หวงฝู่อี้เซวียนอึ้งไปอย่างไม่เชื่อ เม้มปาก เดินมาตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ แล้วก้มหน้าลงจ้องเขา
“พี่ใหญ่” หวงฝู่อวี้ร้องเรียกอีกครั้ง เผยรอยยิ้มที่ขื่นขมอย่างอ่อนล้า “ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรหลอกพวกพี่ บอกว่าเยียนเอ๋อร์…”
“ครั้งสุดท้าย” หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากขึ้นแทรกคำพูดของเขา
หวงฝู่อวี้ผงะไป แล้วก็ลิงโลดขึ้นมาทันที ใบหน้าเบิกบานด้วยรอยยิ้มราวกับยกภูเขาออกจากอก ถามอย่างรีบร้อน “พี่ใหญ่ พี่ให้อภัยข้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
“กลับไปแช่น้ำอุ่นเสีย ถ้าหากกล้าป่วยอีกแล้วล่ะก็ ข้าจะไล่เจ้าออกไปจากจวน” พูดจบ ก็หันกายเดินมุ่งไปทางห้องครัว
“ไม่ป่วยแน่นอนขอรับ ร่างกายของข้าแข็งแรงทีเดียวเชียวขอรับ ต่อให้คุกเข่าอีกสองวันก็ไม่มีปัญหา พี่ใหญ่วางใจเถิด” หวงฝู่อวี้ร้องอย่างดีใจอยู่ด้านหลัง
มองเข้าไปในห้องครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ย่นหัวคิ้ว จึงหันหน้ากลับมา พูดทิ้งท้าย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็คุกเข่าต่อไปเถอะ”
หวงฝู่อวี้ที่กำลังจะลุกขึ้นก็ชะงักไปอีกครั้ง แล้วมองหวงฝู่อี้เซวียนที่เดินเข้าไปในห้องครัวด้วยความซื่อบื้อ
เงยหน้า ถามโจวอันที่เฝ้าตัวเองตลอดอย่างสงสัย “เจ้าว่า ที่พี่ใหญ่พูดเป็นความจริงหรือไม่”
ใบหน้าของโจวอันเรียบเฉย ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง สายตานั้นราวกับกำลังมองคนโง่
ภายในสายตาของเขาแสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจน หวงฝู่อวี้อยากจะเพิกเฉยแต่ก็อดไม่ได้ และฉุนเฉียวจนอยากจะลุกขึ้นมา “โจวอัน เจ้า…” กลับเป็นเพราะว่าคุกเข่าเป็นเวลานานเกินไป ขาจึงไม่มีความรู้สึกแล้ว จึงล้ม ตุ้บ กลับลงไป ความเจ็บปวดที่ล้มทำให้ร้อง โอยๆ ไม่หยุด
หวงฝู่อี้เซวียนใบหน้าถมึงทึง โผล่หน้าออกมาจากในห้องครัวเล็ก สั่งด้วยเสียงเย็นชา “โจวอัน หิ้วเขากลับไปทิ้งที่เรือนเขา”
โจวอันก็ไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงพูดรับคำ ดึงตัวหวงฝู่อวี้ที่ไร้เรี่ยวแรงจะดิ้นรนเดินออกไปด้านนอก
“โอย ปล่อย ข้าเดินเองได้ เจ้าปล่อยข้า…” เสียงร้องโวยวายที่พยายามขัดขืนของหวงฝู่อวี้ดังไกลออกไป
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัว แล้วเขาจะไม่ใส่ใจด้วยได้อย่างไรล่ะ
ตอนเด็กๆ เขาประสบกับความยากลำบากและทุกข์ทรมานมากมาย กลับยังคงรักและเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้อย่างมาก เพียงเพราะเขารู้สึกว่านั่นเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเขา เป็นคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อสายเดียวกับเขา
หลังจากที่ได้มาพบกับครอบครัวเมิ่ง ความอบอุ่นที่คนในครอบครัวเมิ่งทำให้เขารู้สึกโหยหาจนขาดความมั่นใจ และกลัวการสูญเสียอยู่ทุกเมื่อ
ครั้นกลับจวนอ๋องที่เป็นบ้านที่แท้จริงของตัวเองมาแล้ว นิสัยที่เงียบขรึมไม่แสดงออกก็ทำให้เขาเข้ากับใครไม่ได้ มีแต่เพียงน้องชายคนนี้ที่ปรากฏตรงหน้าเขาอยู่ร่ำไป ร้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อย่างใคร่รู้ จนถึงบัดนี้ก็ไม่อาจลืมวันแรกที่เพิ่งกลับมาที่จวนได้ เด็กชายตัวน้อยๆ ที่อายุห่างจากตนเองไม่เท่าไรคนนั้น วิ่งกระหืดกระหอบมาตรงหน้าเขา เบิกดวงตาทั้งคู่ที่ละม้ายคล้ายกับตัวเองอยู่มากออก ความดีใจทั้งร่างกายที่ปิดบังไว้ไม่ได้ ส่งเสียงถามอย่างตื่นเต้น “เจ้าคือพี่ใหญ่ของข้าหรือ”
