GGS:บทที่ 900 กลิ่นที่คุ้นเคย
เสี่ยวรุย เตียนจงยี่ เจ้าของร้านอาหาร พนักงาน และแขกที่ยังคงเหลืออยู่ในร้าน ในตอนนี้อดใจไม่ได้ที่จะมาออกันที่หน้าห้องครัว
ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นกลายเป็นสุดยอดเชฟในตำนานแห่งเมืองฉิงหยุน แชมป์เปี้ยนแห่งการแข่งขัน”สุดยอดพ่อครัวอาหารจีน” ครั้งที่หนึ่งกำลังลงมือทำอาหารอยู่ตรงหน้า มีหรือที่พวกเขาจะพลาดโอกาสนี้ไปกันได้
เมื่อพวกเขานั้นได้เห็นฉากการทำอาหารนี้ ต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ภาพที่ปรากฎตรงหน้าพวกเขานั้นราวกับว่าซูจิ้งนั้นมีสี่มือสี่แขนกันเลยทีเดียว
ไม่แค่นั้น พวกเขายังได้เห็นซูจิ้งนั้นใช้มีดที่อยู่ในมือได้อย่างพลิ้วไหวราวกับกำลังร่ายรำกระบี่ ไม่ว่าจะเป็น ปลา เนื้อ หรือผัก ที่ผ่านกระบวนการนี้ ก็ดูดีราวกับกำลังสร้างผลงานศิลป์จากอาหารเลยทีเดียว
บนเตาไฟที่มีหม้อวางอยู่นั้น เปลวไฟก็ได้พวยพุ่งราวกับราวกับมังกรเพลิงและหงส์ไฟร่ายรำใส่กันยิ่งทำให้ทุกคนนั้นตื่นเต้นเป็นการใหญ่
หลายๆคนเองที่เพียงแค่ได้ยินตำนานของซูจิ้งที่มีคนถ่ายวิดีโออัพขึ้นโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นวิดีโอพวกนั้นก็ยังต้องเคยได้ยินตำนานของซูจิ้งแว่วมาให้ได้ยินอยู่บ้าง เหนือสิ่งอื่นใดแล้ววันนี้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้วอย่างแน่นอน
“ที่ว่าเขาทำอาหารได้ราวกับใช้เวทมนต์นี่เป็นเรื่องจริงสินะ”
“ช่างน่ามหัศจรรย์พันลึกจริงๆ นี่เขาลงมีดได้ขนาดนี้ได้ยังไงกันทั้งๆที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย”
“เพียงแค่มองก็ถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีแล้ว”
“อาหารของเราเสร็จแล้ว จะกินกันเลยรึเปล่า”
“นายยังมีอารมณ์กินอีกเหรอ มองในครัวเพื่อเรียนรู้จากพระเจ้าโรงครัวก่อนดีกว่ามั้ง ฉันบอกได้เลยว่าแค่มองเฉยๆก็ได้อะไรหลายอย่างแล้ว”
“ก็จริงนะ ใครจะไปรู้ว่านายเองก็อาจได้เทคนิคขั้นเทพติดไว้สักอย่างสองอย่างก็ได้”
“กลิ่นหอมนี่มัน ช่างน่าอร่อยจริงๆ นี่แค่เพียงกลิ่นจากตอนทำนะ”
“แค่ฉันมองก็น้ำลายไหลแล้วเนี่ย”
“เดี๋ยวนะ นั่นเขาทำอาหารจานปลาแบบไหนกัน นอกจากกลิ่นปลาแล้วฉันยังได้กลิ่นอย่างอื่นด้วย มันช่างเป็นกลิ่นที่แตกต่างเหลือเกิน”
“ฉันว่าน่าจะเป็นกลิ่นข้าวนะ”
“เป็นไปได้ยังไง จะมีข้าวที่ไหนกลิ่นหอมขนาดนี้ได้กัน”
“นายมาลองยืนตรงนี้สิ นายจะเห็นไอน้ำที่ลอยออกมาจากหม้อหุงข้าวเลย กลิ่นมันลอยมาทางนี้จริงๆนะ แถมกลิ่นมันหอมจนรู้เลยว่าอร่อยแน่นอน”
“ไหนขอลองดมหน่อยสิว่ามันจะกลิ่นหอมขนาดไหนกัน”
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันไปหมด พวกเขานั้นจะไม่รู้สึกประหลาดใจเลยถ้ากลิ่นนี้มาจากการทำอาหารของซูจิ้ง แต่กลิ่นหอมหวนที่แฝงมากับกลิ่นกับข้าวนี้กลับเป็นกลิ่นของข้าวที่เพียงหุงอย่างเดียวเท่านั้น มันหอมซะจนไปเขย่าหัวใจของเขาเลยก็ว่าได้
“พี่สามนั้นมีฝีมือการทำอาหารที่สุดยอดไม่เสื่อมคลายเลยจริงๆ มีคนบอกมาว่าจะคว้าใจผู้หญิงให้ได้นั้นอย่างแรกต้องคว้าท้องของเธอเอาไว้ให้ได้ก่อน ต้องเป็นอย่างนี้เองสินะ ฉันได้เรียนรู้แล้วจริงๆ” เสี่ยวรุยคิดออกมาในขณะที่กำลังดื่มด่ำไปกับกลิ่นอาหารที่เย้ายวน
