GGS:บทที่ 903 สารอาหาร
หลังจากนั่งกันคุยกันต่ออีกพักใหญ่ เสี่ยวรุยก็ได้จากไปพร้อมกับยาประหลาดที่ซูจิ้งให้เขาไป
ซูจิ้งกับไปยังบริษัทพร้อมกับเตียนจงยี่เพื่อเซ็นสัญญา หลังจากนั้นเขาก็ทำการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินพร้อมบอกให้ขั้นทำการเพาะเมล็ดและปลูกในทันทีเท่าที่จะทำได้
“ว่าแต่ คุณซูจะให้อะไรแก่เฟิงเย่เหม่ยกันเหรอครับ มันไม่ใช่ของอย่างว่าจริงๆเหรอ ถ้าพวกเราคุยกับเธอดีๆล่ะก็ผมเชื่อว่าเธอจะเห็นด้วยกับข้อตกลงของเราแน่นอน
ยังซะด้วยฤดูกาลนี้ล่ะก็ยังไงซะผมเชื่อว่าการที่เราปลูกข้าวพวกนี้ให้เร็วที่สุดยังไงก็ดีกว่า และนาข้าวที่เราเช่าไว้เองก็ช่างน้อยนิด
หากได้นาข้าวที่เฟิงเย่เหม่ยถือครองไว้ล่ะก็ ผมมั่นใจอยู่ดีว่าหากเราได้ที่พวกนั้นมาปลูกข้าวสีน้ำเงินล่ะก็ย่อมเร่งผลผลิตที่เราจะได้อย่างแน่นอน” เตียนจงยี่พูดออกมา
“ฉันก็บอกแล้วนี่นาว่าไม่ใช่เรื่องอย่างว่า เชื่อกันมั่งสิ แต่ว่าฉันรับประกันได้อย่างแน่นอนว่าหลังจากเธอได้ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วฉันมั่นใจว่าเธอนั้นจะส่งมอบที่ดินของเธอแต่โดยดี”
เมื่อได้ยินที่ซูจิ้งพูดออกมา เตียนจงยี่เองที่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเหมือนกัน ที่ทำได้ก็เพียงแค่เงียบนิ่งไป พลางคิดไปว่าไม่ว่าซูจิ้งจะเอาอะไรให้เธอผู้นั้นก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับความสุขที่ผู้ชายมอบให้ผู้หญิงได้อย่างแน่นอน นี่เขาไร้เดียงสาในเรื่องอย่างว่าไปรึเปล่าเนี่ย
“นายรีบๆไปจัดการเรื่องข้าวสีน้ำเงินเหอะน่า ทำเท่าที่ทำได้ไป หากว่ามีปัญหากับหน่วยงานท้องถื่นล่ะก็มาบอกฉันได้ ถ้ามีใครยินดีที่จะขายที่นาก็เสนอราคาสูงๆได้เลย ฉันว่าพวกเขานั้นยินดีที่จะขายอย่างแน่นอน”
ซูจิ้งได้พูดออกมาเพราะเขาเองก็หวังที่จะได้ปลูกข้าวให้ทันในฤดูนี้เช่นเดียวกัน และเขาอยากจากขยายพื้นที่เพาะปลูกนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าข้าวสีน้ำเงินนี้จะเพาะปลูกได้สองครั้งต่อปีก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะเสียเวลารอไปอีกครึ่งปีโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน
สำหรับชาวนาทั่วไปแล้วพวกเขานั้นไม่ได้สนเวลาครึ่งปีนี้สักเท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะว่าการที่พวกเขาปลูกข้าวในฤดูกาลที่เหมาะสมย่อมได้ผลกำไรดีกว่าปลูกข้าวทั้งปีตั้งหลายเท่า
แต่กับซูจิ้งนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นและสำหรับเขาแล้วครึ่งปีนี้ถือได้ว่านานเกินไปที่จะรอ
ถึงแม้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาจะยกระดับแล้วจนกระทั่งรับขยะห้วงเวลาฯมากกว่าตอนแรกได้หกเท่าแล้วก็ตาม
