ตอนที่ 440 เรื่องอดีต โดย Ink Stone_Fantasy
“คุ้มกันท่านผู้นำ!” พอร่างของโก่วซินเจียปรากฏขึ้น พวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันรายล้อมรอบตัวซ่งเฮ่าเทียนอย่างหนาแน่นอีกครั้ง
คำพูดของเยี่ยเทียนที่พูดต่อท่านผู้นำเมื่อครู่ พวกเขาได้ยินแล้วรู้สึกว่าทั้งสองต้องมีเรื่องราวกันมาก่อน ไม่ได้มีอันตรายนัก แต่สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว พวกเขาตอบสนองการระวังภัยอย่างว่องไว
หน้าที่จากการฝึกหนักของเจ้าหน้าที่คุ้มกันคือ ความปลอดภัยของท่านผู้นำต้องมาเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงมุงกันเข้ามายืนบังเป็นเกราะมนุษย์ แต่ละคนสูงใหญ่ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรทั้งนั้น จึงบดบังร่างของท่านผู้นำจนมิด
แต่การล้อมวงเข้ามาพลอยทำให้ซ่งเฮ่าเทียนมองไม่เห็นโก่วซินเจียไปด้วย ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนยิ่งกระวนกระวาย ยื่นมือออกไปผลักการ์ดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าให้หลบออก
“พวกเธอถอยไป ถอยไปนะ!”
ท่าทางสงบราบเรียบของซ่งเฮ่าเทียนเมื่อครูหายไป แต่กลับตอบสนองกับเสียงเรียกของโก่วซินเจียอย่างร้อนรนจนเสียงที่เปล่งออกมามีความสั่นสะท้าน
ก่อนหน้ายุคปฏิวัติวัฒนธรรม คนที่พอมีตำแหน่งสูงจะตั้งชื่อฉายาให้ตัวเอง ตามตำราหลักพิธีกรรม (หลี่จี้ เตี่ยนหลี่ซ่าง) ที่ว่าด้วยการตั้งชื่อใหม่เมื่อบุรุษมีอายุครบ 20 ปี
หลักในการตั้งชื่อฉายานี้จะตั้งเมื่อบุรุษอายุยี่สิบปี ได้รับยศตำแหน่งแล้ว ต้องมีคุณธรรมแบบผู้เป็นพ่อ ผู้คนและเพื่อน ๆ ก็จะเรียกชื่อฉายานี้ ถือเป็นการให้เกียรติด้วย
ชื่อฉายาของซ่งเฮ่าเทียนก็คือ “เหวินเซียน” ตามที่โก่วซินเจียนเรียกเมื่อครู่ แต่หลังจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว ก็ไม่มีใครเรียกชื่อฉายาของเขาอีกเลย
“น้องเหวินเซียน” คำนี้แสดงว่าผู้เรียกต้องเป็นสหายเก่าที่เคยสนิทสนมกัน ทั้งอายุยังต้องมากกว่าตนอีก จึงเป็นเหตุให้ซ่งเฮ่าเทียนตื่นเต้นร้อนรน
พอดันให้ผู้คุ้มกันเบื้องหน้าหลบไปแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนถึงมองเห็นโก่วซินเจียที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยเทียน
บ้านเยี่ยเทียนค่อนข้างมีฐานะ โคมไฟหน้ารั้วบ้านจึงติดตั้งไฟแรงสูงถึงสองร้อยวัตต์ แสงไฟส่องสว่าง ซ่งเฮ่าเทียนจึงมองเห็นใบหน้าของโก่วซินเจียได้อย่างชัดเจน
แต่เมื่อมองเห็นแล้วซ่งเฮ่าเทียนขมวดคิ้ว คนตรงหน้าไม่เหมือนกับคนที่ตนเคยรู้จัก? แล้วทำไมเขาถึงเรียกชื่อฉายาของตนถูกเล่า
การเคลื่อนไหวของซ่งเฮ่าเทียนทำให้การ์ดที่รายล้อมอยู่เข้าใจ ผู้ที่ถูกเรียกว่าน้องเหวินเซียนนั้นคือท่านผู้นำนั่นเอง
ตั้งแต่มาถึงพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันต่างก็สงสัย เพราะนักพรตคนนั้นดูอายุไม่ถึงหกสิบปี แต่ทำไมจึงเรียกท่านผู้นำว่าน้อง?
ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่คุ้มกันที่สงสัย แม้แต่ซ่งจือเจี้ยนเองก็ขมวดคิ้ว เพื่อนเก่าของพ่อเขารู้จักทุกคน เพราะเหตุนี้จึงทำให้การค้าธุรกิจต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น แต่นักพรตที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่เคยพบมาก่อน
ด้วยอายุและสถานะของซ่งเฮ่าเทียน มีเรื่องอะไรก็สามารถเอ่ยปากถามได้ตามตรง เขาไม่เคยต้องเก็บงำความสงสัยไว้เลย จึงถามไปว่า “ขอถามหน่อยท่านนักพรตท่านนี้ชื่ออะไร ทำไมท่านถึงรู้ชื่อฉายาของผมด้วย?”
“ชื่อของฉันหรือ? น้องเหวินเซียน นายจำฉันไม่ได้จริงหรือ?”
โก่วซินเจียได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป จากนั้นพิจารณามองดูตัวเองอีกครั้ง แล้วยิ้มเยาะออกมาทีหนึ่ง “จริงสิ ผ่านไปห้าสิบกว่าปีแล้ว อาตมาไม่เคยได้ติดต่อสหายเก่าเลย…”
เมื่อครั้งที่โก่วซินเจียยังมีอำนาจ เขามีสิทธิ์ที่จะจับกุมคนที่ถูกสงสัยว่ามีภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือแม้แต่ผู้การไต้ จึงเรียกได้ว่าเขาเป็นคนเหนือคนทั้งหลาย และอยู่ใต้อำนาจของหัวหน้าไต้เพียงคนเดียว”
ตอนที่ไปพม่าทำภารกิจค้นหาขุมทองแล้ว โก่วซินเจียสูญเสียหนักมาก ทั้งยังไปหลบซ่อนในหุบเขาอีกเกือบห้าสิบปี ตอนนี้สภาพของเขาเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้ว
อย่าว่าแต่ซ่งเฮ่าเทียนเลย แม้แต่คุณชายเจียงถ้ายังมีชีวิตอยู่ให้มาพบเขาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้ ส่วนหูหงเต๋อที่จำโก่วซินเจียได้นั้นเพราะได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับนักพรต
เมื่อเห็นว่าสหายเก่าที่เคยสนิทสนมกันกลับจำตนเองไม่ได้แล้ว โก่วซินเจียก็หน้าม่อยลง ส่ายศีรษะพูดว่า “จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ จำไม่ได้ก็ช่าง เยี่ยเทียน เราเข้าบ้านกัน!”
“ครับ ศิษย์พี่”
เยี่ยเทียนรับคำแล้วยังอุตส่าห์เหน็บแนม “พวกเขาจะกลับแล้ว ศิษย์พี่ยังจะออกมาดูอีก? คุณซ่งมีตำแหน่งใหญ่โต จำคนจนอย่างเราๆ ได้ที่ไหน?”
ชายชราที่ทำให้เยี่ยเทียนไม่ได้รับความรักจากแม่ตั้งแต่เล็ก เยี่ยเทียนเคารพไม่ลง เวลาพูดยังอดไม่ได้ที่จะประชดเหน็บแนม
เห็นทั้งสองคนกำลังหันหลังกลับเข้าบ้านไป ซ่งเฮ่าเทียนรีบตะโกนห้ามไว้ “ท่านนักพรต เดี๋ยวก่อน กระผมอายุมากแล้ว ความจำไม่ค่อยดี ขอถามหน่อยท่านนักพรตเป็นใครกันแน่? มีชื่อว่าอะไร?”
หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยได้ยินใครเรียกเขาว่า “เหวินเซียน” อีกเลย คนที่รู้มีแต่สหายเก่าแก่เท่านั้น
ซ่งเฮ่าเทียนยังรู้สึกว่าคนๆ นี้หน้าคุ้น เพียงแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่?
“โก่วซินเจียชะงักฝีเท้าลง ตอบว่า “ฉายาของฉันคือหยวนหยางจื่อ นายยังจำได้หรือยัง?”
“หยวนหยางจื่อ?หยวนหยางจื่อ…หยวนหยาง?”
