GGS:บทที่ 902 นายอยากจะสูงอีกสักหน่อยไม๊

 

“คุณซู คุณไปเรียนวิธีการทำอาหารแบบนี้มาจากไหนกัน” ชายหน้าจีนคนนั้นได้พูดคำถามที่ข้างคาใจออกมา

“ขอโทษครับ เรื่องนี้ผมบอกไม่ได้จริงๆ” ซูจิ้งยกมือขึ้นเชิงห้ามบ่งบอกถึงการปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้

เหตุหนึ่งนั้นคือเขานั้นไม่สนใจที่จะถ่ายทอดวิชาการทำอาหารนี้ให้กับใคร

อีกหนึ่งเป็นเพราะว่าเขานั้นมีฝีมือเหล่านี้โดยเรียนรู้มาจากตำราทำอาหารของห้วงเวลาฯDesolate Era นั่นหมายความว่าวิชาทำอาหารเหล่านี้เป็นหนึ่งในวิชายุทธ์และแน่นอนว่าคนทั่วไปไม่อาจเรียนรู้ได้โดยง่าย

ชายหน้าจีนเองก็ทำหน้าเสียใจในทันทีแต่เรื่องนี้เขาเองก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว เหตุผลนั่นก็เพราะว่าคนๆนี้นอกจากจะเป็นดาราดังแล้วเขานั้นยังเป็นนักธุรกิจใหญ่

 

แน่นอนว่าคนธรรมดาแบบเขานั้นจะไปขอให้คนที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มาสอนการทำอาหารให้ถ้ารับเขาในทันทีก็คงแปลกดีพิลึก นั่นก็เพราะว่าการที่ใครสักคนจะเรียนเรื่องพวกนี้ได้นั้นอย่างต่ำคงต้องเสียเวลาเป็นสิบปีอย่างแน่นอน

ชายหน้าจีนได้ทำการตัดใจและเดินจากไปเพราะเขาเองก็ยังมีภาระในการจัดการร้านสุกี้ของเขาอยู่เช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาเดินจากไป

ลูกน้องอีกสองคนของเขาเองก็ได้ตามเขาออกไปด้วยเช่นกันพลางหันไปมองอาหารอันโอชะที่อยู่ตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดใจหันหน้ากลับไปทางร้านของตน

ราวกับหญิงสาวที่ต้องตัดใจจากคนรักที่ยากจะตัดเยื่อใยได้อย่างง่ายๆแต่ต่อหน้าพ่อ(ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆ)ที่มองด้วยสายตาดุดันจึงต้องเดินจากไป

 

คนอื่นๆที่อยู่รอบๆในตอนนี้เมื่อเห็นฉากดังกล่าวแล้วก็เริ่มรู้สึกตัวเหมือนกันว่าไม่ควรเสียมารยาทมายืมล้อมโต๊ะคนอื่นในเวลากิน

พวกเขาจึงทำได้เพียงตัดใจกลับไปนั่งจมจ่อมกับอาหารที่ตัวเองได้สั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ภาพของเทพเจ้าโรงครัวที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้นั้นจะไม่จางหายไปจากใจของพวกเขาอย่างแน่นอน

ต่อให้พวกเขานั้นไม่สามารถเรียนรู้ว่าซูจิ้งใช้วิธีไหนในการปรุงอาหาร แต่อย่างน้อยๆพวกเขาก็รู้แล้วว่าฝีมือของเขานั้นคือของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

เตียนจงยี่ เสี่ยวรุย และชายหน้าหล่อนั้นยังคงสวาปามอาหารของซูจิ้งราวกับผีหิวโซ หลังจากกินไปได้สักพักจนทุกอย่างไม่เหลือหลอ แม้แต่น้ำในจานกับข้าวก็ยังไม่เหลือ

ทุกคนในตอนนี้ได้นั่งผ่อนคลายตัวเองอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆไม่ไหวติงไปไหน

“กินจนจุกแบบนี้ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะ คราวหน้าคราวหลังก็เพลาๆเรื่องการกินหน่อยก็ดีนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

 

“พี่สาม พี่ทำอาหารยังไงถึงได้อร่อยขนาดนี้เนี่ย” เสี่ยวรุยพูดออกมา

“อาหารอร่อยแบบนี้หากินไม่ได้นี่ครับ ต้องกินให้พุงกางก็ไม่แปลกเลยนะ” เตียนจงยี่พูดออกมาพลางหัวเราะลั่น

