ตอนที่ 440 เรื่องอดีต / ตอนที่ 441 เอ่ยเตือน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 440 เรื่องอดีต / ตอนที่ 441 เอ่ยเตือน โดย Ink Stone_Fantasy

ตอนที่ 440 เรื่องอดีต

“คุ้มกันท่านผู้นำ!” พอร่างของโก่วซินเจียปรากฏขึ้น พวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันรายล้อมรอบตัวซ่งเฮ่าเทียนอย่างหนาแน่นอีกครั้ง

คำพูดของเยี่ยเทียนที่พูดต่อท่านผู้นำเมื่อครู่ พวกเขาได้ยินแล้วรู้สึกว่าทั้งสองต้องมีเรื่องราวกันมาก่อน ไม่ได้มีอันตรายนัก แต่สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว พวกเขาตอบสนองการระวังภัยอย่างว่องไว

หน้าที่จากการฝึกหนักของเจ้าหน้าที่คุ้มกันคือ ความปลอดภัยของท่านผู้นำต้องมาเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงมุงกันเข้ามายืนบังเป็นเกราะมนุษย์ แต่ละคนสูงใหญ่ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรทั้งนั้น จึงบดบังร่างของท่านผู้นำจนมิด

แต่การล้อมวงเข้ามาพลอยทำให้ซ่งเฮ่าเทียนมองไม่เห็นโก่วซินเจียไปด้วย ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนยิ่งกระวนกระวาย ยื่นมือออกไปผลักการ์ดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าให้หลบออก

“พวกเธอถอยไป ถอยไปนะ!”

ท่าทางสงบราบเรียบของซ่งเฮ่าเทียนเมื่อครูหายไป แต่กลับตอบสนองกับเสียงเรียกของโก่วซินเจียอย่างร้อนรนจนเสียงที่เปล่งออกมามีความสั่นสะท้าน

ก่อนหน้ายุคปฏิวัติวัฒนธรรม คนที่พอมีตำแหน่งสูงจะตั้งชื่อฉายาให้ตัวเอง ตามตำราหลักพิธีกรรม (หลี่จี้ เตี่ยนหลี่ซ่าง) ที่ว่าด้วยการตั้งชื่อใหม่เมื่อบุรุษมีอายุครบ 20 ปี

หลักในการตั้งชื่อฉายานี้จะตั้งเมื่อบุรุษอายุยี่สิบปี ได้รับยศตำแหน่งแล้ว ต้องมีคุณธรรมแบบผู้เป็นพ่อ ผู้คนและเพื่อน ๆ ก็จะเรียกชื่อฉายานี้ ถือเป็นการให้เกียรติด้วย

ชื่อฉายาของซ่งเฮ่าเทียนก็คือ “เหวินเซียน” ตามที่โก่วซินเจียนเรียกเมื่อครู่ แต่หลังจากยุคปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว ก็ไม่มีใครเรียกชื่อฉายาของเขาอีกเลย

“น้องเหวินเซียน” คำนี้แสดงว่าผู้เรียกต้องเป็นสหายเก่าที่เคยสนิทสนมกัน ทั้งอายุยังต้องมากกว่าตนอีก จึงเป็นเหตุให้ซ่งเฮ่าเทียนตื่นเต้นร้อนรน

พอดันให้ผู้คุ้มกันเบื้องหน้าหลบไปแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนถึงมองเห็นโก่วซินเจียที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยเทียน

บ้านเยี่ยเทียนค่อนข้างมีฐานะ โคมไฟหน้ารั้วบ้านจึงติดตั้งไฟแรงสูงถึงสองร้อยวัตต์ แสงไฟส่องสว่าง ซ่งเฮ่าเทียนจึงมองเห็นใบหน้าของโก่วซินเจียได้อย่างชัดเจน

แต่เมื่อมองเห็นแล้วซ่งเฮ่าเทียนขมวดคิ้ว คนตรงหน้าไม่เหมือนกับคนที่ตนเคยรู้จัก? แล้วทำไมเขาถึงเรียกชื่อฉายาของตนถูกเล่า

การเคลื่อนไหวของซ่งเฮ่าเทียนทำให้การ์ดที่รายล้อมอยู่เข้าใจ ผู้ที่ถูกเรียกว่าน้องเหวินเซียนนั้นคือท่านผู้นำนั่นเอง

ตั้งแต่มาถึงพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันต่างก็สงสัย เพราะนักพรตคนนั้นดูอายุไม่ถึงหกสิบปี แต่ทำไมจึงเรียกท่านผู้นำว่าน้อง?

ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่คุ้มกันที่สงสัย แม้แต่ซ่งจือเจี้ยนเองก็ขมวดคิ้ว เพื่อนเก่าของพ่อเขารู้จักทุกคน เพราะเหตุนี้จึงทำให้การค้าธุรกิจต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น แต่นักพรตที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่เคยพบมาก่อน

ด้วยอายุและสถานะของซ่งเฮ่าเทียน มีเรื่องอะไรก็สามารถเอ่ยปากถามได้ตามตรง เขาไม่เคยต้องเก็บงำความสงสัยไว้เลย จึงถามไปว่า “ขอถามหน่อยท่านนักพรตท่านนี้ชื่ออะไร ทำไมท่านถึงรู้ชื่อฉายาของผมด้วย?”

“ชื่อของฉันหรือ? น้องเหวินเซียน นายจำฉันไม่ได้จริงหรือ?”

โก่วซินเจียได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป จากนั้นพิจารณามองดูตัวเองอีกครั้ง แล้วยิ้มเยาะออกมาทีหนึ่ง “จริงสิ ผ่านไปห้าสิบกว่าปีแล้ว อาตมาไม่เคยได้ติดต่อสหายเก่าเลย…”

เมื่อครั้งที่โก่วซินเจียยังมีอำนาจ เขามีสิทธิ์ที่จะจับกุมคนที่ถูกสงสัยว่ามีภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือแม้แต่ผู้การไต้ จึงเรียกได้ว่าเขาเป็นคนเหนือคนทั้งหลาย และอยู่ใต้อำนาจของหัวหน้าไต้เพียงคนเดียว”

ตอนที่ไปพม่าทำภารกิจค้นหาขุมทองแล้ว โก่วซินเจียสูญเสียหนักมาก ทั้งยังไปหลบซ่อนในหุบเขาอีกเกือบห้าสิบปี ตอนนี้สภาพของเขาเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้ว

อย่าว่าแต่ซ่งเฮ่าเทียนเลย แม้แต่คุณชายเจียงถ้ายังมีชีวิตอยู่ให้มาพบเขาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้ ส่วนหูหงเต๋อที่จำโก่วซินเจียได้นั้นเพราะได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับนักพรต

เมื่อเห็นว่าสหายเก่าที่เคยสนิทสนมกันกลับจำตนเองไม่ได้แล้ว โก่วซินเจียก็หน้าม่อยลง ส่ายศีรษะพูดว่า “จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ จำไม่ได้ก็ช่าง เยี่ยเทียน เราเข้าบ้านกัน!”

“ครับ ศิษย์พี่”

เยี่ยเทียนรับคำแล้วยังอุตส่าห์เหน็บแนม “พวกเขาจะกลับแล้ว ศิษย์พี่ยังจะออกมาดูอีก? คุณซ่งมีตำแหน่งใหญ่โต จำคนจนอย่างเราๆ ได้ที่ไหน?”

ชายชราที่ทำให้เยี่ยเทียนไม่ได้รับความรักจากแม่ตั้งแต่เล็ก เยี่ยเทียนเคารพไม่ลง เวลาพูดยังอดไม่ได้ที่จะประชดเหน็บแนม

เห็นทั้งสองคนกำลังหันหลังกลับเข้าบ้านไป ซ่งเฮ่าเทียนรีบตะโกนห้ามไว้ “ท่านนักพรต เดี๋ยวก่อน กระผมอายุมากแล้ว ความจำไม่ค่อยดี ขอถามหน่อยท่านนักพรตเป็นใครกันแน่? มีชื่อว่าอะไร?”

หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยได้ยินใครเรียกเขาว่า “เหวินเซียน” อีกเลย คนที่รู้มีแต่สหายเก่าแก่เท่านั้น

ซ่งเฮ่าเทียนยังรู้สึกว่าคนๆ นี้หน้าคุ้น เพียงแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่?

“โก่วซินเจียชะงักฝีเท้าลง ตอบว่า “ฉายาของฉันคือหยวนหยางจื่อ นายยังจำได้หรือยัง?”

“หยวนหยางจื่อ?หยวนหยางจื่อ…หยวนหยาง?”