ในเวลานั้น เขาก็รู้ทันทีว่า ไม่ว่าเวลาใดเขาจะต้องปกป้องน้องชายคนนี้ แม้ว่าเขาจะทำผิดอย่างร้ายแรง เขาก็พร้อมจะให้อภัยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไป ถ้าหากเขายังทำกระทำผิดอีก เขาจะลงโทษโดยไม่เหลือความปรานีอีก
น้ำในเตาเดือดแล้ว ความคิดของหวงฝู่อี้เซวียนถูกขัดจังหวะลง พอได้สติกลับมา ก็เริ่มต้มข้าวต้มอย่างตั้งอกตั้งใจ
เสียงแรกของหวงฝู่อวี้ดังขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ มุมปากก็เผยรอยยิ้ม แล้วจึงพลิกตัวนอนหลับไปอย่างสนิทอีกครั้ง
ทันทีที่หลับไป ตื่นมาอีกครั้งก็กลายเป็นช่วงเวลาเช้าแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยังคงนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่ ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงเงยหน้ามองมา บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ตื่นแล้วหรือ จะลุกขึ้นไหม”
ส่งเสียง อืม ด้วยรอยยิ้ม เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามออกแรงลุกขึ้นมานั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนวางตำราแพทย์บนมือลงอย่างรีบร้อน เดินมาช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้า “ท่านแม่มาแล้ว แต่เห็นเจ้านอนหลับอย่างสบาย ก็เลยไปที่เรือนเสด็จแม่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย กระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนเก็บเตียงแสร็จ ก็ล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด แล้วยิ้มมองเขา “ข้าหิวแล้ว”
“เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปยกอาหารมา”
หวงฝู่อี้เซวียนสาวเท้าไปยังห้องครัวเล็ก ยกอาหารมากินเป็นเพื่อนนาง
“ห่างจากวันฉลองตรุษจีนเพียงไม่กี่วันแล้ว ถือโอกาสนี้จัดงานแต่งแบบกลุ่มให้แก่พวกคนงานเถิด ทุกคนจะได้ฉลองข้ามปีอย่างมีความสุข” หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เสนอด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คัดค้าน “ดี พรุ่งนี้ให้พี่รองมาหา พวกเราจะปรึกษารายละเอียดของงาน แล้วที่เหลือก็ให้พี่ชายรองจัดการเสีย ส่วนสาวใช้สองคนนี้ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วเหมือนกัน ยังมีท่านแม่กับเสด็จแม่อยู่”
“ตกลง”
ส่วนเรื่องของหวงฝู่อวี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามแม้แต่คำเดียว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวเช่นกัน ราวกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยอย่างไรอย่างนั้น
วันถัดมา เมิ่งฉีมาที่จวนอ๋อง หลังจากที่ปรึกษากับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนทุกเรื่องแล้ว ก็อยู่รับประทานอาหารกลางวันในจวนอ๋อง แล้วจึงกลับไปจัดการเรื่องทั้งหมดที่โรงงาน
แล้วผ่านไปอีกสองวัน ทั้งสองคนพาชิงหลวนและจูหลีกลับหนานเฉิง ปลายเท้าหน้าของพวกเขาเพิ่งเพยียบลงถึงที่ ภรรยาเหวินเปียวก็ได้เดินนำแม่สื่อ พร้อมถือของขวัญมาสู่ขอถึงที่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกลงรับด้วยความยินดี จากนั้นก็ให้ภรรยาเหวินเปียวกลับไปเลือกฤกษ์ยามดีที่จะมาสู่ขอ
