หลังจากพระชายาฉีไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนหลับสนิทก็ลืมตาขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่มด้านหน้าเตียง มองนางอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วจูงมือเขาเบาๆ “อี้เซวียน ข้าในโลกก่อนเป็นเด็กกำพร้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้รู้ว่าครอบครัวคืออะไร ดังนั้นข้าถึงรักและทนุถนอมคนในครอบครัวในชาตินี้อย่างมาก แม้ว่าจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเพียงน้อยนิด เพียงแค่ไม่ได้ไปถึงขนาดที่ไม่อาจให้อภัยกันได้ ข้าก็ไม่อยากจะละทิ้ง ดังนั้น พวกเราให้โอกาสพวกเขาสองคนอีกสักครั้งเถิด สามวัน สามวันดีไหม”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ไม่พูดอะไร

 

 

ในความมืดของกลางฤดูใบไม้ร่วง มีลมเย็นๆ ลอดผ่านเข้ามาจากช่องประตู โบกพัดให้ไฟตะเกียงภายในห้องเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวสลัว เหมือนกับความรู้สึกในใจของหวงฝู่อี้เซวียนเวลานี้

 

 

ผ่านไปนาน หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะส่งเสียง อืม เบาๆ

 

 

หนึ่งวันผ่านไป ไร้ซึ่งข่าวคราว

 

 

สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นปกติ ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว

 

 

วันถัดมา สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มบึ้งตึงขึ้น ตอนที่เมิ่งซื้อมาหา ก็สังเกตเห็นท่าทางนี้ จึงรอจนกระทั่งเขาออกไปยกรังนกตุ๋นในห้องครัวมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว จึงดึงมือของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกดเสียงต่ำถาม “โยวเอ๋อร์ เจ้ารังแกอี้เซวียนอีกแล้วใช่หรือไม่ แม่เห็นสีหน้าเขาวันนี้ดูย่ำแย่มากเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจ “ท่านแม่ ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของแม่นะเจ้าคะ ทำไมแม่ถึงลำเอียงเข้าข้างเขาล่ะ แล้วอีกอย่างนะ สภาพในตอนนี้ของข้าจะไปรังแกอะไรเขาไหวเล่าเจ้าคะ”

 

 

“ก็ได้ๆ ไม่มีก็ไม่มี แม่ก็เพียงแค่ถามดูเท่านั้น” นานๆ ทีจะเห็นด้านนี้ของลูกสาวคนเล็ก ในใจของเมิ่งซื้อก็ผ่อนคลายลง แล้วยิ้มเอาใจนาง

 

 

วันที่สามตื่นมา ก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนราวกับคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ กลับสงบนิ่งแล้ว ต้มข้าวต้ม ทำเครื่องเคียง ป้อนข้าว และตุ๋นรังนกให้เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนทุกวัน

 

 

หวงฝู่อวี้อยู่ภายในเรือน

 

 

ห่างจากเรื่องที่หลินหันเยียนแท้งเป็นเวลาสามวันแล้ว นอกจากวันที่สองที่พระชายามาเยี่ยม แล้วพูดปลอบหลินหันเยียน ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเมิ่งเชี่ยนโยว กระทั่งส่งบ่าวมาถามไถ่สักคำก็ไม่มี

 

 

วันแรก หวงฝู่อวี้ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ กลัวแต่เพียงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาแล้วจะมองออก ทำให้ความแตก

 

 

วันที่สอง ใจของหวงฝู่อวี้หวั่นวิตก และมักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียอะไรไปอย่างชอบกล

 

 

วันที่สาม หวงฝู่อวี้รู้สึกไม่เป็นสุขแล้ว เห็นหลินหันเยียนยังมีสีหน้าที่ขาวซีดอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้น คำพูดที่กูกูผู้ดูแลพูดหลังจากถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์นั่นก็ปรากฏขึ้นในหัว ‘นี่เป็นเพราะซื่อจื่อเฟยใช้สมุนไพรดีที่ไว้สำหรับช่วยชีวิตของนางแลกมาให้เจ้า’

 

 

ตู้มมม! เสียงระเบิดดังขึ้นในสมอง ร่างกายก็พลันโซเซ ภาพเหตุการณ์ในอดีตแต่ละฉากปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา ทั้งยามที่กระทำผิดต่อเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วหวงฝู่อี้เซวียนมาลงโทษเขา ยามที่แม่ของตัวเองตาย แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็มาปลอบเขา ยามที่ตัวเองสร้างหายนะอันใหญ่หลวง หวงฝู่อี้เซวียนก็ช่วยเขาคลี่คลายความยากลำบาก และยามที่เฮ่อจางเกือบจะพรากชีวิตของเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้เอาความโกรธแค้นมาโทษที่ตัวเขาอย่างสิ้นเชิง