ซ่งเฮ่าเทียนพึมพำชื่อซ้ำไปมาหลายครั้ง แล้วก็เบิกตาโพลงมองโก่วซินเจียอย่างไม่เชื่อสายตา พูดเสียงสั่น “ท่าน…ท่านคงจะไม่ใช่…พี่หยวนหยาง?

“เหอะๆ ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะ?”

โก่วซินเจียพยักหน้า ถอนหายใจยาว “น้องเหวินเซียน ไม่ได้พบกันตั้งห้าสิบกว่าปี นายดูแก่ลงไปมากเลย ฉันเองก็หน้าตาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!”

โก่วซินเจียติดตามนักพรตหลี่ซั่นหยวนฝึกวิชามาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เขาอายุยี่สิบปีหลี่ซั่นหยวนได้ตั้งฉายาให้เขาว่า “หยวนหยาง” โก่วซินเจียเวลาอยู่ข้างนอกก็มักจะใช้ชื่อนี้ พอออกบวชแล้วได้เปลี่ยนชื่อฉายาเป็นหยวนหยางจื่อ

“พี่หยวนหยาง พี่…พี่ยัง…ยังมีชีวิตอยู่เหรอ นี่…เป็นไปได้อย่างไร?!”

จนวินาทีนี้สีหน้าตกตะลึงของซ่งเฮ่าเทียนยังไม่จางหาย ตอนนั้นบ้านตระกูลซ่งกับสองพรรคการเมืองใหญ่แห่งชาติมีความสัมพันธ์อันดี ซ่งเฮ่าเทียนก็รู้จักคนมากหน้าหลายตา แม้ตัวจะอยู่ที่ประเทศจีน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไต้หวันเขาก็รู้ดีเช่นกัน

ยุคปี 50 ซ่งเฮ่าเทียนทราบว่าโก่วซินเจียเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ตอนนั้นได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุดหน่อย แต่คนที่ควรจะจากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้กลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจซ่งเฮ่าเทียนมาก

ทองต้นทุนที่มีค่ามากที่สุดของประเทศ พอมาถึงช่วงปี 80 เริ่มเข้ารับตำแหน่งระดับผู้นำ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบยี่สิบปี ซ่งเฮ่าเทียนได้เคยเผชิญกับวิกฤตในชีวิตมานับไม่ถ้วน แต่วันนี้เป็นวันที่เขาต้องตกใจที่สุดในชีวิต

“นั่นน่ะสิ ฉันเองยังไม่คิดเลยว่าตัวเองจะยังอยู่…” โก่วซินเจียถอนใจเสียงดัง “น้องเหวินเซียน เข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”

การเชื้อเชิญของโก่วซินเจียกลับทำให้เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ผมเคยพูดไปแล้ว ถ้าจะรื้อฟื้นความหลังก็ไปที่อื่นเถอะ”

“เยี่ยเทียน ความแค้นของตระกูลทั้งสองน่ะฉันรู้ดี ตอนนั้นตระกูลซ่งทำเกินไป แต่มันก็เป็นเรื่องตั้งแต่หลายชาติมาแล้ว นายต้องปล่อยวางลงบ้าง…”

โก่วซินเจียเกือบลืมไปแล้วว่าตนมาอาศัยอยู่บ้านเยี่ยเทียน ยิ้มฝืดพูดต่อ “น้องเหวินเซียนยอมมาหานายถึงบ้านก็แสดงว่าเขายอมก้มหัวให้ตระกูลเยี่ยแล้ว นายยังจะไม่ยอมให้เรื่องจบสิ้นอีกหรือ?”

ในปีนั้นเรื่องราวของสองตระกูลใหญ่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั้งปักกิ่ง  โก่วซินเจียทราบดี เพียงแต่ตอนนั้นประมุขผู้นำตระกูลซ่งไม่ใช่ซ่งเฮ่าเทียน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอยากเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้

“เรื่องของบรรพบุรุษไม่เกี่ยวกับผมหรอก ผมเองก็ไม่อยากผูกใจเจ็บด้วย”

เยี่ยเทียนมองดูซ่งเฮ่าเทียนทีหนึ่ง แล้วพูดน้ำเสียงราบเรียบว่า “การเป็นพ่อคน แต่ไม่คำนึงถึงความสุขของลูก กลับทำให้สามีภรรยาต้องแยกจาก แม่ลูกไม่ได้อยู่พร้อมหน้า คนแบบนี้ช่างใจร้ายใจดำ ผมจะไม่ให้เขาเหยียบเข้าบ้านเป็นอันขาด!”

