ตอนที่ 1186 - พัฒนาเพลงกระบ

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  เมื่อปู้หลูยี่กำลังจะเดินเข้าไปในสวนเขาก็ถูกหยุดโดยชั้นพลังเทพบาง ๆ ในทันที
  “หยวนชิง?เจ้าหยุดข้าทำไม?”
  ปู้หลูยี่พูดด้วยความโมโห
  เจิ้งหยวนชิงตอบ
  “ยังไงเขาก็เป็นเทพถ้าเขาฆ่าเจ้าเพราะความหยาบคายของเจ้า เทพกระบี่ก็ล้างแค้นให้เจ้าไม่ได้ เข้าใจไหม?”
  ปู้หลูยี่ยิ่งโกรธแค้นกว่าเดิม
  “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตัวแทนเทพที่เป็นแค่อสูรเนรมิตรจะฆ่าข้าได้!”
  “ปู้หลูยี่ข้าจับกุมเจ้าข้อหาพูดจาไม่เคารพต่อเทพได้นะ คำสั่งเสียของเทพกระเรียนเป็นของจริง ชายคนนั้นเป็นตัวแทนเทพของจริง ถ้าเจ้ายังจะพูดจาดูหมิ่นเทพต่อไป ข้าจำเป็นต้องจับกุมเจ้า!”
  เจิ้งหยวนชิงที่ไม่ชอบความโผงผางของปู้หลูยี่พูดอย่างสุขุม
  เทียบกับซือหยูที่อ่อนน้อมมั่นคง เยือกเย็น และเฉลียวฉลาด ปู้หลูยี่นั้นเป็นขั้วตรงข้าม
  ปู้หลูยี่ได้ยินดังนั้นจึงต้องถอยเพราะเขารู้ว่าเจิ้งหยวนชิงเป็นสตรีที่ยึดตามหลักการแม้นางจะดูสงบเสงี่ยมก็ตาม
  ถ้าเขายังคงทำแบบนี้ต่อไปเจิ้งหยวนชิงอาจจะจับกุมเขาจริง ๆ
  “ฮื่ม!”
  ปู้หลูยี่เดินกลับด้วยความแค้น
  เจิ้งหยวนชิงพูดอย่างจริงจัง
  “การใส่ร้ายถ้อยคำรุนแรง และพูดให้เทพเสียชื่อเสียงเป็นสิ่งผิดมหันต์! เจ้าที่เป็นผู้คุมกฎอาวุโสควรจะรู้ดีกว่าใคร!”
  คำพูดของนางยิ่งทำให้ปู้หลูยี่โมโหร้ายกว่าเดิม!
  เขาไม่ชอบใจเพราะอสูรเนรมิตรต้อยต่ำข้ามหน้าข้ามตาตัวเอง
  พ่อของเขาคือเทพกระบี่หนึ่งในสามเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตร
  ปู้หลูยี่ที่เป็นเซียนขั้นสูงสุดมีพลังลำดับสองในหมู่ลูกหลานเทพด้วยกันเขาเป็นรองแค่เจิ้งหยวนชิงเท่านั้น
  ดังนั้นเขาจึงคิดว่าซือหยูเทียบเขาไม่ติดเลย
  แล้วทำไมเขาถึงต้องเคารพซือหยูเล่า?
  เขามิอาจยอมรับความจริงนี้ได้
  เมื่อเห็นเช่นนี้เจิ้งหยวนชิงถอนหายใจในใจ
  ‘ก็ได้ข้าควรปล่อยให้ปู้หลูยี่ได้รับบทเรียนจากการพ่ายแพ้เสียบ้าง’
  นางคิด
  “เราจู่โจมเทพไม่ได้ด้วยฐานะลูกหลานเทพแต่เจ้าเป็นหนึ่งในเก้าผู้คุมกฎในหอพันธมิตร เจ้ามีสิทธิพิเศษ!”
  เจิ้งหยวนชิงพูดช้าๆ
  คำพูดของนางได้ทำให้ปู้หลูยี่ที่กำลังโกรธจัดคิดได้
  ผู้คุมกฎอาวุโสสามอันดับแรกจะถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้คุมกฎในหอพันธมิตรแม้จะไม่มีพลังในการบริหารพันธมิตรจริง ๆ พวกเขาก็ได้รับสิทธิพิเศษเช่นเดียวกับผู้คุมกฎในหอพันธมิตร!