กัวเฟยได้ยินแล้ว ก็มิได้ซื้ออะไรทั้งสิ้น แต่นำเงินทั้งหมดที่ตัวเองหามาได้หลายปีนี้ มาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง นี่เป็นเงินเก็บของข้าทั้งหมด ข้าก็ต้องการสู่ขอจูหลีด้วยขอรับ”
การกระทำอย่างเปิดเผยของเขา ทำให้จูหลีขวยเขินจนหน้าแดง แต่กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมอย่างมาก “เป็นองครักษ์ก็ต้องมีความอาจหาญเช่นนี้ ขอบอกทุกท่านเอาไว้ ต่อไปนี้ ผู้ใดมีหญิงสาวอยู่ในใจ ก็ต้องเป็นเหมือนกับผู้บัญชาการกัวแบบนี้ ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ จะได้ไม่ถูกคนมาแย่งตัดหน้าไป”
เรื่องใหญ่ของชีวิตชิงหลวนและจูหลีก็ได้ตกลงท่ามกลางเสียงหัวเราะเรียบร้อยแล้ว กัวเฟยรีบร้อนจนแม้แต่ขั้นตอนที่เชิญคนมาคำนวณฤกษ์ยามก็ปล่อยข้ามไป “นายหญิงขอรับ สามวันหลังจากนี้เป็นวันดี ขอให้ท่านรับปากให้พวกเราแต่งงานด้วยกันในวันนั้นเถิดขอรับ”
ทุกคนเบิกตาโตมองกัวเฟย ภายในห้องไร้เสียงเคลื่อนไหว
กัวเฟยเอียงศีรษะ “ทำไม ไม่ได้หรือขอรับ”
ป้าบ! เมิ่งเชี่ยนโยวตบโต๊ะดังแล้วลุกขึ้นยืน
กัวเฟยสะดุ้งจนถอยออกไปตามสัญชาตญาณ “นาย…นายหญิง”
หวงฝู่อี้เซวียนย่นหัวคิ้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้ากัวเฟย ตบบ่าของเขา และพูดชื่นชม “ดี กล้าหาญนัก! สามวันก็สามสามวัน ข้ารับปากเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้าดำบึ้งตึง
กัวเฟยดีใจจนเกือบจะหัวเราะออกมา แล้วร้องเรียกจูหลีอย่างลืมตัว “จูหลี เจ้าได้ยินหรือไม่ สามวันหลังจากนี้พวกเราก็จะได้แต่งงานกันแล้ว”
ใบหน้าของจูหลีแดงราวกับจะหยดออกมาเป็นเลือดโดยทันที เขม่นตามองกัวเฟย แล้วหันกายวิ่งออกไป
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
กัวเฟยนิ่งอึ้งไป ใบหน้าก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา และตามออกไปอย่างรีบเร่งโดยไม่ได้ทำความเคารพ “จูหลี เจ้าคอยก่อน เจ้าไม่ได้เฝ้ารอแต่งงานมาโดยตลอดหรือ ทำไมไม่พอใจแล้วเล่า”
ทุกคนที่อยู่ในห้องหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง
มองทุกคนภายในห้องรอบๆ แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “พวกเจ้าว่า คืนที่เข้าหอ กัวเฟยจะถูกตีจนตายหรือไม่”
ทุกคนชะงักไป จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นทั้งห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ยืนขึ้นมา ดึงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวมากุมไว้แน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บ มองไปทางเขาและเห็นสีหน้าเขาดูไม่พอใจ ถึงจะนึกได้ภายหลังว่าตัวเองทำอะไรลงไปเมื่อครู่ จึงคว้ามือของหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มแหะๆ อย่างเอาใจ “อี้เซวียน เจ้าว่าพวกเราไปร่วมส่งคู่บ่าวสาวเข้าเรือนหอด้วยดีไหม”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งดำทะมึนแล้ว มองดูนางที่ท้องใหญ่กว่าคนอื่นหลายเท่านั่น นัยน์ตาก็ส่งสัญญาณเตือนอย่างรุนแรง
เมิ่งเชี่ยวโยวผวาจะหดคอลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก
คนในห้องล้วนดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศที่สนุกสนาน ไม่มีใครสังเกตเห็น ‘คลื่นพายุ’ ระหว่างพวกเขา