จิตใจของเยี่ยเทียนไม่ได้กว้างขวางนัก ความแค้นในอดีตของตระกูล เขาไม่ได้สนใจแล้ว เพียงแต่เพราะซ่งเฮ่าเทียนบีบบังคับทำให้ครอบครัวของเขาต้องพลัดพราก เป็นเรื่องที่เยี่ยเทียนยากจะลืม

โก่วซินเจียรู้สึกปวดหัวเมื่อได้ฟังเหตุผลของเยี่ยเทียน คำโบราณว่าไว้ ข้าราชการที่ยุติธรรมที่สุดก็ไม่อาจจัดการเรื่องในครอบครัวให้ใครได้ เรื่องในบ้านของเยี่ยเทียน ตัวเองเป็นแค่ศิษย์พี่ จะไปพูดอะไรมากก็ไม่ได้

โก่วซินเจียกลอกตา ทำเป็นไม่เอ่ยถึงเรื่องของเยี่ยเทียนกับซ่งเฮ่าเทียน เอ่ยถามว่า “เยี่ยเทียน ถือว่าไว้หน้าศิษย์พี่หน่อย ให้ฉันยืมสถานที่ต้อนรับเพื่อนเก่า ได้ไหม?!”

“ศิษย์พี่…”

เยี่ยเทียนถอนหายใจ เหลือบตามองซ่งจือเจี้ยนแล้วตอบว่า “คนตระกูลซ่งน่ะทำแต่เรื่องสกปรก ผมไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาทำบ้านผมแปดเปื้อน”

“ก็ให้น้องเหวินเซียนเข้ามาคนเดียวได้ไหม?”

โก่วซินเจียหว่านล้อมต่อ “ฉันรู้นิสัยของนายดี เหวินเซียนไม่ทำเรื่องไม่ดีกับนายหรอก ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่อย่างฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”

ในเมื่อศิษย์พี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกลำบากใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลง “เอาเถอะ ให้เขาเข้ามาแค่คนเดียวก็พอ ให้คนอื่นรออยู่ข้างนอก!”

บนโลกนี้มิตรสหายที่หลงเหลืออยู่ของโก่วซินเจียมีจำนวนแทบนับนิ้วได้ ถ้าไม่เอ่ยถึงความเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งกับตน ยังยืนกรานห้ามไม่ให้ซ่งเฮ่าเทียนเข้ามาในบ้าน คงจะเป็นการไม่ให้เกียรติศิษย์พี่

การที่ซ่งเฮ่าเทียนยอมมาหาถึงบ้าน ถือว่าบุญคุณความแค้นของสองตระกูลนั้นขีดฆ่าทิ้งไปได้หนึ่งอย่าง ถ้าตัดเรื่องของแม่เยี่ยเทียนออกไป เขาก็ควรยอมให้ซ่งเฮ่าเทียนเข้าไปในบ้าน

“ได้สิ ฉันจะเข้าไปเอง พี่หยวนหยาง พี่ต้องเล่าเรื่องของพี่ให้ผมฟังด้วยนะ!”

การพบปะสหายเก่านั้นสำคัญกว่าเรื่องของเยี่ยเทียน ในปีนั้นถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโก่วซินเจีย ตระกูลซ่งของเขาคงจะดับสูญไปจากเซี่ยงไฮ้นานแล้ว

“ท่านผู้นำครับ ต้องขอประทานอภัยครับ พวกผมไม่สามารถให้ท่านเข้าไปคนเดียวได้!”

ซ่งเฮ่าเทียนเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว กลับถูกฝูเจิ้งหมิงห้ามไว้ ตามกฎการคุ้มกัน กรณีเกิดความไม่ปลอดภัยใดๆ พวกเขาต้องอยู่ปกป้องข้างกายท่านผู้นำไม่ห่าง

อีกทั้งเห็นฝีมือของเยี่ยเทียนแล้ว ยิ่งทำให้ฝูเจิ้งหมิงไม่วางใจ หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น พวกเขารับผิดชอบไม่ไหว

ตอนที่ 441 เอ่ยเตือน

“เอ่อ พี่หยวนหยาง พี่จะว่ายังไง?”

ซ่งเฮ่าเทียนทราบดีถึงความรับผิดชอบของพวกผู้คุ้มกัน เขาไม่อยากทำให้ลูกน้องที่ติดตามเขามานานหลายปีลำบากใจ จึงส่งสายตาให้โก่วซินเจีย

“คนเดียว เท่านั้น!”

