ตอนที่ 346 ถึงเวลาแล้ว
ฝีเท้าของหวงฝู่ซวิ่นหยุดชะงัก หัวใจเต้นแรง และสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปโดยพลัน “ส…เสด็จอา..ข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนแก้สถานการณ์แทนเขา “เสด็จพ่อ ข้าเชิญพี่ใหญ่มาเพื่อปรึกษาเรื่องการจัดงานแต่งงานของทหารในโรงงานเองขอรับ แล้วเกิดความคึกคะนองขึ้นมา พวกเราสองก็เลยปะทะกันขอรับ”
หวงฝู่ซวิ่นถอนหายใจโล่งอก พยักหน้าอย่างแรง “เสด็จอา พวกเราปรึกษาเรื่องนี้กันจริงๆ ขอรับ”
อ๋องฉีจ้องจนใจของหวงฝู่ซวิ่นหดเกร็ง แต่ก็พยายามเผชิญกับสายตาของอ๋องฉี ไม่ให้ตัวเองแสดงความผิดปกติอะไรออกมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ อ๋องฉีถึงจะเอ่ยปาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชื่อฟังที่เสด็จอาสะใภ้เจ้าว่าเถิด อยู่รับประทานอาหารด้วยกันก่อน”
พูดจบ ก็หันตัวเดินจากไป
สายตาของเสด็จอาช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ ราวกับพินิจทะลุปรุโปร่งไปทุกสิ่ง หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าเสื้อผ้าบนหลังของตัวเองได้เปียกปอนไปด้วยเหงื่อแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาตบไหล่ของเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วสั่งพ่อบ้านให้พาหวงฝู่ซวิ่นไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด
พ่อบ้านพาหวงฝู่ซวิ่นเดินไกลออกไปด้วยความนอบน้อมแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับเข้าภายในห้องของตัวเองเพื่อล้างเนื้อล้างตัว พระชายาฉีหันกายไปที่ห้องครัว สั่งแม่ครัวให้ทำอาหารเพิ่มหลายอย่าง
มื้อนี้ หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกโหยหิวอย่างมาก หลังจากได้รับประทานอาหารที่เฟื่องฟูจนอิ่มอีกครั้งแล้ว ก็ลูบหน้าท้องตัวเองอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ แล้วขอตัวกลับตงกงไป
หลังจากทำของในห้องที่ไม่มีค่าบางส่วนแตกอย่างมีนัยยะแล้ว ก็สั่งขันทีในตำหนักนำเรื่องนี้ไปแพร่ออกไปอย่าง “ไม่ตั้งใจ”
ผ่านไปสองชั่วยามง นึกประมาณว่าไทเฮาได้ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว ถึงจะเข้ามาที่ตำหนักไทเฮาด้วยสีหน้าตึงเครียด
ไทเฮาได้ยินการรายงานจากขันทีตั้งนานแล้ว ก็นึกครวญว่าเขาทำเรื่องดอกบัวสีเลือดไม่สำเร็จ แม้ว่าในใจก็จะไม่เป็นสุข แต่ก็ฝืนฉีกยิ้มพูดปลอบใจ “ซวิ่นเอ๋อร์ ย่ารู้ว่าเจ้าลำบากแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหวงฝู่ซวิ่นแทรกขึ้นด้วยความฉุนเฉียว “เสด็จย่า พวกเขาทำเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะให้ดอกบัวสีเลือดเพียงน้อยนิดแล้ว ยังจะเสนอเงื่อนไขอีก”
ไทเฮาผงะไป แล้วรีบตอบสนองกลับมาทันที และถามอย่างรีบเร่งด้วยความยินดีอย่างมาก “ลองว่ามาเถิด พวกเขาเสนอเงื่อนไขอะไร”