กลิ่นหอมของข้าวที่หุงนี้เองก็ถือได้ว่าเป็นฝีมือการทำอาหารอย่างหนึ่งของซูจิ้งได้เช่นเดียวกัน เตียนจงยี่และหนุ่มหน้าตาดีที่ตามมานั้นต่างก็คิดถึงสิ่งที่ซูจิ้งต้องการให้พวกเขาปลูก หรือก็คือ ข้าวสีน้ำเงิน นั่นเอง
เตียนจงยี่นั้นได้พุ่งไปยังหน้าหม้อหุงข้าวที่กำลังเดือดอยู่ในตอนนี้ เขาได้ทำการสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะทำการใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมานิดหน่อยและชิมมันดู หลังจากนั้นเขาก็ชิมข้าวอย่างไม่หยุดปาก
“พระเจ้า อร่อยมาก คุณซู นี่คือข้าวสีน้ำเงินที่คุณพูดมาก่อนหน้านี้อย่างนั้นเหรอครับ”
“ใช้แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้าในขณะกำลังทำกับข้าว
“ในนี้มีอะไรมั่งน่ะ” เตียนจงยี่ถามออกมา
“อืมมมมม ก็มีข้าวกับน้ำนะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ผมหมายถึงพวกเครื่องปรุงอะไรพวกนั้นครับ”
“แน่นอนว่าไม่มี”
“ข้าวสีน้ำเงินนี่คือสุดยอดแห่งข้าวเลย” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
เขารู้ในทันทีเลยว่าข้าวชนิดนี้ต้องได้รับความนิยมอย่างมากเกินกว่าที่เขาจะสามารถคาดคะเนได้อย่างแน่นอน แค่เพียงกลิ่นหอมของมันก็ทำให้คนที่ได้กลิ่นต้องน้ำลายสอกันหมดแล้ว เอาจริงนี่สมควรจะบอกได้ว่าหอมเกินกว่าข้าวชนิดไหนบนโลกเลยก็ว่าได้
“ข้าวสีน้ำเงินคืออะไรน่ะ” เสี่ยวรุยที่ได้ยินดังนั้นก็ถามออกมา แม้แต่คนอื่นที่ได้ยินต่างก็งงไม่แพ้กัน
“เป็นข้าวสาวพันธุ์ใหม่ที่คุณซูพัฒนาขึ้นมาน่ะ” เตียนจงยี่กลัวว่าซูจิ้งจะไม่มีสมาธิในการทำจึงได้อธิบายด้วยน้ำเสียงเบา
เพียงสิ้นประโยคนี้เสี่ยวรุยทำได้เพียงจ้องซูจิ้งนิ่งๆในขณะที่ปากของเขาเอ่อล้นไปด้วยน้ำลาย เขาบอกได้ในทันทีเลยว่ายิ่งซูจิ้งมีของใหม่เท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นของที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ซูจิ้งยังคงทำอาหารอย่างต่อเนื่อง กลิ่นของข้าวและผักที่ซูจิ้งใช้ทำอะไรลอยฟุ้งไปทั่วจนออกไปนอกร้าน จนข้ามถนนฝั่งตรงข้ามร้านไปถึงร้านสุกี้
ที่นั่น ผู้จัดการร้านที่เป็นชายวัยกลางคนหน้าทรงจีนแท้ๆกำลังนั่งเซ็งที่วันนี้ไม่ค่อยมีคนเข้าร้าน เขาเริ่มสังเกตุเห็นว่าลูกค้านั้นเดินเข้ามาในร้านและออกไปในทันทีโดยไม่สั่งอะไรเลยสักนิด
เมื่อเห็นท่าทางของพวกนั้นแล้วเขาเลยเดินออกมาดูก็พบว่าลูกค้าได้ตรงไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามที่ซูจิ้งกำลังทำอาหารอยู่
“ทำไมวันนี้ลูกค้าของร้านฝั่งตรงข้ามเยอะจังแหะ เดี๋ยวนี้ยังมีคนกินอาหารกับร้านตามใจแบบนั้นอีกรึไง นี่พวกนั้นมั่นใจในฝีมือตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ” ผู้จัดการร้านสุกี้บ่นพลางถอนหายใจออกมา
“หัวหน้าครับ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำกันเองหรอก ผมได้ยินมาว่ามีคนดังมาทำกับข้าวกินที่ร้านน่ะ” บริกรชายคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“คนดัง?” เจ้าของร้านหน้าจีนแท้ๆคนนั้นได้ยินถึงกับงงในทันที
“ซูจิ้งที่เป็นแชมป์เปี้ยนรายการแข่งขันสุดยอดพ่อครัวอาหารจีนคนนั้นไงครับ” บริกรอีกคนรึบพูดออกมาด้วยท่าทีอยากจะไปดูด้วยสายตาตัวเองเลยทีเดียว