เยี่ยเทียนเหลือบมองโก่วซินเจีย พูดเสียงสะบัดอย่างไม่สบอารมณ์แล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านไป บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ เยี่ยเทียนไม่อยากให้พวกผู้คุ้มกันล่วงรู้ ไม่อย่างนั้นต่อไปคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่

โก่วซินเจียยิ้มฝืด สั่นศีรษะแล้วบอกว่า “ฉันเองก็จนปัญญา น้องเหวินเซียน กับศิษย์น้องคนนี้น่ะฉันยังต้องยอมให้เขาอยู่เลย นายอย่ามองว่าเขาเป็นคนธรรมดาเชียว!”

แม้ตัวเองจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ แต่โก่วซินเจียเข้าใจดี การฝึกวิชาของเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเยี่ยเทียนหรืออาจจะเก่งกล้ากว่าด้วยซ้ำ แต่เรื่องวิชาอาคมนั้น โก่วซินเจียยังต้องมาอาศัยเรียนจากเยี่ยเทียนที่นี่ ยิ่งเทียบกันไม่ติด

อีกอย่าง เยี่ยเทียนเป็นถึงเจ้าสำนักเสื้อป่าน เยี่ยเทียนท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้ โก่วซินเจียต้องเป็นฝ่ายโอนอ่อนให้ อีกทั้งความเคารพที่เยี่ยเทียนที่มีต่อตนนั้นจริงใจ โก่วซินเจียจึงไม่กล้าจะทำอะไรที่เกินไป

ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกลำบากใจแทนพวกลูกน้องที่รายล้อมตนอยู่ จึงเอ่ยออกมาว่า “พี่หยวนหยาง ไม่งั้นก็ไปคุยกันที่บ้านผมดีไหม? เราจากกันตั้งห้าสิบกว่าปี ผมยังระลึกถึงพี่อยู่เสมอ!”

“น้องเหวินเซียน ฉันทำให้นายเข้าบ้านหลังนี้ได้ เป็นวาสนาของนายเองนะ นายต้องรักษาไว้ให้ดี…” โก่วซินเจียมอง

ซ่งเฮ่าเทียน เอ่ยปากบอกอย่างมีนัยยะ

เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียน สำหรับร่างกายคนสูงอายุนั้น เป็นแหล่งที่มีพลังงานชีวิตหนาแน่น สามารถช่วยให้มีอายุยืนยาว ขจัดโรคภัย ด้วยสุขภาพของซ่งเฮ่าเทียนการเข้าไปในบ้านเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เกิดประโยชน์มากแล้ว

“พี่หยวนหยาง พี่หมายความว่าอย่างไร?”  ซ่งเฮ่าเทียนฟังแล้วไม่เข้าใจ ถามต่อด้วยความสงสัย เขาอายุขนาดนี้แล้ว แต่สมองไม่ได้เสื่อมตามไปด้วย

“เอาเถอะ ผมจะเข้าไปกับพี่ มีพี่หยวนหยางอยู่ทั้งคน บนโลกนี้ไม่มีใครกล้าทำร้ายผมได้” นึกถึงสถานะของโก่วซินเจียเมื่อครั้งก่อน ซ่งเฮ่าเทียนจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในเรือนสี่ประสาน

ฝูเจิ้งหมิงรุดเข้ามาขวางหน้าซ่งเฮ่าเทียน สีหน้าเด็ดขาด พูดว่า “ท่านผู้นำครับ อย่าให้พวกผมลำบากใจเลยครับ!”

ซ่งเฮ่าเทียนส่ายศีรษะ พลางตอบว่า “เอาเถอะ ฉันจะไม่ให้พวกนายลำบากใจหรอก เอาโทรศัพท์มา!”

คนระดับซ่งเฮ่าเทียนต้องได้รับการรักษาความปลอดภัยระดับประเทศ ถึงแม้จะออกจากตำแหน่งแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของเขายังเป็นที่จับตามองอยู่ จึงเลือกมาหาเยี่ยเทียนในตอนกลางคืน

ดังนั้นเมื่อจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน ซ่งเฮ่าเทียนจำเป็นต้องติดต่อหาผู้บังคับบัญชาของหน่วยคุ้มกันโดยตรง

ระเบิดอารมณ์ใส่ปลายสายเต็มที่แล้ว ฝ่ายนั้นจึงจะยอมรับตามเงื่อนไขของซ่งเฮ่าเทียน หลังจากยื่นโทรศัพท์คืนให้ฝูเจิ้งหมิง ซ่งเฮ่าเทียนสั่งว่า “รอฉันอยู่ข้างนอก ห้ามเข้าไปข้างในเป็นอันขาด!”