“ให้เสด็จย่าทรงถอนคืนพระราชเสาวนีย์ที่สั่งให้คุณหนูหลินเป็นอนุตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ หลานไม่ได้รับปากพวกเขา พระองค์เป็นไทเฮาที่สูงศักดิ์ที่สุดในรัฐอู่ เหตุใดจึงจะ…”
“เงื่อนไขแค่นี้หรือ” ไทเฮาขัดเขา ถามอย่างไม่รอช้า
หวงฝู่ซวิ่นรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ หลาน…”
คำพูดถูกขัดอีกครั้ง “นี่จะไปยากอะไร ย่าออกพระราชเสาวนีย์อีกครั้งก็ได้แล้ว”
หวงฝู่ซวิ่นอ้าปากเล็กน้อย มองนางด้วยความอึ้ง ผ่านไปนานถึงสะดุ้งและตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของตัวเองไม่เหมาะสม จึงรีบหุบปากสนิท
สีหน้าของไทเฮาเป็นปกติ ยิ้มพูด “ตอนแรกที่ให้คุณหนูหลินเป็นอนุตลอดชีวิตก็เพราะนางล่อลวงอวี้เอ๋อร์ แล้วทำเรื่องที่ทำลายต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์ ตอนนี้ข้าได้ยินว่านางท้องแล้ว สุดท้าย นี่ก็เป็นเด็กที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขคนแรกของอวี้เอ๋อร์ อย่างไรก็ไม่อาจให้เด็กต้องมีสถานะกลายเป็นสามัญชนได้ หลายวันนี้ข้าก็คิดจะออกพระราชเสาวนีย์อีกครั้งอยู่พอดี ซึ่งจะพระราชทานให้คุณหนูหลินเป็นภรรยาเอกที่ถูกต้อง และให้พวกเขาได้เลือกฤกษ์ยามตบแต่งให้เร็วที่สุด”
หวงฝู่ซวิ่นได้สติคืนมา ปากอ้าๆ หุบๆ ราวกับอยากจะพูดอะไร แต่กลับราวกับว่าไม่รู้จะพูดอะไรดี
ไทเฮาแสร้งทำเป็นไม่เห็นการแสดงออกของเขา รีบตามกูกูผู้ดูแลมาและร่างพระราชเสาวนีย์โดยทันที จากนั้นก็สั่งให้นางไปรายงานที่จวนอ๋อง
กูกูผู้ดูแลรับพระราชเสาวนีย์มา แล้วจากไป
ไทเฮายิ้มพูด “พระราชเสาวนีย์ได้ออกไปแล้ว ซวิ่นเอ๋อร์ เจ้าควรจะไปที่จวนเสด็จอาของเจ้าสักหน่อยไหม”
“หลานจะไปบัดเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาโบกมือ “รีบไปรีบกลับ ข้ารอเจ้ากลับมา”
หลังจากหวงฝู่ซวิ่นรับคำว่า “พ่ะย่ะค่ะ” อีกครั้ง ก็ก้าวยาวเดินออกจากตำหนัก ขึ้นนั่งบนรถม้า สีหน้าเคร่งขรึมตลอดก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทั้งใบหน้าทันควัน ถ้าไม่ใช่เพราะห่วงสถานะของตัวเอง ก็แทบอยากจะผิวปากปลดปล่อยความสุขภายในใจของตัวเองเสียหน่อย
ภายในเรือนของหวงฝู่อวี้ ณ จวนอ๋องฉี
หลินหันเยียนที่ผอมแห้งจนย่ำแย่ได้รับหวงฝู่อวี้ช่วยประคองเดินออกมาจากห้อง คุกเข่าลงบนพื้นฟังกูกูผู้ดูแลอ่านพระราชเสาวนีย์จบ ก็นิ่งอึ้งไป
นัยน์ตาของกูกูผู้ดูแลส่องประกายแห่งความเวทนา “คุณหนูหลินเจ้าคะ ท่านอย่าได้คิดว่าพระราชเสาวนีย์นี้ได้มาเปล่าๆ เลย นี่เป็นเพราะซื่อจื่อเฟยใช้สมุนไพรดีที่ไว้รักษาชีวิตของนางแลกมาให้เจ้า”
พูดถึงตรงนี้ ไม่รอให้หลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ได้สติคืนมา ก็หันกายเดินออกไป
หลินหันเยียนยิ่งตกตะลึง
หวงฝู่อวี้ตอบสนองกลับมาก่อน เข้าไปอุ้มนางลอยขึ้นสูง ใบหน้าที่ตื่นเต้นล้วนเป็นสีแดง “เยียนเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ เสด็จย่าทรงอนุญาตให้ข้าสู่ขอเจ้าเป็นภรรยาเอกโดยชอบธรรมแล้ว!”