แม้ตอนนี้เมื่อยกระดับเป็นระดับหนึ่งจนมีมิติป้องกันแล้วก็จริงแต่เขาเองก็หาได้วางใจได้ไม่ นั่นก็เพราะว่าการคงอยู่ของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้มีค่าเทียบเท่ากับว่าโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้ว
ในอนาคตอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ติดมาพร้อมขยะห้วงเวลาฯ ที่ทรงพลังพอที่จะทำลายมิติป้องกันและสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ของเขาได้อย่างง่ายดาย
หากเวลานั้นมาถึงแน่นอนว่าเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงที่ยากเกินกว่าจะแก้ไขได้ มีเพียงการยกระดับไปขั้นสองเท่านั้นที่เขาจะพอวางใจได้บ้าง
“ไม่ต้องกังวลครับ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง” เตียนจงยี่ใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่หัวของตัวเองอย่างเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่สั่งสมมา
ตราบที่ได้รับการสนับสนุนจากซูจิ้ง เขาเชื่อว่าภายในระยะเวลาอันสั้นนั้นพวกเขาจะต้องมีที่นาจำนวนมากชนิดที่ว่าที่นาที่เฟิงเย่เหม่ยถือครองอยู่ก็ไม่อาจสู้ได้
หลังจากพูดจบเขาก็รีบไปดำเนินการเรื่องนี้ในทันที
หลังจากกลับมาบ้าน ซูจิ้งได้ขี่อินทรีย์ทองของเขาไปยังเกาะทะเลทรายในทันที เขานั้นได้มายังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยดอกบานเช้าอยู่เป็นทุ่ง
ตอนแรกนั้นเขาเองก็คิดเพียงว่าดอกบานเช้าพวกนี้เป็นดอกไม้ธรรมดาเลยคิดว่าจะถอนรากถอนโคนพวกมันซะ แต่ในใจของเขาเองก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ของธรรมดาอยู่ดี เขาเชื่ออยู่ในใจลึกๆว่ามันต้องมีผลพิเศษอะไรบางอย่างที่เขานั้นยังหาไม่พบ และนั่นทำให้เขาได้พบหนึ่งในสุดยอดต้นไม้เลยทีเดียว
รากของดอกบานเช้าพวกนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยดินจอมเขมือบทำให้พวกมันโตได้รวดเร็วกว่าแต่ก่อน รากของมันในตอนนี้ครอบคลุมพื้นที่ไปกว่าหนึ่งร้อยตารางเมตร ขนาดของรากพวกมันบางส่วนนั้นมีขนาดใหญ่มากกว่าสิบเซนติเมตร ลำต้นที่อวบน้ำ กิ่งก้านที่เขียวและพันเกลียวราวกับงูเขียวเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเถาวัลย์พวกนี้นั้น แม้แรกเห็นจะดูเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดูรื่นรมย์ สงบนิ่ง จนเพลิดเพลินสบายตา แต่จริงๆแล้วนั้นพวกมันสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตได้ด้วยเถาวัลย์พวกนี้
มีหมูป่าตัวหนึ่งที่พึ่งจะตายไปและกำลังถูกรากลงไปในดิน ในดินนั้นเต็มไปด้วยกระดูกของสิ่งมีชีวิตที่รากพวกนี้เลื้อยผ่านไป
หมูป่าพวกนี้เองก็เป็นซูจิ้งเองที่เป็นคนพามานั่นก็เพราะว่าพวกมันนั้นแพร่พันธุ์กันได้อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเหตุที่มีเถาวัลย์ดอกบานเช้านี้อยู่ทำให้พวกมันนั้นไม่ได้เพิ่มมากขึ้นอย่างที่คิด
เอาจริงๆนั้นมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่กลายเป็นอาหารของเสือของเขา ส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่เสร็จเจ้าดอกบานเช้านี้กันไปหมด