ภรรยาเหวินเปียวก็ไม่สะเพร่า หลังจากที่กลับไปก็เชิญคนมาคำนวณฤกษ์ยาม ทว่า กลายเป็นต้องช้าออกไปหลายวัน เพราะผลปรากฏว่าต้องเป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ
พระชายาฉีได้ยินว่าวันแต่งงานของทั้งสองคนได้กำหนดแล้ว จึงปรึกษากับเมิ่งเชี่ยนโยวว่าจะให้ทั้งสองคนออกเรือนที่จวนอ๋อง “ปีนี้ภายในจวนเกิดเรื่องมากมาย จัดงานมงคลสักหน่อยให้ชะล้างความอัปมงคลก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำ
แม้ว่าจูหลีจะเป็นบ่าวรับใช้ แต่เคยช่วยชีวิตเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ และยังปกป้องอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวโดยตลอด พระชายาฉีจึงจัดเตรียมเครื่องแต่งงานที่ไม่ด้อยค่าหลายกล่อง และยังสั่งพ่อบ้านให้ติดป้ายมงคล พร้อมแขวนโคมไฟสีแดงใบใหญ่ที่หน้าประตูใหญ่
ผู้คนรอบๆ ที่เดินผ่านเห็นป้ายมงคลก็เข้าใจว่าภายในจวนอ๋องกำลังจะจัดงานมงคล ต่างพากันสืบว่าเป็นใคร ครั้นได้ยินว่าเป็นเพียงสาวใช้ติดตามของเมิ่งเชี่ยนโยวคนหนึ่ง ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก สาวใช้เพียงคนเดียวจะออกเรือน ก็ได้รับการปฏิบัติอย่างดีถึงขนาดนี้ ทำให้พวกเขาล้วนอยากจะขายตัวเองมาเป็นบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องฉีทีเดียว
แต่เดิมกัวเฟยเป็นหัวหน้าองครักษ์ แม้ว่าจะพิการ อำนาจบารมียังคงมีอยู่ในบรรดาองครักษ์ลับ การที่เขาแต่งงานจึงเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจจะกระทำอย่างมักง่ายได้ ดังนั้น พวกองครักษ์ลับที่รับใช้โจวอันอยู่ในเมืองชิงซีเมื่อปีก่อนๆ นั้น ก็รวมกลุ่มกันเป็นขบวนมาสู่ขอเจ้าสาว
วันแต่งงานได้มาถึงแล้ว หลังจากเสร็จขั้นตอนหวีผม แต่งกาย แต่งหน้าเหล่านี้ทั้งหมดตั้งแต่เช้าตรู่ รถม้าที่ตกแต่งอย่างงดงามของกัวเฟยก็บรรเลงเพลงมารับเจ้าสาวอย่างเอิกเกริก
ครานี้ผู้คนที่มามุงดูก็ยิ่งคึกคักไปด้วย ไม่รู้ว่าสาวใช้คนนี้กำลังจะแต่งงานกับชายดีๆ แบบไหน ดังนั้น บรรยากาศการสู่ขอล้วนแตกต่างจากบ้านอื่น
ในที่สุดก็จะได้เวลาอุ้มเจ้าสาวกลับแล้ว กัวเฟยดีใจจนมุมปากฉีกยิ้มออกจนเกือบถึงหู แล้วเป็นเช่นนี้ตลอดทาง กระทั่งมาหยุดลงตรงหน้าประตูจวนอ๋องฉี
องครักษ์ลับทุกคนแยกกันยืนออกเป็นสองฝั่งอย่างเรียบร้อย
ตามธรรมเนียมแล้ว เจ้าสาวจะต้องให้พี่ชายของบ้านฝ่ายหญิงแบกออกมา แต่จูหลีไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จึงยิ่งไม่มีคนในครอบครัว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงออกคำสั่งโดยตรง “ให้กัวเฟยเข้ามาแบกนางออกไป”
นายหญิงออกคำสั่ง กัวเฟยก็ไม่กล้าที่จะไม่ทำตาม ทว่า ในใจเขาก็ได้ผลิบานด้วยความเปรมปรีดิ์ดั่งดอกไม้แล้ว เมื่อเดินก้าวยาวๆ เข้าภายในจวนจนมาถึงห้องของจูหลี แล้วเห็นท่าทางนางที่ปิดหน้าและนั่งอยู่บนเตียงรอคอยตัวเองอย่างสง่า จิตใจก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้น เดินเข้ามา ย่อตัวลง และกำลังจะแบกนางออกไป
ไหนเลยที่ชิงหลวนจะให้เขาได้สมดั่งใจหวัง ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวเข้าไปขวางอยู่ระหว่างทั้งสองคน และยื่นมือออกมาท่ามกลางสายตาที่ประหลาดใจของกัวเฟย “คงไม่อาจให้รับเจ้าสาวไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้หรอก เอาอั่งเปามา”