“เอาล่ะ นายคงรู้แล้วสินะว่าข้าวสีน้ำเงินของฉันมันมีค่ามากขนาดไหน นายคิดว่ารอบแรกเราควรปลูกเท่าไหร่ดีล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนว่าต้องมากที่สุดเท่าที่จะมากได้สิครับ แถมตอนนี้ฤดูปลูกข้าวเองก็ยังไม่ผ่านพ้นไปเลย ผมว่าอย่างน้อยถ้าเราเริ่มในตอนนี้ผมคำนวนว่าเรานั้นจะได้ข้าวตอนสิ้นปีพอดีหากเราทำได้เร็วพอ” เตียนจงยี่พูดเรื่องการปลูกข้าวนี้ออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

 

เขามั่นใจได้เลยว่าเมื่อข้าวนี้ออกวางตลอดเมื่อไหร่จะต้องกลายเป็นเจ้าตลาดในทันที ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากปลูกเป็นลอตใหญ่แล้ว แน่นอนว่าเขาเองในฐานะหุ้นส่วนย่อมสามารถกินข้าวนี้ได้ทุกวันโดยไม่ต้องไปแย่งใครกิน

 

“ไม่ต้องห่วงเรื่องสภาพอากาศหรอก ข้าวสีน้ำเงินของฉันนั้นมีความทนทานมากกว่าข้าวทั่วไป ต่อให้หนาวจนเย็นยะเยือกก็ยังอยู่ได้ แน่นอนว่าปีหนึ่งปีหนึ่งเราสามารถปลูกข้าวนี่ได้หลายรอบเลยทีเดียว

ส่วนจะมากแค่ไหนนั้นขึ้นกับเราล่ะว่าเราจะมีแปลงปลูก ต้นพันธุ์ และจัดการการปลูกได้ดีมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าปัญหาเหล่านั้นขึ้นอยู่กับนายแล้วหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เยี่ยม” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ถึงกับเบ่งกล้ามออกมาเพื่ออะไรก็ไม่สามารถทราบได้

“เสี่ยวรุย” ซูจิ้งหลังจากคุยกับเตียนจงยี่ก็หันไปเรียกเสี่ยวรุย

“ครับพี่สาม พี่มีอะไรให้ผมทำอย่างนั้นเหรอ ผมสามารถอยู่ตามพี่ไปได้อีกหลายวันเลยนะ”เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

ในกลุ่มของพวกเขานั้น เสี่ยวรุยนั้นคือคนที่อายุน้อยที่สุด น้อยชนิดที่ว่าแทบจะอยู่คนละรุ่นกันเลย ถึงเขานั้นจะยังติดเล่นอยู่บ้างแต่เขาก็รู้ดีว่าอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำ

“ฮ่าฮ่า เอาจริงๆเลยนะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสอนนายจีบสาวยังไงดีนะเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“พี่สามก็อย่าถ่อมตัวไปเลย พี่นะไม่ได้มีเพียงแฟนสุดสวยอย่างฉือชิงนะ พี่ยังมีแฟนคลับมากมาย บางคนสวยล้ำยิ่งกว่าใครเลยนะ พี่สอนผมสักสองสามอย่างเถอะน่า แค่สองสามอย่างนั่นผมก็ว่าน่าจะพอแล้วล่ะ” เสี่ยวรุยพูดออกมาพร้อมทำท่าอ้อนวอนแบบสุดๆ

“ฉือชิงกับฉันน่ะสนิทกันมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วและ แน่นอนว่าแฟนคลับกับแฟนนั้นยังไงก็ถือได้ว่าต่างกัน หรือจะให้ฉันสอนการทำอาหาร เต้นรำ เล่นกู่จิ้ง ฝึกสัตว์ วาดภาพ หรือทักษะอื่นๆ จนนายมีชื่อเสียงดีล่ะ ฉันสอนได้นะ แต่คำถามคือนายจะไหวรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อเสี่ยวรุยได้ฟังคำร่ายทักษะของซูจิ้งออกมาแล้วก็ได้แต่รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เหมือนกัน เพียงแค่เรียนได้สุดยอดหนึ่งอย่างก็ถือว่าดีมากพอที่จะไล่จีบสาวได้แล้ว