 

 

ยกมือขึ้นทุบศีรษะของตัวเอง ทำไมเขาถึงลืมไปได้เล่าว่าวิชาแพทย์ของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นสูงอย่างมาก ตอนแรกที่เขาวิ่งไปร้องขอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมาตรวจชีพจรอย่างอกสั่นขวัญหาย นางก็น่าจะตรวจพบเบาะแสแล้ว มิฉะนั้นคงจะไม่พูดกับพวกเขาสองคนอย่างนั้น และไม่ยอมให้หมอหลวงเจียงมา จึงไม่ได้มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของหลินหันเยียนหลายวันเช่นนี้ ทว่า นางก็ไม่เคยทำอะไรพวกเขาเลย ถึงขนาดแม้แต่จะกล่าวโทษสักนิดก็ไม่มี แล้วยังใช้สมุนไพรที่ช่วยชีวิตตัวเองแลกเปลี่ยนให้ไทเฮาคืนพระราชเสาวนีย์อีก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขากับหลินหันเยียนได้อยู่ด้วยกันตลอดไปโดยปราศจากอุปสรรคขวางกั้น แต่เขา ทำอะไรลงไปอีกแล้ว…

 

 

‘พวกเราเป็นพี่น้องแท้ๆ เป็นคนที่จะค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกัน’ คำพูดที่หวงฝู่อี้เซวียนเคยพูดไว้ ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นบนหัวของหวงฝู่อวี้ได้อย่างไร

 

 

เขากระโจนตัวยืนขึ้น เหม่อมองสีหน้าของหลินหันเยียนที่ยังคงขาวซีดอยู่อย่างแน่นิ่ง

 

 

หลินหันเยียนสะดุ้งตกใจ “พี่อวี้…”

 

 

เสียงของหวงฝู่อวี้รีบร้อนอย่างมาก ราวกับถ้าช้าไปกว่านี้อีกหน่อยจะทำให้สูญเสียอะไรไป “เยียนเอ๋อร์ เร็วเข้า รีบลุกขึ้น ไปขออภัยโทษที่เรือนพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยกันกับข้า”

 

 

หลินหันเยียนอึ้งไป สีหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดขึ้นอีก “พี่อวี้ พี่…”

 

 

“เร็วเข้าหน่อย…” หวงฝู่อวี้ดึงผ้าห่มที่ห่มอยู่บนตัวนางออก แล้วดึงให้นางนั่งขึ้นมา จากนั้นคว้าเสื้อนอกคลุมบนกายนางอย่างง่ายๆ “หากช้าแล้วจะไม่ทันการ”

 

 

หลินหันเยียนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็คลุมเสื้อนอกให้เรียบร้อยอย่างลนลานจนแม้แต่ติดกระดุมผิดไปสองเม็ดก็ไม่รู้ตัว ขณะเพิ่งจะสวมรองเท้าได้แค่ครึ่งเท้าก็ถูกเขาลากวิ่งออกไปด้านนอกแล้ว ขณะที่วิ่งไปพลาง ก็สั่งบ่าวรับใช้ไปพลาง “พวกเจ้า ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้ตามมา”

 

 

หงเอ๋อร์ที่อยากจะตามไปก็หยุดฝีเท้าลง ร้อนรนจนเขย่งปลายเท้าอยู่ด้านหลัง “คุณหนู ท่านเพิ่งจะแท้งนะเจ้าคะ ไม่อาจออกไปโดนลมได้นะเจ้าคะ”

 

 

เฮ่ออีที่ร่างเพิ่งจะกระโดดลอยขึ้น ก็กลับลงไปที่พื้นอีกครั้ง มุมปากเผยรอยยิ้มที่สุขใจ ยังดี ยังดี คุณชายรองตื่นรู้แล้ว หวังว่าทุกอย่างจะยังทันอยู่

 

 

ฝีเท้าของหวงฝู่อวี้รีบเร่งอย่างมาก หลินหันเยียนตามอยู่ข้างๆ อย่างทุลักทุเล เมื่อบ่าวรับใช้ภายในจวนเห็น ขณะที่รู้สึกสงสัย ในใจก็รู้สึกอึดอัดด้วย นี่คุณชายรองกับคุณหนูหลินเป็นอะไรไป ท่าทางดูรีบร้อนยิ่ง อย่าบอกนะว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในจวนอีกแล้ว

