หลังจากที่หมอหลวงเจียงลองดื่มยาด้วยตัวเองแล้ว ก็กลับไปเปิดตำราแพทย์โบราณอีกครั้งหนึ่งอย่างจริงจัง จนได้เข้าใจสรรพคุณของดอกบัวสีเลือดแล้ว ครั้นได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้น จึงรีบตอบทันที “ข้าน้อยได้ตรวจสอบแล้วขอรับ ฤทธิ์ของดอกบัวสีเลือดนี้รุนแรงอย่างมาก ช่อที่ซื่อจื่อได้มานั้นก็เพียงพอสำหรับให้คนหลายคน”
“แน่ใจหรือ”
“ในตำราโบราณบันทึกไว้ว่าดังนี้ขอรับ ข้าน้อยก็คิดว่าประมาณนี้เช่นกันขอรับ ครั้งที่แล้วข้าน้อยกินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฤทธิ์ยาได้ผลดีกว่าที่ข้าน้อยคิดอย่างมากขอรับ เมื่อลองคิดดูแล้วก็น่าจะไม่ผิดขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูด หมอหลวงเจียงก็ไม่กล้าพูดอะไร
บรรยากาศภายในห้องเริ่มเคร่งเครียดขึ้น ใจของหมอหลวงเจียงก็หดเกร็ง ราวกับว่าเขาเริ่มเข้าใจขึ้นแล้วว่าได้เกิดอะไรขึ้น จะว่าไปแล้ว ต้นตอหลักของหายนะทั้งหมดนี้ก็มาจากตัวเองทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่ว่าตัวเองหลุดปากพูดไปเพราะความเมามาย ซื่อจื่อก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินตรงออกไป ทิ้งหมอหลวงเจียงให้ยืนอยู่ที่เดิมอย่างงุนงงคนเดียว
แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมือที่ถือกล่องที่บรรจุดอกบัวสีเลือดมา เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว ก็วางกล่องบนโต๊ะข้างกาย และเปิดออก “เจ้าลองดูว่าจะตัดแบ่งดอกบัวสีเลือดช่อนี้อย่างไรดี”
หมอหลวงเจียงเดินเข้ามาตรวจดูอย่างละเอียด แล้วจำลองวัดสัดส่วนบนดอกบัวสีเลือดดู “เอาเท่านี้ไว้ให้แก่ซื่อจื่อเฟย ส่วนที่เหลือ ซื่อจื่อสามารถตัดแบ่งมอบให้แก่ผู้อื่นได้อย่างตามใจชอบขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองดู เห็นว่าหมอหลวงเจียงเหลือดอกบัวสีเลือดไว้เกินกว่าครึ่งหนึ่งเล็กน้อย จึงพยักหน้า “ต้องใช้เท่านี้ทั้งหมดหรือไม่”
“ตามบันทึกในตำราแพทย์ ซื่อจื่อเฟยรับดอกบัวสีเลือดแค่เล็กน้อยของครึ่งส่วนนี้ก็เพียงพอขอรับ ส่วนที่เหลือเอาไว้เพื่อเตรียมสำรองใช้ เช่นนั้นก็สามารถรับรองได้ว่าซื่อจื่อเฟยจะพ้นจากอันตรายแล้วขอรับ”
มองเขาด้วยความชื่นชมครู่หนึ่ง แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็ปิดฝากล่องลง “เรื่องในครั้งนี้ ทดเอาไว้ก่อน แล้วจะเพิ่มเป็นรางวัลชดเชยให้ในภายหลัง”
หมอหลวงเจียงรู้สึกยินดีอย่างมาก “ขอบพระคุณซื่อจื่ออย่างยิ่งขอรับ”
ยังต้องไม่พูดไปถึงสรรพคุณที่สามารถฟื้นคืนชีพได้ของดอกบัวสีเลือด เพียงแค่พูดถึงว่าหลังจากรับประทานยาแล้ว ร่างกายและพละกำลังล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล ฮ่องเต้ก็โหยหาคะนึงถึงอย่างมาก หลังจากที่ไม่มีกระจิตกระใจแม้แต่จะดื่มน้ำเสวยอาหารหลายวัน ในที่สุดก็ทรงคิดออกวิธีหนึ่ง จึงสั่งคนไปเรียกหวงฝู่ซวิ่นเข้ามาที่วังหลวง แล้วตรัสสั่งเขาอย่างคลุมเครือ “ระยะนี้พ่อรู้สึกว่าร่างกายไม่สบาย ได้ยินว่าดอกบัวสีเลือดสามารถรักษาได้สารพัดโรค เจ้าส่งคนไปหาให้พ่อสักหนึ่งช่อ หากทำไม่ได้จริงๆ เพียงครึ่งช่อก็ได้”
