ตอนที่ 439 ไม้แข็งหักง่าย

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 439 ไม้แข็งหักง่าย โดย Ink Stone_Fantasy

เดือนธันวาคมของปักกิ่งอากาศหนาวเย็นแค่น้ำหยดยังเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งได้ ปีนี้อากาศหนาวกว่าปีก่อน ช่วงหัวค่ำหนึ่งทุ่มผู้คนที่สนทนากันอยู่ตามตรอกต่างแยกย้ายกลับบ้านไปหมด

แต่ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนช่างอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ อากาศหนาวเหน็บภายนอกไม่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวและสุราวางเรียงราย บรรยากาศครึกครื้นมีความสุข

โก่วซินเจียนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ กำลังเล่าเรื่องเหตุการณ์การผจญภัยของตนอย่างสนุกสนาน ผู้ที่รายล้อมฟังอยู่ปรบมือหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วจู่ๆ ก็เงียบลง

สถานะพิเศษของโก่วซินเจียในตอนนั้น เรื่องราวจุดจบในหลายๆ เหตุการณ์ที่ไม่สิ้นสุด เขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่า ผู้การไต้ซึ่งมีแต่ชื่อเสียงเสียหายนั้น โก่วซินเจียกลับตัดสินเขาด้วยคะแนนที่สูงมาก

หลายๆ คนคงจะจำได้ว่าผู้การไต้นั้นมีวีรกรรมเคลื่อนไหวต่อสู้ในประเทศมากมาย แต่ความจริงแล้วในสมัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่นนั้น ผู้การไต้ได้เสียสละเป็นอย่างมาก

กล่าวได้ว่า ที่ไหนที่มีคนจีนที่นั่นต้องมีสมาชิกม้าเร็วส่งสารของผู้การไต้ แน่นอนว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้รับการบันทึกเรื่องราวเสมอไป เหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ได้ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา

เยี่ยเทียนยกถ้วยสุราขึ้นมาคารวะโก่วซินเจียแล้วยิ้ม “ศิษย์พี่ ผมว่าศิษย์พี่ต้องหาเวลาเขียนบันทึกความทรงจำบ้าง ถึงเป็นการแสดงความเคารพต่อหน้าประวัติศาสตร์!”

“บันทึกความทรงจำ? ถ้าอยู่ฮ่องกงยังว่าไปอย่าง เอาไว้ที่นี่ใครมันจะกล้าเอาไปพิม์หนังสือ?”

โก่วซินเจียหัวเราะออกมา เขารู้ว่าเรื่องราวของเขาเหล่านี้ หากถูกเผยแพร่ออกไปต้องเป็นเรื่องที่ช็อคโลก อีกอย่างเรื่องก็ผ่านไปห้าสิบกว่าปีแล้ว ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวได้”

“ถ้างั้นก็เอาไปต่างประเทศพิมพ์เป็นหนังสือ เอาไว้ค่อยบอกศิษย์พี่รองอีกที”

ตอนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อยู่ๆ กริ่งหน้าประตูดังขึ้น เยี่ยเทียนลุกขึ้น “หืม? ใครมาล่ะเนี่ย ศิษย์พี่ พวกท่านดื่มกันต่อเถอะ ผมออกไปดูหน่อย!”

“เอ๋? ใครกัน พลังเลือดลมถึงหนักแน่นอย่างนี้?”

เยี่ยเทียนเพิ่งเดินไปถึงลานบ้านก็สัมผัสได้ถึงบุคคลที่รออยู่นอกประตูว่าเป็นคนลมปราณหนักแน่นกล้าแข็ง แม้จะไม่ถึงขั้นมีพลังชั่วร้ายแต่ก็ไม่ต่างกันมากแล้ว

ตัวบ้านห่างจากตรอกหลายสิบเมตร เยี่ยเทียนสามารถรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของคนๆ นั้น จะพูดอีกอย่างคือ รอบบริเวณเรือนสี่ประสานของเขานั้น ตอนนี้มียอดฝีมือเจ็ดแปดคนรายล้อมอยู่

แต่คนพวกนี้สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่คณามือหรอก อีกทั้งยังไม่มีจิตสังหารของคนเหล่านั้น เยี่ยเทียนเพียงแค่ระวังตัวมากขึ้น เดินไปที่ประตูด้านข้างแง้มประตูเป็นช่องเล็กๆ

“คุณอีกแล้วเหรอ? ผมพูดชัดเจนแล้วนะ นี่ยังจะมาหาเรื่องพังบ้านผมหรือไง?”