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง รีบร้อนจนบนศีรษะมีเหงื่อผุดออก แล้วก็วิ่งมาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนด้วยกันกับหลินหันเยียนอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังจะเข้าไป ก็ถูกโจวอันที่สีหน้าเรียบเฉยขวางอยู่ด้านนอก “ซื่อจื่อเฟยกำลังนอนกลางวันอยู่ขอรับ นายท่านสั่งเอาไว้ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวน หากคุณชายรองมีเรื่องอะไร อีกประเดี๋ยวค่อยมาใหม่เถิดขอรับ”

 

 

หวงฝู่อวี้มองเข้าไปภายในห้องผ่านร่างของโจวอันไป นอกจากชิงหลวนกับจูหลียืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเงียบๆ และหวงฝู่อี้ก็ทำความสะอาดใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนในลานบ้านอย่างเบามือเบาเท้า แล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก

 

 

ตึง เสียงคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

โจวอันสะดุ้ง “คุณชายรอ…” พลันคิดถึงคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ลดเสียงเบาลง “คุณชายรอง นี่ท่าน…”

 

 

“เยียนเอ๋อร์ คุกเข่าลง”

 

 

หวงฝู่อวี้สั่งหลินหันเยียน

 

 

หลินหันเยียนคุกเข่าอยู่ข้างเขา

 

 

เห็นสองคนที่คุกเข่าแน่นิ่งอยู่ โจวอันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

 

 

จนถึงบัดนี้ ศีรษะของชิงหลวนและจูหลีก็ไม่ได้เงยขึ้น จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้ช่วยรายงานเลย

 

 

การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนเอิกเกริก พ่อบ้านพอได้รับข่าว ก็วิ่งมาโดยที่เหงื่อท่วมศีรษะ ครั้นเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าแล้ว ก็ผงะไป ในใจอยากจะเข้าไปสอบถาม แต่ก็ไม่กล้า ทำได้เพียงปล่อยให้ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่เช่นนั้น คุณหนูหลินคนนั้นก็เพิ่งจะแท้งไปเอง อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ สวมใส่เสื้อผ้าบางเช่นนี้ จะทำให้เสียสุขภาพได้ พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังคงอดไม่ได้และส่งคนไปรายงานพระชายาฉี

 

 

ตอนสายๆ พระชายาฉีได้มาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว และอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนางพร้อมกับเมิ่งซื่อทั้งช่วงเวลาสาย เมื่อเห็นได้ว่านางไม่มีพูดทำนองว่าปวดเอวหรืออะไรอีก ความกังวลที่อยู่ในใจตลอดก็ได้ปล่อยวางลง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก จึงงีบไปครู่หนึ่ง พอได้ยินการรายงานของหลิงหลงขณะที่ยังสลึมสลือ ก็ลืมตาขึ้น แต่ไม่ได้ลุกออกจากเตียง

 

 

พ่อบ้านเฝ้าอยู่ภายในเรือนอย่างระมัดระวัง

 

 

ผ่านไปนาน หลิงหลงถึงออกมาจากในห้อง พูดด้วยเสียงเบา “พ่อบ้าน พระชายาบอกว่า นี่เป็นเรื่องระหว่างสองพี่น้อง ท่านไม่สะดวกจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเจ้าค่ะ”

 

 

คำพูดของนางสิ้นลง พ่อบ้านจะยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก นี่ก็หมายถึงพระชายาฉีไม่สนใจแล้ว และให้ตัวเองอย่าได้ไปสนใจเช่นกัน จึงหันกายออกจากเรือนหลัก กลับไปยังหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วแผดเสียงว่าพวกบ่าวรับใช้ที่มาชะเง้อมองดูเป็นครั้งคราว และเตือนพวกเขา “หากใครยังกล้ามาอีก ข้าจะจับคนนั้นไปขาย”

 

 

พวกบ่าวรับใช้ต่างพากันหลบออกไปไกลๆ และไม่มีใครมาดูอีกแม้แต่คนเดียว

 

 

ผู้ดูแลหันกายกลับไปทำกับธุระของตัวเอง

 

 

ภายในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนโอบเมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนอยู่บนเตียงโดยที่ไม่ได้หลับ เสียงจากข้างนอกดังเข้าหูของทั้งสองคนทั้งหมด

 

 