ในวันนั้นหวงฝู่ซวิ่นก็ได้ยินเรื่องดอกบัวสีเลือดแล้ว ที่กลัวก็คือเรื่องนี้จะตกมาถึงตัว รู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้ เขาก็รู้จักหวงฝู่อี้เซวียนเป็นอย่างดี เขาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ดอกบัวสีเลือดนี้ก็ต้องเอาไว้ให้เมิ่งเชี่ยนโยวใช้อย่างแน่นอน ถ้าอยากจะได้มาจากมือของเขาก็เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นหากเขาสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง หวังเพียงว่าฮ่องเต้อย่าได้นึกถึงเขาเลย ทว่า น่าเสียดาย ความหวังของเขามลายลงทันทีที่กงกงส่งกระแสรับสั่งมาเมื่อครู่ เขาก็เดาได้แล้วว่าเรื่องยากลำบากนี้ก็ต้องตกมาถึงตัวเองเป็นแน่แท้แล้ว ฮ่องเต้น่ะนะ พูดให้น่าฟังหน่อย การที่ให้เขาไปตามหามาครึ่งช่อ แท้ที่จริงแล้ว ก็คือให้เขาไปต่อรองขอมาจากหวงฝู่อี้เซวียนนั่นแหละ คำสั่งของฮ่องเต้นั้นยากลำบาก แต่แม้ว่าเขาจะไม่ยินยอมอย่างไร ก็ต้องฝืนหน้าด้านรับคำมา “ลูกน้อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพอใจ “อย่างไรผืนแผ่นดินของรัฐอู่ก็จะเป็นของเจ้าไม่ช้าก็เร็ว รอให้เจ้าทำเรื่องนี้ลุล่วงแล้ว ก็มาที่ห้องทรงพระอักษรช่วยพ่ออ่านฎีกาทุกวันเถิด”
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน หวงฝู่ซวิ่นต้องขอบพระทัยอย่างดีอกดีใจแน่นอน แต่วันนี้ หัวใจก็เขาหนักอึ้ง เสด็จพ่อมักจะฝึกวิทยายุทธ์เป็นประจำ พระวรกายจึงแข็งแรงอย่างมาก ถ้าหากได้เสวยดอกบัวสีเลือดแล้ว วันที่ตัวเองจะได้ขึ้นครองราชย์ก็ยิ่งห่างไกลออกไปอีก คำพูดของเขาในวันนี้ ก็คือปลอบใจตัวเองเท่านั้น บนสีหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้ม รับคำแล้ว ก็ถอยออกไป
เดินมาถึงนอกห้องทรงพระอักษรและเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็รู้สึกว่าแสงของดวงอาทิตย์ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแสบตาเสียยิ่งกว่ายามฤดูร้อนอย่างมาก
เมื่อเห็นหวงฝู่ซวิ่นเดินออกไป เมฆดำที่ขมุกขมัวอยู่บนพระเศียรของฮ่องเต้หลายวันก็สลายออกไป พระองค์ผ่อนคลายพระวรกายลง และหยิบพระราชโองการเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม
หวงฝู่ซวิ่นยกเท้าเดินออกนอกวังหลวง ขณะที่เพิ่งจะเดินมาถึงประตูวังหลวง ขันทีผู้ดูแลภายในตำหนักไทเฮาก็ก็วิ่งมาอย่างรีบร้อน และตะโกนเรียกอยู่ด้านหลังเสียงดัง “ไท่จื่อ ได้โปรดหยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ องค์ไทเฮาทรงมีรับสั่งเชิญให้เสด็จไปหาพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นหยุดฝีเท้าลง หันหน้าไป หัวหน้าขันทีสาวเท้าวิ่งมาถึงหน้าเขาด้วยความกระหืดกระหอบ และพูดย้ำอีกรอบ “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ องค์ไทเฮามีรับสั่งเชิญให้เสด็จไปหาพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นเห็นหัวหน้าขันทีผู้ดูแลที่ศีรษะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ อยากจะหันหน้าหนีไม่สนใจเขา แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขาเป็นไท่จื่อคำสั่งสอนที่สำคัญตั้งแต่เด็กก็คือเรื่องความกตัญญู ตอนนี้เขายังไม่ได้ขึ้นสืบทอดบังลังก์ฮ่องเต้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไทเฮา
ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง ถึงจะเดินไปยังตำหนักไทเฮา ในใจก็เกิดความอิจฉาหวงฝู่อี้เซวียนอย่างมาก เขาจะกระทำใดๆ ก็ได้ตามอำเภอใจ เรื่องที่ไม่อยากทำ คนที่ไม่อยากเจอล้วนสามารถปฏิเสธได้ แต่ตัวเองนั้น เกรงว่าชีวิตที่เหลือก็ไม่อาจมีโอกาสจะทำเช่นนั้นได้
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลแอบซับเหงื่อบนหน้าผากที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาจากที่วิ่งหรือเป็นเพราะความหวาดกลัว แล้วเดินตามอยู่ด้านหลังของหวงฝู่ซวิ่นติดๆ
ขณะที่ถึงภายในตำหนักของไทเฮา ยังไม่ทันได้ทำความเคารพทักทาย ไทเฮาก็โบกมือให้เขาอย่างโอบอ้อมอารียิ่งกว่าปกติ แล้วตบเก้าอี้นิ่มข้างกาย “ซวิ่นเอ๋อร์ มานั่งข้างๆ ย่าสิ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า”
หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่มข้างๆ
“ซวิ่นเอ๋อร์เอ๋ย ย่าได้ยินว่าเสด็จพ่อของเจ้าให้เจ้าไปเสาะหาดอกบัวสีเลือดหรือ” ไทเฮายิ้มถาม
หวงฝู่ซวิ่นตอบอย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า”
“เช่นนั้นเจ้าเตรียมจะไปเสาะหาในที่แห่งใดเล่า”
“หลานไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ หลานกำลังจะกลับตำหนักเพื่อจัดเตรียมคนอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ แล้วท่านย่าก็ส่งคนเรียกให้มาเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาพยักหน้า “ดอกบัวสีเลือดนี้เป็นของดียิ่งเชียว ว่ากันว่ามีสรรพคุณฟื้นคืนความตาย หากเจ้าสามารถหาพบได้จริงๆ เสด็จพ่อของเจ้าต้องพระราชทานรางวัลอย่างงามให้แก่เจ้าแน่นอน”
หวงฝู่ซวิ่นพูดถ่อมตัวอย่างมีมารยาท “การช่วยคลายความกังวลให้แก่เสด็จพ่อ เป็นหน้าที่อันสมควรของหลานอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“สมแล้วที่เป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงโตมากับมือ เจ้ากตัญญูเช่นนี้ ย่ารู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก หลังจากเจ้าพบดอกบัวสีเลือดแล้ว ต้องบอกให้ย่ารู้ก่อนนะ”
นี่ถึงจะเป็นจุดประสงค์ที่ไทเฮาเรียกเขามา ในใจของหวงฝู่ซวิ่นขมขื่น กลับยังคงลุกขึ้นยืน รับคำ “หลานทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จย่าวางพระทัย เมื่อพบดอกบัวสีเลือดแล้วจริงๆ หลานจะทูลเสด็จย่าเป็นลำดับแรกพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮายิ้มพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ดี ย่าจะรอข่าวดีจากเจ้า”
หวงฝู่ซวิ่นเดินออกนอกตำหนักไทเฮา ในใจเต็มไปด้วยความสับสน หลายปีผ่านมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกแคลงใจต่อตัวเองที่เกิดในราชวงศ์ และมีสถานะเป็นไท่จื่อว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”