ขอบตาของหลินหันเยียนค่อยๆ เปียกชุ่ม น้ำตาเม็ดใหญ่ก็ร่วงเผลาะลงทันที แล้วพยักหน้าไม่หยุด “พี่อวี้ ข้าได้ยินแล้ว ข้าได้ยินแล้วเจ้าค่ะ”
“ดีจริงๆ ในที่สุดความพยายามของพวกเราหลายวันนี้ก็สัมฤทธิ์ผลแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องแบกรับโทษอีกแล้ว” หวงฝู่อวี้ตื่นเต้นจนลืมทุกสิ่งอย่าง พูดโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
เฮ่ออีได้ยินแล้ว ศีรษะก็ห้อยตกลงต่ำยิ่งขึ้นอีก สถานะตัวเองเป็นองครักษ์ของนาย เดิมทีก็ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ว่านายถูกหรือผิด แต่ครั้งนี้ เจ้านายของเขาทำเพื่อคุณหนูหลินเกินไปแล้ว โดยไม่รู้ว่าถ้าซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยได้ยินแล้วจะแสดงออกอย่างไร
หลินหันเยียนตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกอีก
หวงฝู่อวี้กอดนาง เดินเข้าไปในห้อง แล้ววางนางลงบนที่เตียงเบาๆ ก้มหน้าลงจูบหน้าผากนาง ภายในตามีน้ำตา “เยียนเอ๋อร์ เจ้าแบกรับความทุกข์มานานขนาดนี้ ในที่สุดก็ได้หลุดพ้นแล้วนะ”
หลินหันเยียนพยักหน้าขณะที่ร้องไห้ไปด้วย กุมมือเขาไว้แน่น “พี่อวี้ ในที่สุดความทุกข์ของพวกเราก็จบสิ้นลงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ ใช่ ใช่” หวงฝู่วี้ตอบรับอย่างต่อเนื่อง “ในที่สุดพวกเราก็สิ้นทุกข์สิ้นโศกแล้ว ต่อไปเจ้าก็จะเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียวของข้า”
หลินหันเยียนส่งเสียงร่ำไห้ออกมา ความรู้สึกที่ทรมาน พรั่นพรึง หวาดกลัว และไม่ยินยอมในหลายวันนี้ล้วนระบายออกมาทั้งหมด ร้องไห้จนฟ้ามืดมัวดิน
หวงฝู่อวี้ก็ขอบตาแดงไปด้วย
เมื่อพระชายาฉีได้ยินข่าวดีนี้แล้ว กูกูผู้ดูแลก็ได้จากไปแล้ว แล้วมายังเรือนของหวงฝู่อวี้ด้วยความรีบร้อนเพื่อ อยากจะเตือนหลินหันเยียนว่าอย่าได้ตื่นเต้นมากเกินไป ร่างกายของนางแต่เดิมก็อ่อนแออย่างมาก ถ้าหากใช้อารมณ์มากเกินไป ไม่แน่ว่าอาจจะรักษาลูกในท้องไว้ไม่ได้ ทว่า เมื่อเดินมาถึงนอกเรือน ได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายอย่างดังของหลินหันเยียน ก็ชะงักฝีเท้าและหันกายกลับไปอย่างเงียบๆ ให้นางระบายออกมาก็ดีเหมือนกัน ในหลายวันนี้เด็กคนนี้ต้องแบกรับอะไรมากเกินไปแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเรื่องนี้แล้ว ได้แต่เพียงยิ้มถามขณะนั่งอยู่บนตักของหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าว่า คุณหนูหลินจะแท้งลูกเมื่อไร”
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าบึ้งตึง
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มและจูบลงไปบนริมฝีปากเขา “ถ้าเดาถูกมีรางวัลนะ”
ตาของหวงฝู่อี้เซวียนส่องประกายขึ้นมา เข้าประชิดข้างหูของนาง และกระซิบเบาๆ คำหนึ่ง
ชิงหลวนและจูหลีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงอาละวาดของเมิ่งเชี่ยนโยวดังออกมา “หวงฝู่อี้เซวียน ไอ้เจ้าคนป่าเถื่อน ข้าจะกลับบ้านท่านแม่…” คำพูดตามมาก็ได้ถูกสกัดเอาไว้แล้ว เหลือแต่เพียงเสียงอู้อี้
ทั้งสองคนมองตากัน แล้วถอยตัวออกไปนอกเรือนอย่างรู้ใจกัน
ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนเดาถูกหรือไม่ ในเวลาค่ำ สาวใช้คนหนึ่งของเรือนของหวงฝู่อวี้วิ่งมาที่เรือนพระชายาฉีอย่างโซซัดโซเซ พร้อมรายงานด้วยความอกสั่นขวัญแขวน “พระชายาเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ เด็กในท้องของคุณหนูหลินร่วงแล้วเจ้าค่ะ!”
แกร๊ง ถ้วยชาในมือของพระชายาฉีหล่นลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้น สาวเท้าเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ เมื่อครู่คุณหนูหลินร้องว่าปวดท้อง กระทั่งตอนที่บ่าวเข้าไปรับใช้ ถึงพบว่า…”
ไม่รอให้นางพูดจบ พระชายาฉีก็สั่งอย่างเร่งรีบ “หลิงหลง ส่งคนไปเชิญหมอหลวงเจียงมา”
หลิงหลงรับคำ
พระชายาฉีเดินออกไปด้านนอกอย่างรีบร้อน สาวใช้ที่ส่งข่าวตามอยู่ด้านหลัง
ขณะที่เร่งรีบออกจากเรือนตัวเอง ชิงหลวนเดินมารับหน้าพร้อมโค้งตัวลงทำความเคารพ “พระชายาเจ้าคะ นายหญิงบอกว่าร่างกายไม่ค่อยสบาย จึงเชิญท่านไปหาสักหน่อยเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีสีหน้าซีดเผือด รีบหันเท้าเดินมุ่งไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนทันที
ในเวลาเดียวกัน คนที่หลิงหลงส่งออกไปตามหมอหลวงเจียงก็ได้ถูกโจวอันขวางให้กลับมา “ซื่อจื่อเฟยสั่งไว้ว่า ไม่ต้องเชิญหมอหลวงเจียงแล้ว ท่านจะไปตรวจดูคุณหนูหลินให้เอง”
คนที่ส่งออกไปก็หันตัวกลับมา
เข้ามาถึงในห้องและเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนเตียง สีหน้าของพระชายาฉียิ่งซีดขาว “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เห็นพระชายาฉีร้อนรนเช่นนี้ ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกละอายขึ้นมา แล้วยื่นมือออกไปหาพระชายาฉีด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ทำไมเพคะ วันนี้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่เอว ถึงได้รีบให้ชิงหลวนเชิญเสด็จแม่มา เพื่ออยากถามท่านว่าเป็นเพราะอะไรเจ้าคะ”
ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่ พระชายาฉีก็วางใจลง แล้วถึงจะรู้สึกว่ามือเท้าอ่อนแรงไปหมด จึงนั่งลงข้างเตียงแล้วพูด “ยิ่งมากเดือนขึ้น เอวก็ย่อมปวดตามมาเป็นธรรมดา ปล่อยใจให้สบายนะ ไม่เป็นอะไรหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ทราบแล้วเจ้าค่ะเสด็จแม่ ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”