ซ่งเฮ่าเทียนพึมพำชื่อซ้ำไปมาหลายครั้ง แล้วก็เบิกตาโพลงมองโก่วซินเจียอย่างไม่เชื่อสายตา พูดเสียงสั่น “ท่าน…ท่านคงจะไม่ใช่…พี่หยวนหยาง?
“เหอะๆ ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะ?”
โก่วซินเจียพยักหน้า ถอนหายใจยาว “น้องเหวินเซียน ไม่ได้พบกันตั้งห้าสิบกว่าปี นายดูแก่ลงไปมากเลย ฉันเองก็หน้าตาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!”
โก่วซินเจียติดตามนักพรตหลี่ซั่นหยวนฝึกวิชามาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เขาอายุยี่สิบปีหลี่ซั่นหยวนได้ตั้งฉายาให้เขาว่า “หยวนหยาง” โก่วซินเจียเวลาอยู่ข้างนอกก็มักจะใช้ชื่อนี้ พอออกบวชแล้วได้เปลี่ยนชื่อฉายาเป็นหยวนหยางจื่อ
“พี่หยวนหยาง พี่…พี่ยัง…ยังมีชีวิตอยู่เหรอ นี่…เป็นไปได้อย่างไร?!”
จนวินาทีนี้สีหน้าตกตะลึงของซ่งเฮ่าเทียนยังไม่จางหาย ตอนนั้นบ้านตระกูลซ่งกับสองพรรคการเมืองใหญ่แห่งชาติมีความสัมพันธ์อันดี ซ่งเฮ่าเทียนก็รู้จักคนมากหน้าหลายตา แม้ตัวจะอยู่ที่ประเทศจีน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไต้หวันเขาก็รู้ดีเช่นกัน
ยุคปี 50 ซ่งเฮ่าเทียนทราบว่าโก่วซินเจียเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ตอนนั้นได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุดหน่อย แต่คนที่ควรจะจากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้กลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจซ่งเฮ่าเทียนมาก
ทองต้นทุนที่มีค่ามากที่สุดของประเทศ พอมาถึงช่วงปี 80 เริ่มเข้ารับตำแหน่งระดับผู้นำ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบยี่สิบปี ซ่งเฮ่าเทียนได้เคยเผชิญกับวิกฤตในชีวิตมานับไม่ถ้วน แต่วันนี้เป็นวันที่เขาต้องตกใจที่สุดในชีวิต
“นั่นน่ะสิ ฉันเองยังไม่คิดเลยว่าตัวเองจะยังอยู่…” โก่วซินเจียถอนใจเสียงดัง “น้องเหวินเซียน เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
การเชื้อเชิญของโก่วซินเจียกลับทำให้เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ผมเคยพูดไปแล้ว ถ้าจะรื้อฟื้นความหลังก็ไปที่อื่นเถอะ”
“เยี่ยเทียน ความแค้นของตระกูลทั้งสองน่ะฉันรู้ดี ตอนนั้นตระกูลซ่งทำเกินไป แต่มันก็เป็นเรื่องตั้งแต่หลายชาติมาแล้ว นายต้องปล่อยวางลงบ้าง…”
โก่วซินเจียเกือบลืมไปแล้วว่าตนมาอาศัยอยู่บ้านเยี่ยเทียน ยิ้มฝืดพูดต่อ “น้องเหวินเซียนยอมมาหานายถึงบ้านก็แสดงว่าเขายอมก้มหัวให้ตระกูลเยี่ยแล้ว นายยังจะไม่ยอมให้เรื่องจบสิ้นอีกหรือ?”
ในปีนั้นเรื่องราวของสองตระกูลใหญ่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั้งปักกิ่ง โก่วซินเจียทราบดี เพียงแต่ตอนนั้นประมุขผู้นำตระกูลซ่งไม่ใช่ซ่งเฮ่าเทียน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอยากเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้
“เรื่องของบรรพบุรุษไม่เกี่ยวกับผมหรอก ผมเองก็ไม่อยากผูกใจเจ็บด้วย”
เยี่ยเทียนมองดูซ่งเฮ่าเทียนทีหนึ่ง แล้วพูดน้ำเสียงราบเรียบว่า “การเป็นพ่อคน แต่ไม่คำนึงถึงความสุขของลูก กลับทำให้สามีภรรยาต้องแยกจาก แม่ลูกไม่ได้อยู่พร้อมหน้า คนแบบนี้ช่างใจร้ายใจดำ ผมจะไม่ให้เขาเหยียบเข้าบ้านเป็นอันขาด!”
