GGS:บทที่ 899 หวนคืน
“นายรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่รึเปล่า” ที่ด้านนอกภัตตาคาร ซูจิ้งถามเตียนจงยี่ออกมา
“เอาจริงๆผมก็แค่พอจะราวๆได้เท่านั้นแหล่ะครับ แต่ผมไม่แน่ใจเรื่องนี้จริงๆ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าเรื่องจะเสียหายอะไรนี่ครับ ดีซะอีกได้ทั้งเงินและผู้หญิง” เตียนจงยี่หัวเราะออกมาดังลั่น
“ดีงั้นเหรอ แล้วทำไมนายไม่ไปกับเธอซะเองล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมาพลางยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าไปแทนได้ผมไปแทนแล้วครับ คุณซูก็เห็นนี่ว่าสภาพผมตอนนี้คนอื่นแค่เห็นก็หนีกันแล้ว” หลังจากพูดออกมาพร้อมความเสียดายแล้ว เตียนจงยี่ยังชี้ไปยังหนุ่มหล่อที่มาด้วยกันพร้อมพูดออกมาว่า
“ขนาดผมพาอาจุ่นที่เป็นลูกน้องในบริษัทมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะนางยังไม่สนเลยครับ นึกดูแล้วกันว่าคุณทำให้ไอ้หล่อนี่ไร้ค่าขนาดไหนกัน คุณซูนั่นแหล่ะคือสุดยอดชายในฝันที่เพียงสาวคนไหนได้ยินชื่อก็นึกถึงได้ในทันทีโดยไม่ต้องสาธยายอะไรมาก แค่เห็นหน้าคุณก็ยากจะลืมลงแล้ว”
ซูจิ้งเองก็ได้หันไปมองหนุ่มหน้าตาดีคนนั้น ขนาดหนุ่มหน้าตาดีคนนี้เฟิงเย่เหม่ยยังไม่พูดอะไรสักคำนี่เธอคนนี้คาดหวังไว้สูงขนาดไหนกันเนี่ย
“แต่เรื่องในครั้งนี้ทำเอาผมประทับใจในตัวคุณไปเลยนะ คุณซูทั้งสงบและเยือกเย็นถึงขนาดปฏิเสธสาวสวยในชุดเซ็กซี่ได้ลงแถมยังเดินทิ้งออกมาพร้อมตอกกลับตอนท้ายไปได้ น่าเสียดายก็เพียงหากคุณซูยอมถอยหนึ่งก้าวล่ะก็เราอาจจะได้ที่นั่นมาง่ายๆเลย” เตียนจงยี่แสดงท่าทางเสียดายออกมา
“ถ้าเธออยากจะขายจริงล่ะก็คงขายไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะน่า เท่าที่ฉันดูนะเธอไม่อยากจะขายเท่าไหร่หรอก ไม่งั้นคงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาอ้างง่ายๆแบบนี้ แล้วก็อีกอย่างเรื่องที่ฉันพูดออกไปนั้นฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เฟิงเย่เหม่ยขายหน้าหรอกนะ ฉันพูดเพราะฉันทำได้จริงๆ แต่อย่างที่บอกมันเป็นเรื่องยากที่ฉันจะอธิบายได้ละเอียดจนเห็นภาพ เอาจริงๆฉันขี้เกียจอธิบายน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจังและจริงใจ
เตียนจงยี่เองที่ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าราวกับเห็นผี นี่เขาพูดออกมาเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ ไอ้การที่บอกจะส่งอุปกรณ์เรื่องอย่างว่าให้เนี่ยนะไม่ได้พูดเพราะอยากจะให้ขายหน้า เดี๋ยวนะหรือว่ามันจะไม่ใช่อุปกรณ์อย่างว่า ถ้าไม่ใช่แล้วมันคืออะไรล่ะ
แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่เตียนจงยี่ก็ไม่ได้ถามอะไรซูจิ้งต่อ เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยโดยพูดออกมาว่า “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมว่าเราไปหาที่นั่งทำสัญญากันดีกว่าครับ”