เมื่อเห็นซ่งจือเจี้ยนยืนอยู่หน้าประตู เยี่ยเทียนเหลือบมองคนเบื้องหลังเขาอีกหลายคน ซึ่งคนเหล่านี้แน่นอนว่าฝีมือร้ายกาจกว่าบอดี้การ์ดเมื่อเช้ามาก

“นี่ เยี่ยเทียน เธอ…ทำไมถึงพูดแบบนี้เล่า”

ซ่งจือเจี้ยนรู้ว่าทำอะไรเยี่ยเทียนไม่ได้ คิดไม่ถึงว่า พอเขาเปิดประตูก็พูดเอาคำไม่น่าฟังออกมา ถ้าคนตระกูลซ่งจะมาหาเรื่องเขาล่ะก็คงไม่ต้องลำบากมาด้วยตนเองหรอก?

เยี่ยเทียนสั่นหัว “ผมบอกแล้วว่าไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ขอโทษนะครับ ในบ้านผมมีแขก ผมไปละ!”

“เดี๋ยวก่อน!”

เสียงเด็ดขาดมีอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในตรอก ตรงที่แสงไฟข้างทางส่องไม่ถึง ชายสูงวัยคนหนึ่งที่มีคนหนุ่มสี่ห้าคนรายล้อมอย่างแน่นหนาเดินใกล้เข้ามา

ขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าบันไดบ้านเยี่ยเทียนจู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาดันประตูไว้ไม่ให้เยี่ยเทียนปิดประตู

“จะใช้กำลังเหรอ?”

เยี่ยเทียนที่ตอนแรกปิดประตูค้างไว้ แต่เพราะการเคลื่อนไหวของคนๆ นั้นทำให้เยี่ยเทียนตกใจจนมือไปคว้าอยู่ที่ข้อมือของชายคนนั้น

ชายคนนั้นไม่ได้หลบหลีก แต่พลิกฝ่ามือขึ้น เปลี่ยนเป็นจับข้อมือของเยี่ยเทียนไว้แทน แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าหนุ่ม เวลาคุยกับผู้ใหญ่ควรเกรงใจกันบ้าง”

คนๆ นี้ชื่อฝูเจิ้งหมิง เป็นนายทหารระดับพันโทคนหนึ่งในสำนักงานความปลอดภัยแห่งชาติ และมีอีกชื่อหนึ่งว่าบอดี้การ์ดจงหนานไห่ มีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยระดับผู้นำประเทศ ฝีมือระดับนี้มีเพียงไม่กี่คนในองค์กร

ผู้ติดตามท่านผู้นำแต่ละคนนั้นมียศตำแหน่งสูง ท่าทางเหิมเกริมของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ทำให้ฝูเจิ้งหมิงไม่พอใจ ตอนนี้ยังจะกล้าลงมือกับเขาอีก ในใจแอบยิ้มเย็น

ขณะที่คว้าข้อมือของเยี่ยเทียนไว้นั้น เขาส่งแรงทั้งหมดไปไว้ที่มือ เขาไม่ได้คิดจะทำร้ายเยี่ยเทียน เพียงแต่คิดจะสั่งสอนให้เยี่ยเทียนได้รับบทเรียนบ้างเท่านั้น

“นายเป็นใครถึงกล้ามาสั่งสอนฉัน?!”

เยี่ยเทียนตอบกลับเสียงเย็น เขาเป็นคนไม่ยอมคน เมื่อเดาได้ถึงฐานะของผู้ที่มาเยือนแล้วก็ยังไม่ยอมอยู่ดี

สั่นมือขวาเล็กน้อย ข้อมือของเยี่ยเทียนสะบัดออกด้านนอก ร่างกายของฝูเจิ้งหมิงก็ลอยขึ้นจากพื้นเพราะถูกเยี่ยเทียนสะบัด

“ผลั่ก!” เสียงของหนักตกลงบนพื้น ร่างกายของฝูเจิ้งหมิงลอยออกไปสามสี่เมตรแล้วตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บปวดไปทั้งร่าง ไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืน

ตอนนั้นเองชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่รักษาความปลอดภัยอยู่ล้อมรอบซ่งเฮ่าเทียนอยู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป มีสามคนในนั้นที่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับเยี่ยเทียนอย่างชัดเจน

อีกสองคนชักปืนออกมาขึ้นลำ จ่อปากกระบอกปืนไปที่เยี่ยเทียน

พอถูกปืนสองกระบอกชี้มาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนก็ตัวแข็ง เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปทางซ้าย หลบอยู่หลังประตูรั้วหนา มีดสั้นอู๋เหินเคลื่อนตกลงมาใส่มือของเขาในทันที

เยี่ยเทียนเป็นคนไม่กลัวฟ้าดิน ชีวิตของเขา เขาต้องเป็นผู้กำหนดด้วยตัวเอง อีกทั้งในสายตาของเขามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจหรือสิทธิพิเศษสูงไปกว่าใคร แม้แต่ชายชราที่อยู่นอกประตูนั่น!

ผู้ฝึกเต๋ามักทำตามความปรารถนาของตน ตอนนี้เยี่ยเทียนเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว ถ้าบีบคั้นกันมากเข้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำเรื่องราวใหญ่โตตามมาได้ อย่างมากก็หลบไปอยู่ที่เขาฉางไป๋ซาน ไปอยู่เป็นเพื่อนมังกรดำตัวนั้นก็แล้วกัน

“เก็บปืนไปให้หมด ใครอนุญาตให้พวกเธอเอาปืนออกมา? ยังมีกฎหมายอยู่หรือเปล่า?!”

ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังคิดหาทางอยู่นั้น เสียงของซ่งเฮ่าเทียนดังขึ้นมาจากนอกรั้ว “เยี่ยเทียน ฉันคือซ่งเฮ่าเทียน เธอออกมาเถอะ ฉันรับประกันว่าจะไม่มีใครทำร้ายเธอได้!”

“คุณไม่ต้องรับประกัน ไม่มีใครทำร้ายผมได้อยู่แล้ว”

เยี่ยเทียนเดินออกมาจากหลังประตูบานใหญ่ จ้องมองชายชราผู้นั้นไม่วางตา ตอบว่า “นี่คงเป็นสิทธิพิเศษของพวกคุณล่ะสิ แต่คนแค่นี้ ยังไม่พอหรอก ถ้าผมต้องการจะทำร้ายคุณล่ะก็ พวกเขาก็…ห้ามผมไม่ได้!”

ตอนที่เยี่ยเทียนพูดนั้นมีรังสีของจิตสังหารและพลังพิฆาตแผ่ออกมาจากตัวเข้าพุ่งเข้าใส่เหล่าผู้รักษาความปลอดภัยของท่านผู้นำ ทำเอาพวกเขาถึงกับหน้าถอดสี ทนไม่ได้ต่างเอามือกอดอกไว้

เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นปีศาจหรือซาตานก็ไม่ปาน ลำพังแค่พลังจิตสังหารที่ท่วมท้น ก็สามารถข่มขวัญเหล่าทหารผู้เคยอยู่ในสมรภูมิ รบมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเยือกเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ

แต่ด้วยหน้าที่พวกเขายังคงยืนล้อมคุ้มกันซ่งเฮ่าเทียนอย่างแน่นหนา ไม่ถอยหลังให้แก่เยี่ยเทียนเลยสักก้าว ด้วยสีหน้ากลับซีดเผือดด้วยความหวั่นเกรง

ซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมยังคงสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง  ชีวิตที่ผ่านโลกมามากสะสมเป็นพลังความเข็มแข้ง ไม่ได้หวั่นไหวต่อพลังจิตสังหารของเยี่ยเทียนเลยสักนิด

“คนเขาว่ากัน อำนาจค้ำฟ้า ประโยคนี้ไม่ผิดเลย พลังชีวิตที่สั่งสมมาจากการผ่านเรื่องราวมากมายในชีวิต ยังสามารถต่อต้านกับพลังของเราได้  มิน่าล่ะใครๆ ก็อยากทำงานราชการ”

เยี่ยเทียนเห็นดังนั้นแอบบ่นด้วยความประหลาดใจ เขาแค่ข่มขวัญพวกเจ้าหน้าที่พวกนั้น ตอนนี้ยิ้มอ่อนออกมา ความกดดันที่ส่งไปถึงคนทั้งกลุ่มค่อยๆ เจือจางลง

“ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสซ่งมาถึงที่นี่ ผมเสียมารยาทแล้ว!”