ถอนหายใจยาวเดินออกนอกตำหนักอย่างช้าๆ แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าที่โอ่อ่าแต่กลับว่างเปล่าคันนั้น พร้อมกับสั่งบ่าวให้ตรงไปที่จวนอ๋องฉี
รถม้าที่หรูหรามุ่งเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หวงฝู่ซวิ่นนั่งภายในรถ มองดูผู้คนด้านนอกที่คึกคักและวุ่นวาย ในใจกลับเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา
ราวกับคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าเขาจะมา เมื่อถึงจวนอ๋องฉี และกำลังจะลงจากรถม้า นายประตูก็คุกเข่าแสดงความเคารพ แล้วพูดขึ้น “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ ซื่อจื่อได้สั่งเอาไว้ว่าหากพระองค์มาถึงแล้วก็ให้ไปที่เรือนของเขาโดยตรงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม หวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องขนาดนั้น ทำไมจะคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมาได้กันเล่า
ยกเท้าเดินเข้าไปภายในจวน ฝีเท้ากลับไม่ได้สบายๆ เหมือนเมื่อก่อน เพียงแต่รู้สึกว่าหนักอึ้งขึ้นหลายพันจิน ทุกๆ ก้าวเดินล้วนราวกับกินพลังงานของเขาไปจนหมดสิ้น คล้ายว่าเดินมาเป็นเวลานานแล้ว กว่าจะมาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน
ชิงหลวนกับจูหลีเฝ้าอยู่หน้าประตู โจวอันยืนอยู่ภายในลานบ้าน ส่วนหวงฝู่อี้กำลังจะให้ยกน้ำมาให้ทั้งสามคน แล้วทักทายให้พวกเขาดื่มอย่างยิ้มแย้ม คนที่เฝ้ารับใช้มีจำนวนน้อยมาก แต่บรรยากาศกลับอบอุ่นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นหวงฝู่ซวิ่น แต่ละคนก็ทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน “ถวายบังคมไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
หวงฝู่ซวิ่นผงกศีรษะเล็กน้อย
ชิงหลวนเปิดม่านออก “ไท่จื่อเพคะ ซื่อจื่อคอยพระองค์อยู่นานแล้วเพคะ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิดเพคะ”
หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจ แต่ยังคงยกเท้าเดินก้าวเข้าไปภายในห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่มด้านซ้ายและด้านขวา ในมือของหวงฝู่อี้เซวียนกำลังถือตำราแพทย์
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รู้ว่าเกิดอารมณ์อยากจะทำเสื้อผ้าตัวเล็กให้แก่เด็กสองคนตั้งแต่เมื่อไร เวลานี้จึงกำลังถักเย็บบนผ้าชั้นดีด้วยท่าทางที่งุ่มง่าม
“พี่ใหญ่” เมื่อเห็นหวงฝู่ซวิ่นเข้าห้องมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางงานบนมือ แล้วยิ้มทักทาย
หวงฝู่อี้เซวียนก็วางตำราแพทย์ลง มองเขาด้วยท่าทีที่เงียบขรึม
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกกระดากกระเดื่องขึ้นมา ไม่กล้าเผชิญสายตากับเขา
“พี่ใหญ่นั่งเถิดเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ โต๊ะด้านข้างมีกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง
ขณะที่หวงฝู่ซวิ่นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี หวงฝู่อี้เซวียนก็เอ่ยปาก “ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
หวงฝู่ซวิ่นอึ้งไป ไม่มีการตอบสนองไปชั่วขณะ
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาราวกับกำลังมองคนโง่ จึงพูดเยาะเย้ยเบาๆ “ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่วัน นี่เจ้าโง่ไปแล้วหรือ”
“เจ้าสิโง่” หวงฝู่ซวิ่นตอบโต้กลับโดยสัญชาตญาณ แต่หลังจากพูดจบก็รู้สึกเสียใจแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนกลับเผยรอยยิ้ม เงยหน้าขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาเปิดกล่องบนโต๊ะ
หวงฝู่ซวิ่นพ่นลมครั้งหนึ่ง ไม่ขยับ และมองเขาอย่างท้าทาย
“โง่แล้วจริงๆ ด้วยสิ” หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา และถอนหายใจเบาๆ
หวงฝู่ซวิ่นลุกพรวดขึ้นมา “เจ้าอย่าได้ล้ำเส้นเกินไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นพี่ใหญ่เจ้า มีใครพูดจาเช่นนี้กับพี่ใหญ่อย่างเจ้าหรือ”
มุมปากเมิ่งเชี่ยนโยวเม้มเล็กน้อย พยายามข่มกลั้นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงหัวเราะออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน มานั่งลงข้างกายหวงฝู่ซวิ่น เงยหน้ามองเขา แล้วใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขานั่งลงด้วย
หวงฝู่ซวิ่นพ่นลม ยืนตรงอย่างหนักแน่นยิ่งขึ้นเพื่อจงใจจะท้าทายเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวอดทนไม่ไหวจนส่งเสียงหัวเราะพรวดออกมา
หวงฝู่ซวิ่นตระหนักได้ในภายหลังว่าตัวเองได้ทำเรื่องโง่แล้ว สีหน้าแดงระเรื่อ และนั่งลงอย่างฉุนเฉียว
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดกล่องออก ให้ดอกบัวสีเลือดส่วนครึ่งช่อเล็กที่ยังคงสีสันที่แดงสดราวกับเลือดที่อยู่ด้านในปรากฏต่อเบื้องหน้าของหวงฝู่ซวิ่นที่เบิกตาโพลงโต “ให้เจ้าได้เพียงเท่านี้แหล่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นตะลึงจนพูดไม่ออกไปแล้ว มองหวงฝู่อี้เซวียนที่ท่าทางเรียบเฉย และมองเมิ่งเชี่ยนโยวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นชี้ที่ตัวเอง แล้วถามอย่างอ้ำอึ้ง “นี่…นี่…นี่คือให้ข้าหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนกรอกตาบนใส่เขา และพูด “ฝันไปเถอะ นี่คือให้เจ้านำกลับไปเจรจา”
หวงฝู่ซวิ่นชะงัก
“ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดอีกครั้ง
“เจ้าว่ามา” ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่ซวิ่นมีความเร่งรีบ
“ให้เสด็จย่าถอนพระราชเสาวนีย์ที่ให้คุณหนูหลินเป็นสนมตลอดชีวิต แล้วเจ้าก็นำดอกบัวสีเลือดนี้ไปได้”
หวงฝู่ซวิ่นชะงักไปอีกครั้ง เขาไม่นึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ดอกบัวสีเลือดเป็นของล้ำค่าที่ยากจะพบเห็นในร้อยปีโดยแท้จริง
กลืนน้ำลายลง แล้วลองถามอย่างระมัดระวัง “ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกไหม”
“มี”