ฝูเจิ้งหมิงตอนนี้ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาแล้ว ก็รีบตอบรับ “ครับ ท่านผู้นำ ขอให้ท่านระวังตัวด้วย!”

“นี่ พ่อ แล้ว…แล้วผมล่ะ?” ซ่งจือเจี้ยนท่าทีร้อนรน แม้เขาจะไม่ได้รับเกียรตินั้น แต่เขาอายุไม่น้อยแล้ว จะให้รออยู่ข้างนอกท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บแบบนี้ เขาทนไม่ไหวหรอก

“แกกลับไปก่อนไป จือเจี้ยน แกทำให้ฉันผิดหวังมาก!”

ซ่งจือเจี้ยนมองดูบุตรชายอย่างเย็นชา คำพูดนั้นทำให้ซ่งจือเจี้ยนตัวเย็นเป็นน้ำแข็งไป เขาไม่ได้ยินคำพูดนี้จากพ่อมาอย่างน้อยยี่สิบกว่าปีแล้ว

ซ่งเฮ่าเทียนเดินเข้าไปในเรือนสี่ประสานแล้ว ประตูบานใหญ่ปิดงับลงทันที พวกฝูเจิ้งหมิงไม่กล้าวางใจ รีบจัดขบวนคนของเขาล้อมรอบเรือนสี่ประสานเอาไว้ แม้แต่ตรอกรอบๆ บ้านยังทำการปิดล้อมทุกเส้นทาง

“พี่หยวนหยาง มือ…มือของพี่ เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น?” พอเดินเข้ามาในบ้านแล้วซ่งเฮ่าเทียนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าแขนเสื้อด้านซ้ายของโก่วซิยเจียนั้นว่างเปล่าปลิวไหวตามลม แขนข้างนั้นไม่อยู่แล้ว

“ถ้าไม่ได้แขนข้างนี้ ฉันคงไม่อาจลวงการตายได้ เรื่องเก่านานนมแล้ว อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย!”

เรื่องขุมทองในพม่านั้นโก่วซินเจียบอกกับเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นเท่านั้น แต่จะบอกกับซ่งเฮ่าเทียนไม่ได้เพราะเรื่องราวมีความเกี่ยวโยงมากเกินไป

ประเทศจีนวันนี้มีทองคำในคลังเพียงไม่กี่ร้อยตันเท่านั้น ขุมทองในพม่านั้นมีมากถึงยี่สิบตันทั้งยังเป็นต้นทุนในการเตรียมสงคราม ถ้าซ่งเฮ่าเทียนรู้เข้าจะต้องอยากได้มันมาแน่นอน

“ได้สิ นายเล่าให้ฟังหน่อยว่าหลายปีมานี้นายเป็นยังไงบ้าง?”

ซ่งเฮ่าเทียนพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “พี่กลับมาแล้วก็ไม่มาหาผมเลย? มีผมอยู่ทั้งคน ยังไงก็ต้องดูแลความปลอดภัยให้พี่ได้อยู่แล้ว!”

ในตอนนั้นตระกูลซ่งยังพอมีเส้นสายในพรรคการเมืองรัฐบาลอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับตระกูลใหญ่ๆ แล้ว ธุรกิจของพวกเขานั้นรุ่งเรืองกว่ามาก แต่ในรัฐบาลกลับไม่มีเสียงมากพอ

ทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูลซ่งเป็นที่จับตามองของทุกคน ถ้าหากไม่มีความสัมพันธ์ต่อโก่วซินเจียแล้ว เกรงว่าก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น ทรัพย์สมบัติของตระกูลซ่งคงจะถูกปล้นสะดมไปจนหมด

ดังนั้นคำพูดทุกคำของซ่งเฮ่าเทียนล้วนออกมาจากใจจริง ถึงแม้ข้อกล่าวหาของโก่วซินเจียจะหนักหนา ซ่งเฮ่าเทียนก็จะปกป้องเขาให้ปลอดภัย

“ตอนที่เกิดเรื่องกับฉันตอนนั้น นายเองก็กำลังลำบากเหมือนกัน?”