“ไม่ต้องรีบเรื่องนั้นกันหรอกน่า เมื่อกี้พวกเราก็เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระจนยังไม่ได้กินอะไรกันเลยนี่ ฉันว่าพวกเราไปหาร้านอาหารที่ยอมให้เราทำอาหารเองได้ดีกว่า ฉันอยากจะให้นายได้ลองลิ้มชิมรสข้าวสีน้ำเงินของฉันน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
เตียนจงยี่เองก็สนใจข้าวสีน้ำเงินที่ซูจิ้งว่าเอาอย่างมาก และเขายิ่งสนใจมากไปก่าเดิมซะอีกเมื่อซูจิ้งนั้นบอกว่าจะหาร้านที่ยอมให้เขาทำอาหารด้วยตนเอง
นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นคือสุดยอดพ่อครัวที่ใครๆก็รู้จักแต่เขาเองก็ไม่เคยได้รับโอกาสได้ลองลิ้มมาก่อนเช่นเดียวกัน เขาอดใจไม่ไหวจนต้องพูดออกมาว่า “เยี่ยม ผมเองพอจะรู้จักร้านดีๆอยู่ร้านหนึ่ง ที่นั่นบรรยากาศดีแถมยังอยู่ใกล้ตลาดอีกด้วย คุณซูสามารถหาอะไรก็ได้เท่าที่คุณซูต้องการเพื่อนำมาใช้ประกอบอาหารครับ”
แต่ยังไม่ทันทีเตียนจงยี่จะได้พูดจบประโยคดี เสียงโทรศัพท์ของซูจิ้งก็ได้ดังขึ้น เมื่อซูจิ้งมองไปนั้นพบว่าเป็นเสี่ยวรุยที่เป็นเพื่อร่วมหอตอนมหาวิทยาลัยเขาจึงได้รีบรับสายในทันที
เสียงของเสี่ยรุยฟังดูน้ำเสียงแปร่งๆ “พี่สาม อยู่ไหนเนี่ย”
“อยู่ในตัวเมืองจงหยุนน่ะ เป็นไงบ้าง เห็นพี่ฮ่าวบอกว่านายจะมาที่เมืองจงหยุนเพื่อมาสอนคนเล่นสนุกเกอร์นี่นา นายได้มารึเปล่า
“ผมมาเมื่อเช้าเนี่ยล่ะ เพราะเรื่องนั้นเลยวุ่นๆทั้งวันเลย พอว่างแล้วก็เลยโทรมาเนี่ยแหล่ะ จะไปเที่ยวกับพี่เลยนะวันนี้จะเกาะติดหนึบเลย”
“หืม เกาะติดฉันเนี่ยนะ” ซูจิ้งอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน
“พี่สาม อย่าปฏิเสธกันเลยน่า ตอนที่ผมรู้ว่าตอนนี้เหว่ยเสี่ยวหยวนเทพธิดาของผมนั้นกลายเป็นลูกน้องและผู้จัดการของพี่ไปแล้ว
ยี่งไปกว่านั้นผมยังได้ข่าวมาว่าพี่ยังมีพี่สะใภ้สาม(ซือหยา)ที่แสนจะงดงามอยู่อีก เท่าที่ดูแล้วผมว่าพี่น่าจะมีดวงสมพงศ์กับสาวงามแน่นอน ผมว่าการอยู่เที่ยวเล่นกับพี่เนี่ยแหล่ะดีที่สุดแล้ว” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย
“เอ่ออออ ฉันเองก็พอจะรู้นะว่านายคิดยังไงกับเธอ แต่ว่าเหว่ยเสี่ยวหยวนนั้นเป็นแค่ตัวแทนและผู้จัดการของฉันเท่านั้นเอง ต่อให้นายสนิทกับฉันขนาดไหนก็ใช่ว่านายจะใช้เรื่องนี้เข้าหาเธอได้นะ
เพราะเธอรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันเป็นคนยังไง และไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มากดดันในหน้าที่การงานอย่างแน่นอน ฟังอย่างนี้แล้วในยังคิดจะไล่จีบเหว่ยเสี่ยวหยวนอีกเหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย
ตอนที่เหว่ยเสี่ยวหยวนนั้นยังทำงานพาร์ทไทม์เป็นคนสอนเล่นสนุกเกอร์นั้น เสี่ยวรุยนั้นปลื้มเธอจนตามติดหนึบเลยทีเดียว แต่ถึงขนาดนั้นเหว่ยเสี่ยวหยวนก็หาได้สนใจเสี่ยวรุยไม่ เรื่องนี้เขาเองก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน
“โอ้ยยยย เรื่องนั้นลืมๆไปเหอะน่า ผมไม่ตามจีบเธอแล้ว ผมมีเป้าหมายอื่นแล้วต่างหาก ไอ้ที่พูดออกมาก่อนหน้านี้เป็นเพราะผมแค่จะสื่อมาว่าไม่ยุติธรรมเลยที่บรรดาเทพธิดาทั้งหลายบนโลกนี้ทำงานอยู่กับพี่เท่านั้นน่ะ”
“เฮ้ๆ เราเคยคุยกันเรื่องนี้มาก่อนแล้วนา ว่าแต่นายมีเป้าหมายอื่นงั้นเหรอ พอจะบอกได้รึเปล่าว่าคืออะไร”
“พี่สาม แน่ละสิก็พี่อิ่มแล้วนี่นา พี่ไม่รู้หรอกว่าคนที่หิวกระหายน่ะเป็นยังไง พี่ไม่รู้หรอกว่าความเหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเหี่ยวตายไปวันๆนั้นน่ะเป็นยังไง ต่อให้พี่ไม่ได้พี่สะใภ้ยังไงเธอก็คงจะเป็นหนึ่งในผู้จัดการ ของพี่อยู่แลว พี่ไมเข้าใจความรู่สึกแบบนีหรอก” เสี่ยวรุยพยายามพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเศร้ากึ่งละครเพื่อให้ซูจิ้งยินยอมแบบเต็มความสามารถ
“เออๆเข้าใจก็เข้าใจ ว่าแต่ไอ้เป้าหมายใหม่ของแกนี่มันยังไงกัน”
“เอาจริงๆนะเป้าหมายใหม่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะได้มาง่ายๆเลยสักนิด พอผมเห็นรอบกายพี่มีแต่เหล่าเทพธิดาผมก็รู้ได้ทันทีว่าผมต้องทำยังไง
ผมอยากให้พี่สอนผมหน่อยว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เป็นแบบพี่บ้าง ขนาดเทพธิดาของผมก็ยังต้องยอมตามพี่เลย ผมเองก็อยากได้รับความรู้สึกนี้บ้าง พี่สอนผมหน่อยสิ
ไม่ต้องทั้งหมดก็ได้ เอาแค่สองสามขั้นตอนแรกก็พอ พี่ก็น่าจะว่างอยู่นี่นา อยู่ไหนล่ะผมจะรีบไปหาในเดี๋ยวนี้เลย” เสี่ยวรุยพูดออกมาแบบหักคอสุดๆ
ซูจิ้งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก หมอนี่บอกว่าเขามีสุดยอดความสามารถในการตกหญิงเนี่ยนะ
เขาหันไปถามเตียนจงยี่แล้วถามว่า “ฉันมีเพื่อนร่วมหอพักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เจอกันมานานจะขอตามมาด้วยนายจะว่าอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีปํญหาครับ คนยิ่งเยอะกินข้าวก็ยิ่งอร่อยนี่นา” เตียนจงยี่หัวเราะออกมา
ซูจิ้งได้บอกตำแหน่งของร้านที่เขาจะไปทำอาหารให้เตียนจองยี่กิน ก่อนหน้านั้นเข้าได้ทำการแวะตลาดเพื่อซื้อของไปทำอาหาร
เมื่อไปถึงร้านเขาก็ได้จัดแจงที่ทางให้เรียบร้อย ทั้งเจ้าของและพนักงานที่เห็นซูจิ้งก็ต่างรู้สึกตื่นเต้น และยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิมอีกเมื่อได้ยินว่าซูจิ้งจะขอลงมือทำอาหารด้วยตัวเองโดยขอใช้ร้านของเขา
ถึงแม้ว่าในร้านจะยังคงเหลือลูกค้าอยู่บ้าง ต่อให้พวกเขายอมให้ซูจิ้งทำอาหารจริงๆก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ต้องโกลาหลกันอย่างแน่นอน
เจ้าของร้านอาหารเองก็ก็รู้สึกอย่างมากที่มีดาราดังมาทำอาหารในร้านของพวกเขา เขายังขอให้บริกรของร้านอยู่ช่วยซูจิ้งล้างจานอีกด้วย ถือได้ว่าที่นี่มีมาตรฐานในการบริการที่ดีเลยทีเดียว