นี่ถึงจะเป็นหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่ซวิ่นยืดหลังตรง ถาม “เงื่อนไขอะไร เจ้าบอกมา ถ้าพี่ใหญ่ทำได้ จะต้องทำให้เจ้าจนพอใจแน่นอน”
“ต่อไปเจ้าอย่าได้ทำท่าทางโง่ๆ เช่นนั้นต่อหน้าข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นพี่ใหญ่ของข้า จะฉลาดเฉลียวให้เหมือนน้องอย่างข้าบ้างได้หรือไม่”
หวงฝู่ซวิ่นสำลักอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
เมื่อได้ดอกบัวสีเลือดมาในมือ หวงฝู่ซวิ่นก็วางใจลงแล้ว ไท่จื่อผู้สูงส่ง ชั่วร้าย และเย่อหยิ่งก็ได้กลับมาอีกครั้ง แล้วกระโจนตัวขึ้นทันใด “ไป พวกเราออกไปดวลกันสักตั้ง”
ดังนั้น เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป อ๋องฉีที่จัดการงานราชการอยู่ภายในห้องหนังสือ และพระชายาฉีที่พูดคุยกับเมิ่งซื่ออยู่ในห้องตัวเอง ก็ได้รับการรายงานจากบ่าวรับใช้ตามลำดับ “ท่านอ๋อง แย่แล้วขอรับ ไท่จื่อกับซื่อจื่อต่อสู้กันแล้ว” “พระชายา แย่แล้วขอรับ ไท่จื่อกับซื่อจื่อต่อสู้กันแล้ว”
ทั้งสองคนได้ยินแล้วก็ตกใจ เดินออกจากประตูด้วยฝีเท้าที่ฉับไว มาถึงหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน เห็นแต่เพียงเงาสองร่างลอยขึ้นลง คนหนึ่งมาคนหนึ่งไป ต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
พระชายาฉีตกใจจนกำลังจะอ้าปากร้องตำหนิทั้งสองคน แต่อ๋องฉีโบกมือปรามนางไว้ และหรี่ตาจ้องทั้งสองคน
วันนี้ หวงฝู่ซวิ่นและหวงฝู่อี้เซวียนต่างแสดงความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดออกมา ประมือกันอย่างออกรสออกชาติ กระทั่งพอใจแล้ว จึงจะหยุดลง
หวงฝู่อี้เซวียนหอบหายใจเบาๆ เสื้อผ้ามีรอยยับเล็กน้อย ส่วนหวงฝู่ซวิ่นหอบหายใจอย่างกระหืดกระหอบ เสื้อผ้ายับบิดเบี้ยว
มุมปากของอ๋องฉีเผยอขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้ม ชัดเจนอย่างมากว่าลูกชายของตัวเองเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
“เซวียนเอ๋อร์ ซวิ่นเอ๋อร์ เหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงลงมือปะทะกันอย่างรุนแรงเช่นนี้” เห็นทั้งสองคนหยุดแล้ว พระชายาฉีก็เดินเข้ามาสอบถามอย่างร้อนใจ
“เสด็จอาสะใภ้ขอรับ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับน้องเซวียนกำลังฝึกฝนวิทยายุทธ์ขอรับ” หวงฝู่ซวิ่นอธิบายด้วยรอยยิ้ม
มองทั้งสองคนอย่างละเอียด ท่าทางไม่เหมือนกับว่ามีความโกรธแค้นเกลียดชังต่อกัน พระชายาฉีก็ถอนหายใจโล่งอก “พวกเจ้าทั้งคู่จะฝึกฝนวิทยายุทธ์ก็ไม่บอกกันสักหน่อย ทำให้คนในจวนล้วนตกใจกันแทบแย่”
“เป็นความผิดของซวิ่นเอ๋อร์เองขอรับ ต่อไปจะไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้วขอรับ” หวงฝู่ซวิ่นรีบขออภัย
พระชายาฉีโบกมือ “เอาเถิด ในเมื่อไม่มีอะไร พวกเจ้าทั้งคู่ก็ไปล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว”
ทั้งสองคนรับคำ เตรียมจะเดินกลับไป
อ๋องฉีก็เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “ซวิ่นเอ๋อร์ วันนี้เจ้ามาที่จวนอ๋องเพราะเรื่องอันใดหรือ”