โก่วซินเจียสัมผัสได้ถึงน้ำใสใจจริงของซ่งเฮ่าเทียน เขายิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตอนหลังฉันไปอยู่บนเขาแล้ว ไม่อยากกลับออกมาอีก ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์น้องเล็กเป็นคนชวน ฉันคงอยู่ที่ไต้หวันไปตลอดชีวิต!”

“ศิษย์น้องเล็ก? ใช่แล้ว พี่หยวนหยาง พี่กับเยี่ยเทียนเกี่ยวข้องอะไรกัน? อายุห่างกันมากขนาดนี้?”

ตอนที่อยู่ตรงหน้าประตู ซ่งเฮ่าเทียนยังไม่ทันถามความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยเทียนกับซ่งเฮ่าเทียน ตอนนี้พอได้ยินโก่วซินเจียเอ่ยถึง จึงอดถามออกมาไม่ได้

“น้องเหวินเซียน อาจารย์ของฉันท่านหลี่ซั่นหยวนเป็นผู้วิเศษ ความสามารถและวิชาของฉันนั้นเล่าเรียนมาจากท่าน ตอนบั้นปลายชีวิตของท่านได้รับเยี่ยเทียนเป็นศิษย์อีกคน ก็เลยมีฐานะเป็นศิษย์น้องเล็กของฉัน…”

ตลอดชีวิตของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนไม่ยอมทำงานรับใช้ผู้มีอำนาจ จึงไม่ค่อยมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชน หลายๆ คนจึงไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของท่าน โก่วซินเจียอธิบายให้ฟังทำเอาซ่งเฮาเทียนฟังด้วยความเสียดาย

“น้องเหวินเซียน ศิษย์น้องเล็กของฉันได้รับการถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์มากที่สุด  แม้แต่ฉันยังเทียบไม่ได้ ฉันอยากจะให้นายกวดขันคนในครอบครัวของนายดีๆ อย่ามาก่อกวนเยี่ยเทียน”

โก่วซินเจียพอทราบเรื่องที่ซ่งเซี่ยวหลงจ้างคนมาลอบฆ่าเยี่ยเทียนและยังรู้อีกว่าเยี่ยเทียนจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่ เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซ่งเฮ่าเทียนที่มีมาแต่อดีต จึงเตือนซ่งเฮ่าเทียนด้วยความหวังดี

“กวดขันคนในบ้าน? พี่หยวนหยาง มีเรื่องอะไรกันแน่?”

ซ่งเฮ่าเทียนผู้เผชิญมาแล้วทั้งความรุ่งโรจน์และความร่วงโรยในโลกธุรกิจ ตอนนี้กลายเป็นคนโชกโชนไปแล้ว เขายังไม่เข้าใจความหมายที่โก่วซินเจียกำลังเตือน จึงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง

ซ่งเฮ่าเทียนนึกไปถึงเรื่องที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อประสบอุบัติเหตุที่เซี่ยงไฮ้ เท่าที่เขารู้คือ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนหมั้นกับแฟนสาวที่เซี่ยงไฮ้เช่นเดียวกัน

“ฉันเป็นคนนอก พูดมากไม่ได้ นายระวังไว้ก็แล้วกัน”

โก่วซินเจียถอนใจออกมา สุดท้ายก็ทนเห็นสหายเก่าคิดหมกมุ่นไม่จบจึงกล่าวต่อว่า “พี่พูดมากเกินไปแล้ว ตอนนี้เยี่ยเทียนพราะว่าเห็นแก่ลูกสาวของนาย ถึงไม่ลงมือทำอะไรบ้านตระกูลซ่ง ไม่อย่างนั้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลนายจะต้องพินาศย่อยยับ!”