แต่เมื่อเขาคิดอีกทีแล้ว เขาก็ย่อมรู้ตัวเองดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเรียนทักษะพวกนี้ให้ดีได้สักด้านก็ช่างยากยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นการทำอาหาร

ถึงจะกล่าวกันมาว่าการจะกุมหัวใจผู้หญิงได้นั้นต้องกุมท้องเธอให้ได้ก่อน เรื่องนี้ใครๆต่างก็รู้ แต่จะมีผู้ชายสักกี่คนที่สามารถเรียนการทำอาหารได้จนถึงระดับนั้นได้กัน

 

หากว่าเขานั้นต้องการเรียนการทำอาหารถึงระดับกุมท้องของสาวได้ล่ะก็ สงสัยตะเกียงไฟที่แทนจะคุกรุ่นก็คงดับมอดไปก่อนแหงๆ ดีไม่ดีจะไม่ได้อะไรเลยด้วยซ้ำ

“พี่สาม พี่สอนอะไรก็ได้ที่มันง่ายๆหน่อยได้รึเปล่า เอาแค่ระดับต่ำๆก็ได้” เสี่ยวรุยยิ้มออกมา

 

“ฉันไม่มีหรอกนะไอ้ทักษะระดับต่ำแบบที่นายว่าน่ะ แต่…” ซูจิ้งเว้นช่วงคำพูดไว้พักหนึ่งราวกับกำลังตัดสินใจก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ในเมื่อนายนั้นไม่มั่นใจในความสูงของตัวเองเพียงอย่างเดียวแล้วทำไมนายไม่สูงขึ้นล่ะ ฉันช่วยนายได้นะ”

“จริงหรอ” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยสายตาเบิกโพลง หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน ความสูงของคนนั้นใช่ว่าจะบอกว่าอยากสูงก็สูงได้

 

เขาเองก็เคยลองมามากมายหลากหลายวิธีแล้ว มีเพียงวิธีเดียวที่เขานั้นไม่อยากจะลองนั่นก็คือการเรื่อยกระดูกเพิ่มความสูงซึ่งทรมานแบบสุดๆและสามารถเพิ่มความสูงได้เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นในแต่ละรอบ

แต่หากว่าคำพูดนี้ออกมาจากซูจิ้งล่ะก็ ต่อให้เขานั้นไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออยู่ดีเพราะซูจิ้งนั้นสูงหลังจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันอย่างมาก

 

“คุณซู อย่าพูดเล่นน่า คุณจะสูงหลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้ยังไงกัน” เตียนจงยี่หัวเราะออกมา หนุ่มหน้าหล่อที่อยู่ข้างๆเองก็หัวเราะออกมาพลางคิดออกมาว่าซูจิ้งต้องหยอกเพื่อนเขาเล่นอย่างแน่นอน วิธีการเพิ่มความสูงแบบนั้นเป็นเพียงแค่คำลวงโลกเท่านั้นเอง

“ต่อให้ในโลกนี้นั้นไม่มีใครทำได้ แต่พี่สามของฉันทำได้อย่างแน่นอน ตอนที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายหลังเรียนจบนั้นพี่สามของผมสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบหน่อยๆเองนะ แต่ดูเขาตอนนี้สิเขาสูงตั้งร้อยแปดสิบสามเลยนะ

พี่สาม พี่ต้องมีเคล็ดลับเพิ่มความสูงแน่ๆใช่รึเปล่า” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

“ห้ะ สูงกว่าตอนมหาวิทยาลัยประมาณสิบเซนติเมตรเลยเนี่ยนะ” เตียนจงยี่และชายหน้าหล่ออุทานออกมาพลางไม่เชื่ออย่างจับใจ

 

“คุณไม่เชื่อเหรอ” เสี่ยวรุยเห็นดังนั้นเขาจึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา พลางกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูปที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีจนพบภาพชายสี่คนที่กำลังตั้งท่าถ่ายรูปกันอยู่ ทุกคนนั้นเปลือยหมดจนจรดปลายเท้า มีเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ธรรมดาเท่านั้น

และนั่นคือรูปที่พวกเขานั้นมาถ่ายรูปประชันความสูงกัน ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป

ในรูปเห็นได้ชัดเลยว่าเสี่ยวรุยนั้นตัวสูงกว่าซูจิ้งซะอีก แน่นอนว่าพวกเขานั้นเท้าเปล่ากันหมดจึงเป็นความสูงของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้มีความหนาของรองเท้ามาเกี่ยวข้อง

 

ในตอนนั้นซูจิ้งถึงจะถือได้ว่าสูงอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกันตอนนี้นั้นถือได้ว่าสูงกว่ามาก เห็นได้อย่างชัดเจนเลยเมื่อเทียบกับตัวจริงในตอนนี้สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเมตรเลยทีเดียว แน่นอนว่าเป็นช่องว่างที่ห่างจนหน้าตกตะลึง

ในรูปนั้นซูจิ้งดูเหมือนจะมีดีแค่ความสูงเท่านั้นเอง ส่วนอย่างอื่นนั้นช่างดูธรรมดาสามัญ เมื่อเทียบกับในตอนนี้ที่มีความสูงเกินกว่า 1.8 เมตร ทั้งร่างกายที่ดูเข้ารูปแค่นี้ซูจิ้งก็มีศัตรูเป็นผู้ชายไปครึ่งประเทศแล้ว

นี่ยังไม่รวมอย่างอื่นเช่น หน้าตาที่ดูหล่อเหลาไร้ที่ติ โครงหน้าที่คมสัน ดวงตาที่เปล่งประกาย เพียงช่วงไม่นานมานี้ ซูจิ้งช่างเปลี่ยนไปได้อย่างเหลือเชื่อเลยจริงๆ

เตียนจงยี่และหนุ่มหน้าหล่อนั้นได้มองซูจิ้งเทียบกับรูปถ่ายในโทรศัพท์ ยิ่งเทียบก็ยิ่งรู้สึกถอนหายใจยาวๆออกมาอยู่ในใจ พวกเขาพูดกันว่าผู้หญิงสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ถึงสิบแปดครั้ง ดูเหมือนว่าผู้ชายเองก็สามารถเปลี่ยนไปได้สิบแปดครั้งไม่ต่างกัน

ซูจิ้งได้หยิบกล่องเล็กๆออกมาจากแขนเสื้อโดยทำเหมือนว่าหยิบออกจากกระเป๋าลับ เขายื่นมันให้กับเสี่ยวรุยและพูดออกมาว่า

“ในนี้มีของเหลวอยู่สามขวด หนึ่งขวดนายต้องดื่มให้ได้ในหนึ่งอาทิตย์ ห้ามดื่มมากกว่านั้นเป็นอันขาด หากอยู่ๆนายสูงจนเป็นตัวประหลาดล่ะก็อย่ามาโทษฉันซะล่ะ”

ซูจิ้งนั้นไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าของเหลวสามขวดนี้จะทำให้สูงได้อย่างชัดเจน แต่เขาเองก็ขี้เกียจจะอธิบายเช่นเดียวกัน

 

ขวดยาที่เสี่ยวรุยได้รับมานั้นไม่มีป้ายกำกับใดๆทั้งสิ้น ราวกับว่ามันเป็นยาปลอมๆที่ขายทั่วไปในโลกอินเตอร์เน็ต แต่เสี่ยวรุยนั้นรับมาอย่างหวงแหนราวกับว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว

เตียนจงยี่และหนุ่มหน้าหล่อเองต่างก็คิดว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของซูจิ้งอย่างแน่นอน แต่ทังคู่ก็ยังสงสัยอยู่เต็มหัวใจว่าของเหลวในกล่องเล็กๆแบบนี้จะช่วยให้สูงขึ้นได้จริงๆอย่างนั้นหรือ

ซูจิ้งนั้นที่สูงขึ้นอาจเป็นเพราะว่ากระบวนเจริญเติบโตของเขานั้นอาจจะหยุดช้าเฉยๆก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นการพัฒนาที่เกิดจากการที่เขาไปประสบเหตุอะไรมาเป็นพิเศษที่คนอื่นนั้นยากที่จะเกิดซ้ำได้ นั่นก็เพราะว่าไม่มีทางที่ผู้ใหญ่จะสามารถสูงต่อได้อย่างได้แน่นอน