เยี่ยเทียนให้ความเคารพความเสียสละของท่านผู้นำที่มีต่อประเทศชาติ แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนรวม ส่วนเรื่องส่วนตัวนั้นเยี่ยเทียนยังคงโกรธแค้นบุคคลคนนี้ที่ทำให้เขาไม่มีแม่ตั้งแต่เล็ก

คนในสำนักวิชานั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีจิตใจกว้างขวาง เยี่ยเทียนก็เป็นเหมือนกัน ถ้าให้เขาเลือกระหว่างประเทศชาติกับครอบครัว เขาต้องเลือกครอบครัวมาก่อนอยู่แล้ว เมื่อเช้าเขาบอกให้ซ่งเฮ่าเทียนมาหาเขาด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านผู้นำเข้ามาในรั้วบ้านของเขาได้

ไม่รอให้ซ่งเฮ่าเทียนพูดก่อน เยี่ยเทียนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เมื่อเช้าผมได้บอกกับคุณซ่งจือเจี้ยนไปแล้วว่า บ้านตระกูลเยี่ยใครๆ ก็เข้าได้ ยกเว้นคนตระกูลซ่งเท่านั้น ดังนั้น…ขอโทษจริงๆ คุณจะเข้ามาในบ้านผมไม่ได้!”

ในน้ำเสียงของเยี่ยเทียนเจือด้วยความเด็ดขาด ทำให้พวกผู้คุ้มกันแสดงสีหน้าคาดไม่ถึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในประเทศจีนจะมีใครกล้าคุยกับซ่งเฮ่าเทียนแบบนี้?

“เยี่ยเทียน วันนี้ฉันไม่ได้มาเจรจาอะไรกับเธอ เพียงแต่…เพียงแต่อยากเจอเธอเท่านั้น ในเมื่อเธอไม่ต้อนรับฉัน ฉันก็จะกลับละ!”

เยี่ยเทียนพูดจบ รูปร่างสูงใหญ่ของซ่งเฮ่าเทียนก็ดูค้อมเตี้ยลงมาก ดูแก่ลงราวสิบปีในชั่วพริบตา แม้แต่เยี่ยเทียนเห็นแล้วยังตะลึงงัน

เมื่อเห็นพ่อทำท่าจะกลับ ซ่งจือเจี้ยนอดรนทนไม่ได้พูดขึ้นมาว่า “พ่อ ดูสิ ดูเขาช่างเอาแต่ใจเสียจริง”

คำพูดของซ่งจือเจี้ยนซึมซับเข้าไปในใจของผู้คุมกันทั้งหลาย หนึ่งในนั้นที่ติดตามท่านผู้นำมาเป็นเวลาน้อยที่สุดคนหนึ่งแต่ก็เป็นเวลาถึงสามสี่ปีแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นใครไม่กลัวฟ้าดินอย่างเยี่ยเทียนมาก่อนเลย

“เหตุในอดีตก่อเกิดผลในปัจจุบัน ถ้าหากการมาของฉันในวันนี้ทำให้เด็กคนนี้คลายความแค้นลงได้ ก็คงจะดี”

ซ่งเฮ่าเทียนโบกมือห้ามบุตรชาย มองดูเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “คนหนุ่มมีความองอาจเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าแข็งกร้าวเกินไปจะแตกหักได้ง่าย วันหน้าเธออย่าได้ทำอย่างนี้อีกล่ะ!”

“น้องเหวินเซียน อย่ามัวแต่ว่าคนอื่น ตอนนายหนุ่มๆ นายต่างกับเยี่ยเทียนตอนนี้ที่ไหน? เกรงว่าจะเป็นยิ่งกว่าเขาเสียอีก?”

เสียงของซ่งเฮ่าเทียนยังไม่ทันขาดคำ เสียงชายชราอีกคนหนึ่งดังขึ้น ร่างผอมบางของโก่วซินเจียไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างกายเยี่ยเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่