“นี่ถ้าฉันปล่อยให้เจ้านี้โตในดินบนโลกนี้ล่ะก็ ต่อให้ผ่านไปยี่สิบปีก็ไม่มีทางกลายเป็นแบบนี้แหงๆ ดีจริงๆที่ตัดสินใจใช้ดินจอมเขมือบไม่อย่างนั้นล่ะก็ฉันคงรอไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว
แต่นี่ก็ยังถือว่าช้าเกินไปอยู่ดีแหะตามข้อมูลในห้วงเวลาฯที่เจ้านี่จากมาบอกไว้ว่าต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปีกว่าจะก่อรูปเป็นร่างมนุษย์อย่างนั้นหรอ อืมมมม หรือฉันจะใช้กะโหลกนั้นดีนะ”
คิดได้ดังนั้น ซูจิ้ง จึงได้หยิบเอากล่องไททาเนียมอัลลอยด์ออกมา เขาทำการเปิดกล่องไททาเนียมทั้งสิบชั้นจนเจอกับกะโหลกใบนั้น
เอาจริงๆเขาเองก็อยากจะลองอะไรหลายๆอย่างกับกะโหลกนี่พอสมควรเลย
ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องดังก้องกังวาลไปทั่วฟ้า นั่นเป็นเสียงของนกโจรสลัดนั่นเอง นอกจากนั้นยังมีฝูงค้างคาวฝูงใหญ่บินออกมาจากป่า และเสียงเสือที่พุ่งออกมาจากป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อทั้งหมดนั้นเห็นว่าเป็นซูจิ้ง พวกมันจึงได้รีบพุ่งเข้ามาหาซูจิ้งในทันที แต่ทันทีที่พวกมันเข้ามาก่อนที่จะถึงซูจิ้งในระยะห่างเกือบๆห้าไม่ก็หกเมตรเห็นจะได้
ทุกตัวก็ได้หยุดนิ่งลง แม้แต่อินทรีย์ทองเองก็ได้ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ สายตาของทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังกะโหลกใบนั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกสัตว์นั้นมีสัญชาตญาณที่ดีกว่ามนุษย์ และแน่นอนว่ามันได้กลิ่นอายแห่งความอันตรายได้เช่นเดียวกับซูจิ้งลอยไปแต่ไกล
“อย่ากลัวไปเลยน่า” ซูจิ้งพูดออกมาพลางปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาให้บรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาสงบอารมณ์ลง หลังจากพวกมันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกน็ได้กรูเข้าไปคลอเคลียซูจิ้งในทันที แต่ก็ยังทิ้งห่างออกจากกะโหลกนั่นในระดับหนึ่ง
“พวกแกมาได้จังหวะกันพอดีเลยนะเนี่ย ราชาค้างคาวและนกโจรสลัด พวกแกไปจับปลาเขี้ยวหยกกับปลาในทะเลมาให้ฉันหน่อยสิ เอาแบบมากที่สุดเท่าที่จะมากได้นะ” ซูจิ้งพูดออกมาทั้งสองจึงได้รีบพาพวกพ้องของตนเองไปจับปล่าอย่างไว
“จินน้อย อาฮวง แกสองตัวไปจับหมูป่ามาให้เยอะๆนะ” ซูจิ้งพูดออกไปทำให้อินทรีย์ทองและเสือจีนใต้พุ่งตัวออกไปในทันที ด้วยการที่นี่เป็นเขตแดนของพวกมัน พวกมันย่อมรู้ดีว่าหมูป่าเหล่านั้นอยู่ที่ไหนบ้าง
ซูจิ้งได้จัดการเตรียมที่ทางในทันที เขานั้นแน่นอนว่าไม่ยอมจะให้เถาวัลย์ของต้นดอกบานเช้าของเขาได้เสี่ยงมากจึงไม่ได้ใช้เถาวัลย์อันใหญ่แต่อย่างใด
ในครั้งนี้เขามาเพื่อที่จะทดลองเท่านั้น เขาอยากจะรู้ว่าถ้าลองใช้พลังจากหัวกะโหลกนี่จะต้องเตรียมพลังงานสำรองในสิ่งมีชีวิตไว้เท่าไหร่
