อร์จะตื่น ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้”

 

 

หวงฝู่อี้รับคำเบาๆ

 

 

พ่อบ้านที่เฝ้าคอยอยู่นอกเรือนโดยตลอดวิ่งเยาะๆ เข้ามา ภายในน้ำเสียงแม้ว่าจะมีความรีบร้อน แต่กดเสียงให้เบาลง “ซื่อจื่อ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ฝ่าบาททรงรอท่านอยู่นานแล้วขอรับ”

 

 

อารมณ์ดีของหวงฝู่อี้เซวียนหายวับไปโดยทันที สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น

 

 

หัวใจของพ่อบ้านก็รู้สึกหนักอึ้ง ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหน้าเขาด้วยความนอบน้อม ไม่กล้าพูดอะไร

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินก้าวยาวๆ ไปด้านนอก

 

 

พ่อบ้านที่ตามติดอยู่ด้านหลังทุกฝีก้าว รู้สึกถึงร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนที่แผ่ไอแห่งความเยือกเย็นออกมา จึงทำให้รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองยิ่งหนาวเหน็บขึ้นไปอีก

 

 

ผ่านไปเกือบจะครึ่งชั่วยามแล้ว ฮ่องเต้ทรงดื่มน้ำชาไปหลายแก้วจนนับไม่ถ้วน ถึงได้ยินเสียงฝีเท้า อารมณ์ก็ไม่ดีอย่างมาก แต่พอคิดถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาในครั้งนี้ ถึงได้อดทนระงับความเดือดดาลเอาไว้

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา ก็แสดงความเคารพ “ถวายบังคมเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ผงกพระเศียรเบาๆ และไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป “เซวียนเอ๋อร์ ลุงได้ยินว่าเจ้าได้ดอกบัวสีเลือดมาหนึ่งช่อ เป็นความจริงหรือไม่”

 

 

“ทูลเสด็จลุง เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบังและยอมรับตรงๆ

 

 

อ๋องฉีและพระชายาฉีแสดงอาการตกตะลึงในเวลาเดียวกัน

 

 

อ๋องฉีอ้าปาก อยากสอบถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อใด ทว่า นึกคิดไปครู่หนึ่ง คำพูดที่อยากจะถามก็กลืนกลับเข้าไป

 

 

หลังจากที่พระชายาฉีตกตะลึงแล้ว ในใจกลับเต็มไปด้วยรู้สึกประหลาดใจปนยินดีอย่างมาก ได้ยินว่าดอกบัวสีเลือดนี้มีสรรพคุณที่ฟื้นคืนชีพได้ หากมีสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าตอนที่โยวเอ๋อร์คลอดจะต้องพบเจอกับความเสี่ยงแล้ว

 

 

พระเนตรของฮ่องเต้หรี่ลง พระพักตร์เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา “ในเมื่อมีแล้ว สามารถนำออกมาให้ลุงดูเป็นบุญตาได้หรือไม่”

 

 

“ดอกบัวสีเลือดเป็นเพียงสมุนไพรที่มีค่าชนิดหนึ่ง มิได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับผืนแผ่นดินของชาติและบ้านเมืองแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าเหตุใดเสด็จลุงถึงได้สนพระทัยดอกบัวสีเลือดถึงเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างตรงประเด็นด้วยความนอบน้อม

 

 

ฮ่องเต้สำลักจนแน่นิ่งไป สีพระพักตร์แดงระเรื่อขึ้น ความเคืองโกรธก็ผุดขึ้นในใจ และพระพักตร์ก็แสดงความไม่พอใจแล้ว

 

 

คนตรงหน้าคือพี่ชายของตัวเอง ทำไมอ๋องฉีจะไม่รู้จุดประสงค์ที่เขามา เมื่อคำพูดหวงฝู่อี้เซวียนสิ้นลง เขาก็ก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางของฮ่องเต้

 

 

พระชายาฉีกลับมีท่าทีดั่งปกติ อาการบนใบหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ

 

 

ฮ่องเต้ก็ตรัสวกวนด้วยน้ำเสียงปนด้วยความเดือดดาล “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง ทำไมจะเดาไม่ออกว่าที่ลุงมาเพราะเป็นจุดประสงค์อันใดเล่า”

 

 

“หลานไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ วอนเสด็จลุงทรงบอกให้ทราบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนโต้กลับด้วยท่าทางที่เรียบเฉย

 

 

“เจ้า…” ฮ่องเต้กริ้วจนพูดไม่ออก และพ่นลมออกแรงๆ หลายครั้ง

 

 

ตัวเองก็ไม่กล้าที่จะพูดโต้แย้งกับเสด็จพี่อย่างชัดเจน เซวียนเอ๋อร์ทำเช่นนี้ก็เกินไปแล้ว อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นและทำการพูดไกล่เกลี่ย “เซวียนเอ๋อร์ เสด็จลุงของเจ้าเพียงแต่ใคร่รู้ จึงมาขอทอดพระเนตรดอกบัวสีเลือดที่ร้อยปีจะหาพบเสียหน่อยเท่านั้น เจ้ารีบไปนำมาโดยเร็วเถิด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น ถาม “เป็นเช่นนั้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุง”