“เด็กโง่ ยังจะเกรงใจกับแม่อีก นอนหลับพักผ่อนเถิด รอให้ตื่นแล้ว ก็จะดีขึ้นมาก”
“วันนี้นอนเยอะเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่ง่วงเลย เสด็จแม่พูดคุยเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
พระชายาฉีเผยสีหน้าลำบากใจ “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่มีบ่าวรายงานว่าลูกของเยียนเอ๋อร์ร่วงแล้ว แม่กำลังเตรียมที่จะไปหาอยู่ ให้เซวียนเอ๋อร์พูดคุยเป็นเพื่อนเจ้าเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวคว้ามือของพระชายาฉีไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิงวอน “เสด็จแม่ ข้าอยากจะให้ท่านพูดคุยเป็นเพื่อนข้าเจ้าค่ะ”
ในสายตาของพระชายาฉี แต่ไหนแต่ไรมาเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนที่ใจเย็น เด็ดเดี่ยว เข้มแข็งและพึ่งพาตัวเองได้ ไหนเลยจะเคยเผยด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะร่างกายไม่สบายอย่างเกินขีดจำกัดแล้วแน่นอน ถึงได้อ้อนวอนเช่นนี้ จึงรู้สึกใจอ่อน และรับคำ “ได้ แม่จะเป็นอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
แล้วก็เป็นเช่นนี้ผ่านไปสี่ชั่วยาม ไม่เพียงแต่อ๋องฉีที่กลับเรือนแล้วไม่เห็นเงาร่างของพระชายาฉี ก็ตั้งตารอคอยให้พระชายาฉีมาหาโดยตลอด ส่วนหวงฝู่อวี้ที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์การแท้งและหลินหันเยียน ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพระชายาฉี
กว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะนอนหลับ ก็เป็นเวลาที่เกือบจะดึกมากแล้ว หลังจากห่มผ้าห่มให้นางอย่างใส่ใจ พระชายาฉีก็กำชับหวงฝู่อี้เซวียน “เดือนยิ่งมากขึ้น โยวเอ๋อร์ก็จะไม่สบายยิ่งขึ้นด้วย เจ้าจะต้องเฝ้าดูแลตลอดเวลา ถ้าไม่สะดวกก็รีบสั่งคนให้มารายงานแม่”
หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ “ทราบแล้วขอรับเสด็จแม่”
พระชายาฉีพยักหน้า เดินออกไปด้านนอก แต่เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว ก็หันหน้ากลับไปกำชับโดยทันใด “เจ้าก็ข่มใจเอาไว้บ้าง พยายามอย่าได้รบเร้าโยวเอ๋อร์”
ไม่เพียงแต่หวงฝู่อี้เซวียนที่หน้าแดง แม้แต่สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวที่ ‘หลับอยู่’ ก็พลันแดงขึ้นด้วย
จ้องหวงฝู่อี้เซวียน จนกระทั่งเขาส่งเสียงอืมตอบรับ พระชายาฉีถึงจะหันหน้ากลับไป แล้วเดินออกไป
พอเดินออกมาด้านนอก เห็นแสงยามกลางคืนที่มืดสนิทเช่นนี้ ก็ประมาณได้ว่าน่าจะดึกมากแล้ว และไม่ได้ยินข่าวที่ส่งมาจากด้านหลินหันเยียนโดยตลอด น่าจะเพราะหลังจากที่หมอหลวงเจียงมาแล้ว สถานการณ์ของหลินหันเยียนก็ปลอดภัยแล้ว
ถอนหายใจแรงๆ แสดงความสงสารแก่เด็กที่ยังไม่ทันได้เกิดคนนั้นแล้ว ถึงจะกลับไปที่เรือนของตัวเอง