เขานั้นรู้ดีว่ายังไงซะสิ่งมีชีวิตพวกนี้ต้องโตขึ้นอย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือมันจะต้องใช้พลังงานเพื่อรองรับการเร่งการเจริญเติบโตเหล่านั้น
ดอกบายเช้านี้ก็กินไปมากมายต่อให้เร่งโตไปยังไงก็สมควรที่จะต้องการพลังงานในการเติบโตเพิ่มเติมอยู่ดี
ก่อนที่จะทำการทดลอง ซูจิ้งได้คัดเลือกต้นไม้ที่จะทำการทดลองก่อน เขาตรงเข้าไปใช้แขนของตัวเองพันเกี่ยวกับเถาวัลย์ส่วนหนึ่งและทำการดึงออกมาทำให้เถาวัลย์ส่วนอื่นนั้นถอยร่นหนีไปในทันที ถึงแม้ว่าเถาวัลย์พวกนี้จะแข็งแรงขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางดิ้นรนออกมาจากมือของซูจิ้งได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
ซูจิ้งค่อยถอยออกมาสามก้าวโดยดึงเถาวัลย์ดอกบานเช้าพวกนั้นติดมือมาด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนเถาวัลย์ส่วนอื่นนั้นได้ล่าถอยออกไปเล็กน้อย โดยไม่คิดจะเอาส่วนนั้นกลับมาแต่อย่างใด พวกมันทำได้เพียงสั่นริกๆราวกับเจ็บปวดเท่านั้นเอง
เถาวัลย์ดอกบานเข้าที่ซูจิ้งดึงออกมานั้นก็สั่นระริกอยู่บนมือซูจิ้ง พวกมันพยายามดิ้นรนออกมา แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาทำการขยุมก้อนเถาวัลย์พวกนั้นให้เป็นก้อนก้อน ก่อนที่จะมองไปที่รากของพวกมัน
รากของพวกมันนั้นมีก้อนดินก้อนใหญ่ห่อหุ้มอยู่ นั่นก็สมควรเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของดินจอมเขมือบด้วยเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งนั้นเดินไปหาพื้นที่ว่างๆก่อนที่เขาจะนำก้อนเถาวัลย์นั้นไปฝังเอาไว้ ทันทีที่รากของก้อนต้นบานเช้าแตะลงดิน รากของพวกมันก็ได้รีบฝังลงดินในทึนที
แต่ด้วยการที่ต้นบานเช้าพวกนี้ไม่ได้ฉลาดเท่ากับเต็งเต็ง(ชื่อดอกไม้กิน)พวกมันจึงไม่ได้หนีไปไหน หรือมีความคิดที่จะเลื้อยกลับไปหารังของพวกมันแต่อย่างใด พวกมันทำได้แค่เพียงเติบโตลงบนพื้นที่ตรงนี้เท่านั้น
หลังจากนั้นสักพัก อินทรีย์ทอง นกโจรสลัด ราชาค้างคาวและพวกของมัน และสุดท้ายก็คืเสือจีนใต้ ได้กลับมาจากทิศที่พวกมันจากไป ภายใต้อุ้งเล็บของอินทรียทองนั้นมีหมูป่าตัวใหญ่ยักษ์อยู่ ส่วนเสือจีนใต้ก็ได้ลากหมูป่าตัวที่ใหญ่แต่เล็กกว่าที่อินทรีย์ทองนำมานิดหน่อย และเหล่าค้างคาวและนกโจรสลัดเองก็มีปลาอยู่ในปากของพวกมันตัวละตัว
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันดีกว่า” ซูจิ้งเองนั้นกลัวว่าดินจอมเขมือบที่มีอยู่ที่นี่นั้นจะไม่พอต่อการทดลองเร่งการเติบโตของลูกบอลต้นดอกบ้านเช้านี้ เขาจึงได้นำถึงที่ใส่ดินจอมเขมือบออกมาจากกระเป๋ามิติ หลังจากนั้นก็เทดินจอมเขมือบลงไปบนก้อนดอกบานเช้าและทำการโยนหมูป่าและปลาที่บรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาได้มาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นก็ทำการบังคับกะโหลกเข้าไปใกล้ก้อนดอกบานเช้าในทันที