เสียง ตึง ดังเข้ามาในหู ริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เม้มขึ้นเป็นรอยยิ้ม กรอกตาขึ้น มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับโอบนางแน่นขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ว่าง่วงแล้วหรือ นอน!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขยับกายหาตำแหน่งที่สบายในอ้อมอกของเขา ปิดตาลง แล้วก็หลับสนิทไปจริงๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่รู้สึกอยากนอน จึงได้แต่จ้องเพดานห้อง ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่บ้าง

 

 

สองชั่วยามผ่านไป ภายในห้องไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

 

 

แล้วก็ได้ผ่านไปอีกสองชั่วยาม ภายในห้องยังคงไร้การเคลื่อนไหวเหมือนเดิม หลินหันเยียนหนาวจนทนไม่ไหวแล้ว ฟันสั่นกระทบระริก ทั้งกายสั่นเทิ้มไม่หยุด

 

 

สองเท้าของหวงฝู่อวี้ก็มีอาการชาแล้ว ร่างกายที่นิ่งตรงก็เอนลงไปเล็กน้อย เมื่อเห็นสภาพของหลินหันเยียนก็ถอดเสื้อนอกของตัวเอง ห่มบนกายหลินหันเยียน

 

 

“พี่อวี้ พวกเรา…”

 

 

ชู่วว! หวงฝู่อวี้เอามือแตะที่ริมฝีปาก ส่งสัญญาณบอกนางว่าห้ามพูด “พี่สะใภ้ใหญ่หลับอยู่ พวกเราห้ามรบกวนนางนะ”

 

 

คำพูดที่หลินหันเยียนจะพูดก็กลืนกลับลงไป ในใจก็เข้าใจดีว่าหวงฝู่อวี้ทำเช่นนี้ด้วยเหตุใดกันแน่

 

 

และผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ภายในห้องก็มีเสียงสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “เอาน้ำมา”

 

 

หวงฝู่อี้วิ่งไปที่ห้องครัวเล็กอย่างขะมักเขม้น ตักน้ำจากหม้อใหญ่ที่ต้มน้ำเดือดไว้อยู่ตลอดลงบนถาดล้างหน้า แล้วเติมน้ำเย็นอีกส่วนหนึ่ง ถึงจะยกมาที่หน้าประตูอย่างระมัดระวัง ชิงหลวนรับมา แล้วส่งเข้าไปด้านใน

 

 

ใบหน้าของหลินหันเยียนยินดีขึ้นทันที แต่สีหน้าของหวงฝู่อวี้กลับยิ่งเคร่งเครียดขึ้น

 

 

ล้างหน้าล้างตาสะอาดและสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ประคองเมิ่งเชี่ยนเดินออกมา เห็นหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนที่คุกเข่านิ่งตรงอยู่หน้าประตูเรือน ก็เดินตรงมาทางทั้งสองคน

 

 

“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” แววตาของหวงฝู่อวี้ส่องประกาย ร้องเรียก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะมองทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่ เดินประคองเมิ่งเชี่ยนโยวผ่านข้างๆ ทั้งสองไปราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน

 

 

ความกระฉับกระเฉงของหวงฝู่อวี้หดหายไป ความรู้สึกหนักอึ้งดิ่งลงมาถึงเบื้องลึกของหัวใจ เมื่อก่อน ถ้าเขาก่อเรื่องหายนะใหญ่โต หวงฝู่อี้เซวียนก็จัดการสั่งสอนเขาด้วยตัวเองอย่างโหดร้าย เพื่อให้เขาจดจำไว้เป็นบทเรียน และจะได้ไม่กล้าทำผิดอีกต่อไป ทว่า ครั้งนี้ ไม่แม้แต่จะสนใจเขา นี่ก็แสดงว่าผิดหวังต่อเขาอย่างสุดขีดแล้ว และจะทอดทิ้งเขาแล้วใช่หรือไม่

 

 

ในใจทั้งกระวนกระวายและหวาดหวั่น รีบหันตัวไปทางทั้งสองคน ตะโกนเสียงดัง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราผิดไปแล้วขอรับ”

 

 

เท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดลง เงยหน้ามองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

เท้าของหวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ได้หยุด โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเดินหน้าต่อไปด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อม

 

 

ทั้งสองคนยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป

 

 

ในใจของหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความหนาวสั่น

 

 