ซูจิ้งได้เตรียมทุกอย่างไว้เสร็จแล้วและตั้งใจว่าจะเริ่มเมื่อเสี่ยวรุยมาถึง เสี่ยวรุยที่มาถึงแล้วก็ได้เข้ามาทักทายซูจิ้ง เขาอยู่ในชุดสูทมาตรฐาน ตัวสูง ผอม และท่าทางฉลาดเฉลียว
“พี่สาม พี่สูงอีกรึเปล่าเนี่ย” เมื่อเสี่ยวรุยเห็นซูจิ้งถึงกับตะลึงในทันที
“ถ้าเทียบกับตอนที่เจอครั้งสุดท้ายก็ถือว่าใช่นะ ฉันสูงขึ้นมาอีกนิดหน่อย ตอนนี้อยู่ที่ 1.83 เมตร ละ” ซูจิ้งพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“บ้าจริง พี่ทำได้ยังไงกัน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยพี่ยังเตี้ยกว่าฉันอยู่เลยนี่นา ตอนนี้ดันสูงกว่าซะแล้ว มันไม่ใช่นิดหน่อยนะนั่น มันนับเป็นสิบเซนติเมตรได้เลย พี่ทำยังไงน่ะ” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยความอิจฉา
“อย่าทำเป็นพูดเลยน่า นายเองก็สูงขึ้นไม่ใช่หรอ” ซูจิ้งมองดูเสี่ยวรุยในตอนนี้ก็พูดออกมาเพราะเขาก็ว่าสูงไม่ต่างกันเท่าไหร่
“ผม ใช้รองเท้าเสริมส้นต่างหาก” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆอย่างเซ็งๆ
“นี่นายไปสนเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซูจิ้งเองที่รู้ว่าเสี่ยวรุยต้องใช้รองเท้าเสริมส้นก็ถึงกับพูดไม่ออก เสี่ยวรุยนั้นจริงๆแล้วก็สูงไปกว่า 1.73 เซนติเมตรเข้าไปแล้ว ถือได้ว่ากำลังดีถึงแม้จะมีคนที่สูงกว่าแต่ก็ถือได้ว่าสูงกว่าใครหลายๆคน ซูจิ้งเริ่มสงสัยว่าทำไมต้องสนใจด้วยกันกับความสูง
“ตัวผมอ่ะไม่อยากหรอก แต่เป้าหมายของผมนี่สิที่เป็นนางแบบ เธอสูงกว่า 1.72 เมตรเข้าไปแล้ว ผมเองก็ต้องรู้สึกอยากดูดีเลยต้องเสริมส้นเข้าไปอีก เอาจริงๆนี่ถ้าวันไหนเธอไปถ่ายแบบที่ต้องใส่ส้นสูงนะ ผมต้องแหงนหน้ามองเธอเลยด้วยซ้ำ” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มั่นใจตัวเองหน่อยดิเฮ้ย ผู้ชายที่เก่งจริงและกล้าพอน่ะนะ ต่อให้เตี้ยขนาดไหนก็คว้าใจสาวงามได้แน่นอนอยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานั้นแม้จะพูดปลอบใจแต่เขาได้คิดวิธีช่วยน้องชายร่วมห้องพักของเขาคนนี้เรียบร้อยแล้ว
“นี่พี่จะยืนคุยกับผมอย่างนี้โดยไม่แนะนำอะไรหน่อยรึไงกันเนี่ย” เสี่ยวรุยพูดออกมา
“โอ๊ยยยยน้องชาย พี่ขอแนะนำน้องในฐานะที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเลยนะว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ชายนั้นคือความสามารถ” เตียนจงยี่พูดพลางหัวเราะออกมา
“นี่คือ…” เสี่ยวรุยได้ยินก็ถึงกับงงจนนิ่งอึ้งไป
ซูจิ้งได้แนะนำทั้งหมดให้รู้จักกันและเขาก็ได้ทิ้งให้เตียนจงนี่และเสี่ยวรุยอยู่คุยกันไปก่อน โดยตัวเขาขอตัวเข้าไปเตรียมอาหารให้กับทุกคน
เพียงซูจิ้งลงมือทำ ทั้งเสี่ยวรุย เตียนจงยี่ เจ้าของร้าน และพนักงานต่างก็นั่งกันไม่ติดที่ พวกเขาเห็นซูจิ้งใช้มีดด้วยเทคนิคที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไหนก็ความหอมของข้าวและกับข้าวที่ตลบอบอวลอยู่จนทั่วไปหมด เพียงแค่ได้กลิ่นพวกเขาก็รู้ในทันทีว่าเป็นอาหารชั้นเลิศแล้ว