“เขาก็แค่มาทำอาหารที่ร้านเท่านั้นเองนี่ไม่เห็นจะแปลก พวกแกก็อย่าไปสนใจให้มันมากนักเลยน่า เขาอาจจะมีฝีมือสูงก็จริงถึงได้ชนะการแข่งขันมาได้
แต่ยังไงซะมันก็แค่การแสดงล่ะน่า เขาต้องมีเทคนิคบางอย่างที่ทำให้อาหารดีขึ้น แค่นั้นทำเป็นตื่นเต้น เฮ้อ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆบ่นออกมา
“คร้าบ คร้าบ ผู้จัดการคือที่สุดแห่งพ่อครัวคร้าบ” บริกรอีกคนหนึ่งพูดออกมาจนทำให้คนอื่นหมั่นไส้ ร้านนี้เป็นร้านเล็ก และผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆคนนี้เองก็ไม่ใช่เพียงผู้จัดการร้านแต่ยังเป็นหนึ่งในพ่อครัวอีกด้วย
เขานั้นมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเองไม่น้อย หากเทียบกับคนปกติแล้วยังไงซะก็ถือว่าดีกว่ามาก แต่หากเทียบกับแชมป์เปี้ยนการแข่งแล้วยังไงก็เทียบกันได้ยากอยู่ดี
“แค้ก อ่ะแฮ่ม ฉันไม่ได้หมายความว่าฝีมือฉันดีกว่าหรอกนะ” ผู้จัดการหน้าตาจีนแท้ๆยิ้มออกมาอย่างเขินๆ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยท่าทีลึกซึ้งว่า
“ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้นนะแต่ฉันก็รู้ว่าสุดยอดฝีมือทำอาหารที่แท้จริงเป็นแบบไหน อย่าหาว่าฉันโม้เลยน่า ตอนที่ฉันกลับไปพักอยู่บ้านฉันเคยได้กลิ่นข้าวและกับข้าวที่สามารถรอบโชยมาจากที่ไกลๆเลยนะ นอกจากมันจะไม่รบกวนอะไรแล้วฉันยังบอกได้เลยว่ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของข้าวที่หอมหวนที่สุดในชีวิตฉันเลย ต่อให้เป็นข้าวที่ดีที่สุดที่ฉันเคยกินก็ตามยังไม่หอมขนาดนั้น คนที่หุงข้าวได้ดีขนาดนั้นย่อมแน่นอนว่าเป็นคนมีฝีมืออย่างมาก
ต่อให้ฉันไม่ได้กินแต่ก็ขอบอกได้เลยว่าข้าวและกับข้าวของคนๆนั้นต้องอร่อยแบบสุดๆอย่างแน่นอน แม้แต่ซูจิ้งที่เป็นแชมป์อะไรนั่นก็ยังสู้ไม่ได้”
“จริงหรอ แล้วอาหารนั้นใครทำกันล่ะครับ?” ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มสงสัยเพราะว่าผู้จัดการของเขานั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือก็ว่าได้ อาหารที่ทำให้เขาพูดออกมาแบบนี้ได้คนทำย่อมฝีมือไม่ธรรมดา
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันเนี่ยว่าใครทำ เอาจริงๆเลยนะ ฉันน่ะได้แต่กลิ่นจางๆเท่านั้นเอง ฉันลองพยายามหาต้นกลิ่นแล้วแต่ว่ามันกระจายมาทั่วมากๆจนหาต้นกลิ่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไปขอเป็นลูกศิษย์คนนั้นแล้ว” ผู้จัดการหน้าจีนคนนั้นพูดออกมาด้วยความซาบซึ้งตรึงใจพลางนึกถึงกลิ่นอันหอมหวนในวันนั้น
“ไม่ใช่ว่าบ้านของนายอยู่ใกล้กับโรงเรียนมัธยมต้นที่ 1 หรอกหรอ ฝีมือของซูจิ้งคนนั้นเองก็เป็นที่เลื่องลือในแถบนั้นนะ ทำไมนายไม่ลองถามเขาดูล่ะเพื่อจะเจอ” คนที่อยู่แถวๆนั้นที่เคยได้ยินผู้จัดการคุยฟุ้งอยู่ เขาได้ตามกลิ่นข้าวมาเมื่อได้ยินผู้จัดการพูดจึงได้แซวเล็กน้อยก่อนที่จะตามกลิ่นข้าวราวกับหมากำลังดมหากลิ่นคน
ทันใดนั้นอยู่ๆลมถึงพัดอยู่ด้านนอกร้านก็ได้ตีกลับมา พัดเข้ามาในร้านซู่หนึ่ง ในตอนนั้นเองก็ได้มีกลิ่นบางอย่างรอยมาเตะจมูกของทุกคนในร้านจนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจไปเฮือกใหญ่ ทันใดนั้นเองผู้จัดการหน้าตาจีนแท้ๆก็ถึงกับจ้องไปร้านฝั่งตรงข้ามตาเขม็ง เขายืนขึ้น และได้เดินไปร้านฝั่งตรงข้ามโดยไม่ใยดีต่อสิ่งใด