หลังจากพ่อบ้านเดินไปแล้ว พระชายาฉีก็ไม่มีความง่วงอีก พิงกับหัวเตียงครุ่นคิดว่าอวี้เอ๋อร์กับเยียนเอ๋อร์ทำเรื่องอะไรอีกกันแน่ ถึงทำให้เซวียนเอ๋อร์ต้องโกรธเคือง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินเล่นเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวภายในจวนอย่างช้าๆ เหมือนอย่างเคย อากาศก็เย็นลงแล้ว เมื่อสวมใส่เสื้อผ้ามากไปหน่อย ก็ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งดูตัวอ้วนท้วมมากขึ้น และยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวไม่สะดวกขึ้นอีก พอเดินไปได้ครึ่งชั่วยามก็เดินไม่ไหวแล้ว จึงเงยหน้าขึ้น “พวกเรากลับกันเถอะ”

 

 

“ในตำราแพทย์บอกว่า เดินเคลื่อนไหวมากๆ ดีต่อการคลอด คนดี พวกเราเดินอีกสักพักหนึ่งเถิดนะ”

 

 

นี่เป็นถ้อยคำที่หวงฝู่อี้เซวียนจะพูดทุกวันในระยะนี้ และเป็นเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวต้องปฏิบัติตามทุกวัน

 

 

ยืนหยัดเดินต่อจนเสร็จ หน้าผากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเล็กๆ ออกมา หวงฝู่อี้เซวียนช่วยซับให้นางอย่างอ่อนโยน แล้วประคองนางกลับห้องโดยที่ยังคงไม่สนใจทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่หน้าประตู

 

 

หลังจากนั่งพักในห้องแล้ว เหงื่อบนหน้าผากก็หายไป เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วจนหมด “อี้เซวียน แม้คุณหนูหลินจะไม่ได้ท้องจริงๆ แต่ร่างกายของนางก็อ่อนแออย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฤทธิ์ของสมุนไพรอีก ถ้าหากยังคุกเข่าต่อไป ร่างกายของนางต้องรับไม่ไหวเป็นแน่”

 

 

“เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนรินน้ำอุ่นให้นางอีกแก้วหนึ่ง ถามนางอย่างเรียบเฉย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไป เข้าใจว่าครั้งนี้เขาโกรธจริงๆ แล้ว และโกรธอย่างมากอย่างมากด้วย โกรธจนถ้าหากว่าตัวเองกล้าช่วยขอความเมตตาให้หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนอีก เขาจะต้องทำโทษนางอย่างไม่ปรานีแน่นอน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหนาวสั่นขึ้น จึงรีบยกน้ำขึ้นมาดื่มอย่างว่าง่าย และไม่กล้าพูดอะไรมากอีก

 

 

แสงกลางคืนค่อยๆ ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ลมหนาวยามเย็นยิ่งหนาวเหน็บ ไม่เพียงแต่หลินหันเยียนที่สั่นเทิ้มตลอด หวงฝู่อวี้ก็หนาวจนตัวสั่นแล้ว แต่ยังคงคุกเข่าไม่ยอมลุก

 

 

แล้วก็ผ่านไปอีกสี่ชั่วยาม หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรับประทานอาหารเย็นและสั่งชิงหลวนกับจูหลีให้เก็บกวาดเสร็จแล้ว คนหนึ่งนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่บนเก้าอี้ ส่วนอีกคนก็คว้าผ้าที่เย็บอย่างไม่เรียบร้อยขึ้นมาสู้ต่อ

 

 

บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นและเงียบสงัด

 

 

ขณะที่ด้านนอกห้องกลับมีเสียงร้องตกใจเบาๆ ของหวงฝู่อวี้ดังขึ้น “เยียนเอ๋อร์…” คำพูดหลังจากนั้นไม่ได้ดังเข้ามา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าของเขาเป็นดังเดิม ไม่ได้กระทบอะไรแม้แต่น้อย ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

เสียงฝีเท้าดังผ่านเข้ามาเป็นระลอก แล้วข้างนอกก็กลับสู่ความเงียบสงบ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางตำราแพทย์บนมือลง ลุกขึ้นยืน เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว หยิบเข็มบนมือของนางวางลง แล้วดึงนางลุกขึ้นเดินมาที่ข้างเตียง “นอน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวง่วงนอนง่ายในเวลากลางคืน จึงหลับไปโดยสนิท

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลืมตาขึ้นแต่เช้าเหมือนเดิม เมื่อลุกจากเตียงและสวมใส่เสื้อนอกเรียบร้อย ก็เปิดประตูออก เตรียมจะไปที่ห้องครัวเล็กเพื่อทำอาหารเช้าให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

ที่หน้าประตูเรือน บนยอดหัวของหวงฝู่อวี้มีน้ำค้างขาวเกาะ และคุกเข่าบนพื้นอย่างโซเซจนเกือบจะล้มลงไป ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ก็ร้องเรียกอย่างอ่อนแรง “พี่ใหญ่”