กัวเฟยอึ้ง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มีกฏว่าต้องให้อั่งเปาในยามที่มารับเจ้าสาว
ชิงหลวนแอบหัวเราะอยู่ในใจ จูหลีออกเรือนทั้งที แต่นายหญิงไม่อาจมาร่วมพิธีได้ จึงรู้สึกคับอกคับใจอย่างมาก เมื่อวานตอนค่ำที่แยกจากจูหลีมาแล้ว ก็แอบบอกถึงวิธีการที่จะทำให้กัวเฟยรู้สึกยากลำบากนี้
มือของชิงหลวนยื่นออกมาตรงหน้าตัวเองโดยตลอด กัวเฟยไม่มีอั่งเปาให้ควัก ก็อายจนหน้าแดงก่ำ เหล่าสาวใช้ที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็ป้องปากแอบหัวเราะ
รู้ว่าชิงหลวนจงใจแกล้ง จูหลีที่ปิดหน้าอยู่จึงเอาเท้าข้างหนึ่งเตะข้างหลังนาง “เจ้าเด็กบ้า อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
“โอ้โห ใครๆ ต่างก็บอกว่าผู้หญิงที่แต่งเป็นดั่งน้ำที่ราดออกไป คำพูดนี้ไม่ผิดแผกไปแม้แต่นิดเดียว พวกเจ้าลองดูเถิด นี่ยังไม่ได้ถึงพิธีคำนับกันระหว่างบ่าวสาวนะ ก็ออกมาปกป้องก่อนแล้ว แม้แต่ข้าที่เป็นพี่น้องที่อยู่ด้วยกันมาตลอดก็ไม่สนใจแล้ว” ชิงหลวนดัดเสียงเล่นละครเพื่อจงใจเย้าแหย่นาง
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
ใบหน้าของกัวเฟยยิ่งแดงขึ้นแล้ว เอียงศีรษะ “เอ่อ…อั่งเปานี่สามารถติดไว้ก่อนได้หรือไม่ แล้วข้าจะชดใช้ให้เจ้าทีหลัง”
ชิงหลวนได้สติคืน ก็เข้าไปกอดจูหลี “เช่นนั้นเจ้าสาวคนนี้ก็ติดไว้ก่อนแล้วกัน ไว้เจ้ามีอั่งเปาแล้ว ก็ค่อยส่งให้เจ้า”
เสียงหัวเราะของทุกคนยิ่งดังขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตการเคลื่อนไหวทางด้านนี้อยู่ตลอด เมื่อรู้สึกว่าพอสมควรแล้ว จึงสั่งหวงฝู่อี้ให้มาส่งข่าว “แม่นางชิงหลวนขอรับ ซื่อจื่อเฟยบอกว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว อย่าได้ทำให้เวลาฤกษ์พิธีล่าช้าเลยขอรับ”
ชิงหลวนปล่อยจูหลี “ก็ได้ อั่งเปานี้ติดไว้ก่อน เจ้าแบกเจ้าสาวไปเถิด”
กัวเฟยราวกับยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบย่อตัวแบกจูหลีขึ้น เดินนอกจวนไปด้วยแขนเสื้อที่ห้อยโตงเตงและว่างเปล่า
นอกประตูจวน เหล่าองครักษ์ลับที่ยืนตัวตรงดูกระฉับกระเฉงอย่างมาก เชื้อเชิญให้สายตาของหญิงน้อยหญิงใหญ่มองมาอย่างเป็นประกาย
ในใจของเหล่าองครักษ์กระหยิ่มยิ้มย่อง และยืนนิ่งตรงกว่าเดิม
กัวเฟยออกมา และวางจูหลีบนรถม้าอย่างระมัดระวัง มือขวาหยิบบังเ**ยนม้าขึ้น แล้วเร่งม้ากลับไปยังหนานเฉิงด้วยตัวเอง
เหล่าองครักษ์ลับก็ตามหลังไปติดๆ
เมิ่งซื่อเตรียมโต๊ะกินเลี้ยงให้แก่องครักษ์ลับแล้ว รอกระทั่งให้กัวเฟยกราบไหว้ฟ้าดิน บ่าวสาวทำความเคารพต่อกัน และเข้าเรือนหอแล้ว ก็เริ่มกินเลี้ยงทันที เพื่อให้องครักษ์ลับเหล่านี้ได้ถือโอกาสนี้กินดื่มอย่างเต็มที่
เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยากจะตามไปที่หนานเฉิงด้วย แต่หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเอาไว้ “เจ้าเป็นนายหญิง พวกเขาเป็นบ่าว จะไปวุ่นวายส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าเรือนหอได้อย่างไรกัน อยู่ภายในจวนดีๆ เถิด”
ประโยคเดียว ก็ทำให้ความคิดของนางทั้งหมดสูญสลายไป แล้วนั่งกลับไปบนเก้าอี้อย่างฉุนเฉียว ประเดี๋ยวก็บอกว่ากระหายน้ำ ประเดี๋ยวก็บอกว่าหิวแล้ว และอีกประเดี๋ยวก็บอกว่าปวดเอว ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนถูกนางชี้สั่งจนวิ่งวุ่น ความอึดอัดภายในใจก็ค่อยๆ มลายหายไป