 

 

ฮ่องเต้จนปัญญา ได้แต่เพียงพยักพระพักตร์ ผ่อนน้ำเสียงลง แล้วพยายามพูดอย่างรักษาหน้า “ก็มีพ่อของเจ้านี่แหละที่เข้าใจข้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไรอีก หันกายกลับเข้าไปที่เรือนตัวเองนำดอกบัวสีเลือดกลับมา แล้ววางกล่องไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างกายของฮ่องเต้ พร้อมเปิดกล่องขึ้น

 

 

แล้วก็เป็นอย่างที่กล่าวขานกันอย่างแท้จริง ทั้งต้นเป็นสีแดงสด งามงดยิ่งนัก ดวงพระเนตรทั้งสองคู่ของฮ่องเต้โตขึ้น พยายามควบคุมมือของตัวเองที่สั่นเล็กน้อยว่าอย่าได้ไปสัมผัสดอกบัวสีเลือดนั่น

 

 

“ดอกบัวสีเลือดนี้ กระหม่อมได้มาโดยบังเอิญพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นยากที่จะพิจารณาว่าเป็นของจริงหรือของปลอม จึงให้หมอหลวงเจียงช่วยพิสูจน์ดูเสียหน่อย เขาจึงสละร่างกายตัวเองเพื่อทดลองสมุนไพรให้ หลานถึงรู้ว่าดอกบัวสีเลือดนี้เป็นของจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่กลัวว่าอาจจะนำพาหายนะมา จึงขู่ให้เขาอย่าได้พูดเรื่องดอกบัวสีเลือดนี้ออกไปพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนอธิบายที่มาของดอกบัวสีเลือด แล้วช่วยพูดแก้ต่างให้แก่หมอหลวงเจียง

 

 

ถ้อยคำที่ฮ่องเต้กำลังจะเอ่ยปากถามว่าดอกบัวสีเลือดนี้ได้มาแต่อย่างใด ก็ถูกเขาสกัดเอาไว้แล้ว และอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อ “ร่างกายของโยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บมาก่อน แล้วยังท้องลูกแฝด หมอหลวงเจียงเคยบอกว่ายากที่เลี่ยงอันตรายเมื่อคลอด ดอกบัวสีเลือดช่อนี้จึงเก็บไว้เพื่อช่วยชีวิตนาง ดังนั้นหลานจึงไม่กล้าโพนทะนา แม้แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็มิได้บอกพ่ะย่ะค่ะ จึงขอกรุณาเสด็จลุงหลังจากที่เสด็จกลับไปแล้ว ก็ออกพระราชกระแสรับสั่งแก่หมอหลวงทุกคนว่าอย่าได้พูดออกไปด้วย หลานจะขอบพระทัยเสด็จลุงอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็สกัดคำถ้อยคำของฮ่องเต้ที่อยากเอ่ยพระโอษฐ์ร้องขอเอาไว้ ถ้อยคำต่อมาของฮ่องเต้นั้นก็ตรัสไม่ออกอีกแล้ว และอึดอัดอย่างยิ่ง แต่กลับไม่อาจกริ้วได้ ได้แต่โบกพระหัตถ์ ส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนเก็บดอกบัวสีเลือดขึ้น แสร้งทำเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

เก็บดอกบัวสีเลือดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ปิดกล่องพร้อมกล่าวลา “เสด็จลุง ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว หลานขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ ร่างกายของโยวเอ๋อร์ในวันนี้ค่อนข้างไม่สบาย หลานรู้สึกไม่ค่อยวางใจ อยากจะกลับไปดูแลนางพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถ้าหากองค์รัชทายาทอย่างหวงฝู่ซวิ่นกล้าพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้จะต้องหยิบถ้วยชาเขวี้ยงใส่อย่างแน่นอน เป็นถึงองค์รัชทายาทผู้ทรงสง่า ทว่า อยู่แต่กับผู้หญิงทั้งวัน จะมีความเหมาะสมได้อย่างไร แต่พอเปลี่ยนเป็นหวงฝู่อี้เซวียน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว อีกอย่าง สาเหตุที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บก็เกี่ยวข้องกับตัวเองอยู่บ้าง จึงได้แต่โบกพระหัตถ์อีกครั้งเพื่อเป็นสัญญาณให้เขาออกไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนถือกล่องเดินออกจากห้องรับแขกไป แล้วถอนหายออกเบาๆ มือที่ถือกล่องไว้เกร็งแน่นยิ่งขึ้นแล้ว ถึงจะสาวเท้าเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง หลังจากวางดอกบัวสีเลือดด้วยความทะนุถนอมแล้ว ก็นั่งบนเก้าอี้ด้านหนึ่งแล้วศึกษาตำราแพทย์อย่างเงียบๆ