คำพูดประโยคเมื่อครู่เขาเพียงแต่เตือนซ่งเฮ่าเทียน แต่ประโยคนี้กลับทำให้ซ่งเฮ่าเทียนหวาดกลัวจนเหงื่อแตก

คนอย่างโก่วซินเจีย ซ่งเฮ่าเทียนรู้ดีที่สุด ตอนนั้นเขาเป็นถึงเงาของนายพลเจียงผู้มีอำนาจในพรรครัฐบาล ฝีมือโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ทั้งยังมีความรู้เรื่องการทำนายและวิชาอาคม เป็นลูกน้องที่เป็นกำลังหลักสำคัญของนายพลเจียง

คำพูดที่โก่วซินเจียพูดออกมา เป็นความจริงที่สุด ไม่มีคำเท็จสักคำ หรือจะกล่าวให้เข้าใจง่ายคือ เยี่ยเทียนสามารถล้มล้างตระกูลซ่งได้ด้วยมือของเขาเอง

แม้ซ่งเฮ่าเทียนไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่คำเตือนของโก่วซินเจียสามารถทำให้เขาไม่กล้าคาดเดา พอนึกถึงตอนที่พรากแม่ไปจากเยี่ยเทียนแล้ว ก็รู้สึกสลดใจเป็นอย่างมาก

เมื่อครู่ท่าทางของเยี่ยเทียนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีทางยอมรับคนตระกูลซ่งเป็นอันขาด หากว่าลูกหลานในตระกูลซ่งไปก่อเรื่องอะไรขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เกิดผลร้ายตามมา

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันได้เดินมาถึงเรือนกลางแล้ว หูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนที่นั่งกินดื่มกันอยู่เห็นนักพรตพาคนแปลกหน้าเข้ามาด้วยก็รีบยืนขึ้น

“เอ๋ ศิษย์น้องเล็กล่ะ?” โก่วซินเจียไม่เห็นเยี่ยเทียนนั่งอยู่ด้วยจึงหันไปถามโจวเซี่ยวเทียน

“อาจารย์บอกว่าไม่สบาย กลับไปเรือนด้านหลังแล้ว คุณ…คุณไม่ใช่…ซ่งอะไรนั่น?”

ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนหันไปตอบโกวซินเจีย มองไปเห็นใบหน้าของซ่งเฮ่าเทียนแล้วก็ตกตะลึง ชายชราผมสีดอกเลาตรงหน้าในเกือบสิบปีมานี้ ใบหน้าของเขาได้ออกอากาศทางโทรทัศน์เกือบทุกวัน

โก่วซินเจียยกมือข้างขวาขึ้นเขกหัวของโจวเซี่ยวเทียนแล้วหัวเราะ “เอาเถอะ เขาเป็นตาของเยี่ยเทียน เซี่ยวเทียน ไปเรียกเยี่ยเทียนออกมาสิ มาคุยกันหน่อย!”

“ครับ…ครับ  ผม…ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”

โจวเซี่ยวยังไม่ทันรู้ความสัมพันธ์ของซ่งเฮ่าเทียนกับอาจารย์ของเขาเลย ก็วิ่งตุปัดตุเป๋ไปที่เรือนด้านหลัง รู้สึกราวกับภาพในฝัน ยังวิ่งไปหันกลับมาดูไปตลอดทาง

เพราะสำหรับโจวเซี่ยวเทียนแล้วท่านผู้นำซ่งเฮ่าเทียนช่างแตกต่างกับเขาราวฟ้ากับดิน อยู่ๆ มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากลับให้ความรู้สึกว่าไม่เป็นเรื่องจริง

ส่วนหูหงเต๋อผู้ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามานานหลายปี ไม่เคยดูโทรทัศน์ จึงไม่ทราบว่าชายชราตรงหน้าเป็นใคร ยื่นมือไปกดบ่าซ่งเฮ่าเทียนให้นั่งลง แล้วพูดว่า “ดูคุณน่าจะแก่กว่าผมนิดหน่อย ในเมื่อเป็นเพื่อนกับท่านลุง งั้นผมคารวะคุณจอกหนึ่ง!”

“ได้สิ งั้นวันนี้ผมจะดื่มสักแก้ว พี่หยวนหยาง ผมขอคารวะพี่!”

ซ่งเฮ่าเทียนไม่รู้จักหูหงเต๋อว่าเป็นใครมาจากไหน ดูท่าทางเขาแล้วถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะเป็นหัวหน้าโจรป่า แต่วันนี้พอได้พบกับโก่วซินเจียแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนดีใจมากยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม

“เอ๋? อากาศในบ้านดูจะต่างจากนอกบ้านมากเหลือเกิน?”

เหล้าขาวในถ้วย ถ้าปกติของซ่งเฮ่าเทียนคงจะแค่จิบดมก็มึนเมา แต่ตอนนี้พอดื่มเข้าไป หัวสมองกลับโล่งปลอดโปร่ง จึงรู้สึกได้ถึงความพิเศษของเรือนสี่ประสานแห่งนี้