จิตใจของเยี่ยเทียนไม่ได้กว้างขวางนัก ความแค้นในอดีตของตระกูล เขาไม่ได้สนใจแล้ว เพียงแต่เพราะซ่งเฮ่าเทียนบีบบังคับทำให้ครอบครัวของเขาต้องพลัดพราก เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนยากจะลืม
โก่วซินเจียรู้สึกปวดหัวเมื่อได้ฟังเหตุผลของเยี่ยเทียน คำโบราณว่าไว้ ข้าราชการที่ยุติธรรมที่สุดก็ไม่อาจจัดการเรื่องในครอบครัวให้ใครได้ เรื่องในบ้านของเยี่ยเทียน ตัวเองเป็นแค่ศิษย์พี่ จะไปพูดอะไรมากก็ไม่ได้
โก่วซินเจียกลอกตา ทำเป็นไม่เอ่ยถึงเรื่องของเยี่ยเทียนกับซ่งเฮ่าเทียน เอ่ยถามว่า “เยี่ยเทียน ถือว่าไว้หน้าศิษย์พี่หน่อย ให้ฉันยืมสถานที่ต้อนรับเพื่อนเก่า ได้ไหม?!”
“ศิษย์พี่…”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ เหลือบตามองซ่งจือเจี้ยนแล้วตอบว่า “คนตระกูลซ่งน่ะทำแต่เรื่องสกปรก ผมไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาทำบ้านผมแปดเปื้อน”
“ก็ให้น้องเหวินเซียนเข้ามาคนเดียวได้ไหม?”
โก่วซินเจียหว่านล้อมต่อ “ฉันรู้นิสัยของนายดี เหวินเซียนไม่ทำเรื่องไม่ดีกับนายหรอก ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่อย่างฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”
ในเมื่อศิษย์พี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกลำบากใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลง “เอาเถอะ ให้เขาเข้ามาแค่คนเดียวก็พอ ให้คนอื่นรออยู่ข้างนอก!”
บนโลกนี้มิตรสหายที่หลงเหลืออยู่ของโก่วซินเจียมีจำนวนแทบนับนิ้วได้ ถ้าไม่เอ่ยถึงความเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งกับตน ยังยืนกรานห้ามไม่ให้ซ่งเฮ่าเทียนเข้ามาในบ้าน คงจะเป็นการไม่ให้เกียรติศิษย์พี่
การที่ซ่งเฮ่าเทียนยอมมาหาถึงบ้าน ถือว่าบุญคุณความแค้นของสองตระกูลนั้นขีดฆ่าทิ้งไปได้หนึ่งอย่าง ถ้าตัดเรื่องของแม่เยี่ยเทียนออกไป เขาก็ควรยอมให้ซ่งเฮ่าเทียนเข้าไปในบ้าน
“ได้สิ ฉันจะเข้าไปเอง พี่หยวนหยาง พี่ต้องเล่าเรื่องของพี่ให้ผมฟังด้วยนะ!”
การพบปะสหายเก่านั้นสำคัญกว่าเรื่องของเยี่ยเทียน ในปีนั้นถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโก่วซินเจีย ตระกูลซ่งของเขาคงจะดับสูญไปจากเซี่ยงไฮ้นานแล้ว
“ท่านผู้นำครับ ต้องขอประทานอภัยครับ พวกผมไม่สามารถให้ท่านเข้าไปคนเดียวได้!”
ซ่งเฮ่าเทียนเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว กลับถูกฝูเจิ้งหมิงห้ามไว้ ตามกฎการคุ้มกัน กรณีเกิดความไม่ปลอดภัยใดๆ พวกเขาต้องอยู่ปกป้องข้างกายท่านผู้นำไม่ห่าง
อีกทั้งเห็นฝีมือของเยี่ยเทียนแล้ว ยิ่งทำให้ฝูเจิ้งหมิงไม่วางใจ หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น พวกเขารับผิดชอบไม่ไหว
…