 

 

เมื่อฮ่องเต้พ่ายแพ้ราบคาบ ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะอยู่ต่ออีก จึงกลับวังหลวงไปด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง

 

 

ใจของอ๋องฉีและพระชายาฉีเริ่มเคร่งเครียดขึ้น จุดประสงค์ที่ฮ่องเต้มาในวันนี้ก็เพื่อดอกบัวสีเลือด เมื่อไม่ได้ครอบครอง ก็ต้องไม่ยอมหยุดหย่อนอย่างแน่นอน

 

 

พอได้ยินว่าฮ่องเต้ไปที่จวนอ๋อง ไทเฮาก็ปีตียินดีกว่าปกติ ส่งคนไปสืบว่าฮ่องเต้ได้นำดอกบัวสีเลือดกลับมาหรือไม่

 

 

ใครจะรู้ว่าหลังจากขันทีที่ส่งออกไปสืบแล้วจะกลับมารายงานว่า “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสืบแล้วไม่ได้ความเลยพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินแต่เพียงว่าตอนที่ฝ่าบาทเสด็จกลับมามีอารมณ์ที่มิได้ยินดีมากนัก”

 

 

ลูกชายของตัวเอง ไทเฮาย่อมรู้จักดีอยู่แล้ว นี่ก็หมายถึงเขาไม่ได้ดอกบัวสีเลือด จึงเลิกล้มความคิดที่จะส่งคนไปเชิญฮ่องเต้ให้มาหา

 

 

เรื่องที่อ๋องฉีและพระชายาฉีกังวล หวงฝู่อี้เซวียนก็นึกถึงด้วยเช่นกัน วางตำราแพทย์บนมือลง มองคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง เม้มริมฝีปาก เดินออกจากห้อง แล้วสั่งโจวอันเบาๆ “ไปเรียกหมอหลวงเจียงมา บอกว่าข้ามีธุระสำคัญต้องการพบเขา”

 

 

โจวอันทะยานตัวลอยออกไป มาถึงสำนักหมอหลวง และเชิญหมอหลวงเจียงไปที่จวนอ๋องด้วยท่าทางที่นอบน้อม

 

 

ครั้งนี้สายตาของทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้มีความอิจฉาอีกแล้ว แต่ทุกคนล้วนมองเขาด้วยความสงสาร หมอหลวงเจียงก่อเรื่องหายนะใหญ่หลวงเช่นนี้ ซื่อจื่อต้องไม่ให้อภัยเขาอย่างแน่นอน ดูสิ เดิมทีก็มารับถึงที่แล้ว ครั้งนี้ยังมาเชิญอย่างเป็นทางการ นี่ก็คือให้หมอหลวงเจียงได้เสพสุขกับการปรนนิบัติอย่างดีก่อนตายสักหน่อย

 

 

หมอหลวงเจียงไม่ได้คิดมากเช่นนั้น ภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของโจวอัน ก็คล้องกล่องยาไว้ที่คอ แล้วยิ้มพูด “ไม่ต้องนั่งรถม้าหรอก ท่านจอมยุทธ์หิ้วข้าไปเถิด รวดเร็วกว่า”

 

 

เหล่าหมอหลวงพากันป้องปากแอบหัวเราะ หมอหลวงเจียงคนนี้แก่ชราแล้วจริงๆ สมองไม่ว่องไวแล้ว มีรถม้าดีๆ สบายๆ ไม่นั่ง จะเอาที่ลำบากให้ได้

 

 

โจวอันขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่าจะหิ้วไปดีหรือไม่

 

 

หมอหลวงเจียงกลับเร่งเขาอย่างรีบร้อน “โธ่เอ๊ย ท่านยังจะเหม่ออะไรอยู่ เร็วเข้าหน่อย หากทำให้ธุระของซื่อจื่อล่าช้าแล้ว เจ้ากับข้าจะแบกรับไม่ไหวเอานะ”

 

 

โจวอันไม่ลังเลอีก จึงหิ้วเขากลับไปที่จวนอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว และมาถึงหน้าประตูห้องรับแขก

 

 

หมอหลวงเจียงยืนทรงตัวนิ่ง สะบัดศีรษะแล้ว หยิบกล่องยาตัวเองเดินเข้าไปภายในห้องรับแขก เมื่อพบหวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้และมีสีหน้าไม่พอใจเข้า ก็สะดุ้ง แล้วรีบเดินเข้าไปทำความเคารพ

 

 

“ข้าขอแสดงความ…”

 

 

ไม่รอให้เขาพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดเสียงขรึม “ไม่ต้อง”

 

 

ร่างกายของหมอหลวงเจียงที่โค้งเล็กน้อยก็ยืดตรงขึ้นทันที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากสอบถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฤทธิ์ของดอกบัวสีเลือดนี้มีมากน้อยแค่ไหน”