  ซึ่งในสิทธิพิเศษเหล่านั้นก็มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ไม่โดดเด่นเท่าใดนักมันคือสิทธิ์ที่จะให้ผู้คุมกฎท้าประลองเทพหนึ่งคนได้ในทุก ๆ สามปี
  นี่เป็นกฎที่เทพร้อยคนตั้งขึ้นมาพร้อมกับการก่อตั้งพันธมิตรเทพที่ถูกท้าประลองงจะปฏิเสธไม่ได้นอกเสียจากจะอยู่ในต่างแดน
  แต่ทุกคนรู้ดีว่ามันพิลึกเพียงใดในการประลองกับเทพต่อให้ว่าที่เทพก็ไม่ได้อะไรจากการต่อสู้กับเทพ
  เพราะระยะห่างระหว่างพลังนั้นกว้างเกินไปผู้ท้าประลองจะพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มสู้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับประสบการณ์ที่ดีในการต่อสู้กลับมา
  ดังนั้นสิทธิ์ข้อนี้จึงแทบจะถูกลืมไปแล้ว
  หลังจากเจิ้งหยวนชิงชี้ลู่ทางปู้หลูยี่จึงจำสิทธิ์นี้ได้ในทันที เขายิ้มอย่างเยือกเย็น
  “ท้าประลองเทพรึ?หึหึ! ข้าจะเป็นคนแรกที่ใช้สิทธิ์นี้!”
  ใบหน้าเขากำลังตื่นเต้น
  ไม่เคยมีใครใช้สิทธิ์ประลองกับเทพมาก่อนดังนั้น เทพหลายคนจะต้องมาชมการต่อสู้นี้แน่
  หากปู้หลูยี่เอาชนะเทพได้เขาจะถูกเทพมากมายชื่นชม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ
  เจิ้งหยวนชิงแอบถอนหายใจเมื่อมองปู้หลูยี่ที่กำลังเพ้อฝัน
  ‘ขอให้ซือหยูเมตตาเขาบ้างอย่าให้เขาดูแย่เกินไปนักเลย!’
  นางคิด
  …
  ด้านในตำหนักการตีสมบัติภูติกำลังดำเนินไปตามลำดับขั้น
  เพื่อที่จะเปลี่ยนสมบัติภูติชั้นต่ำให้กลายเป็นชั้นกลางหวังยุ่นเสวียนต้องจ่ายหนัก
  เขาเติมวัตถุดิบล้ำค่ามากมายลงไปแม้กระทั่งวัตถุดิบที่หาไม่ได้ตามท้องตลาดก็เข้าไปหลอมรวมกับกระบี่
  แต่มันก็ยังไม่พอวัตถุดิบหลักคือไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ ซึ่งมันตัดสินระดับของสมบัติภูติตั้งแต่ก่อนตีอยู่แล้ว
  ไม่ว่าหวังยุ่นเสวียนจะเชี่ยวชาญการตีกระบี่เพียงใดเขาก็มิอาจขัดต่อกฎธรรมชาติได้
  แต่หวังยุ่นเสวียนยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความท้าทายนี้
  สุดท้ายเขาใช้พลังสายโลหิตของตัวเอง!
  สายโลหิตเทพอุปกรณ์!
  โลหิตของลูกหลานเทพอุปกรณ์สามารถใช้เพิ่มระดับของวัตถุดิบได้
  แต่โลหิตเทพประเภทนี้ไม่สามารถทดแทนกันได้!
  ยิ่งสายโลหิตของเขาบริสุทธิ์น้อยลงเท่าใดหวังยุ่นเสวียนก็มีโอกาสเป็นเทพอุปกรณ์คนใหม่ได้ยากเท่านั้น
  แต่ดูเหมือนว่าหวังยุ่นเสวียนจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยเขาตีสมบัติต่อไปด้วยโลหิตเทพของตัวเอง นั่นทำให้ซือหยูตกใจเป็นอย่างมาก
  ‘ช่างฝีมืออื่นใช้พลังทำงานให้สำเร็จแต่เจ้ากำลังใช้ชีวิตของเจ้าเองเพื่อตีกระบี่!’
  ซือหยูคิด
  แม้หวังยุ่นเสวียนจะเป็นปรมาจารย์เขาก็ต้องใช้เวลานานในการตีสมบัติภูติขั้นกลางเก้าชิ้น
  สิบห้าวันต่อมาการตีกระบี่เสร็จสิ้น
  หวังยุ่นเสวียนดึงกระบี่ทั้งเก้าเล่มออกมาจากวารีที่เย็นยะเยือก
  กระบี่นี้ดูเหมือนกับกระบี่ของซือหยูตามเดิมรูปร่างของมันไม่ได้เปลี่ยน
  แต่ที่คมปลายกระบี่นั้นมีรอยสีแดงบางๆ ที่คล้ายกับโลหิตของเหยื่อที่ได้ลิ้มรสคมกระบี่
  กระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ที่มักจะส่องแสงประกายในตอนนี้ดูต่างออกไป
  เมื่อซือหยูจับด้ามกระบี่เขาถึงกับรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของกระบี่ ราวกับว่ากระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ได้มีชีวิต
  “สมบัติภูติชั้นกลางมีปัญญาหากดวงวิญญาณเต็มใจหลอมรวมกับกระบี่และเป็นจิตวิญญาณสมบัติ ระดับของกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์จะเพิ่มขึ้นจนเป็นสมบัติภูติชั้นสูง!”
  ซือหยูรู้ว่าคนธรรมดาจะไม่มีวันเป็นจิตวิญญาณสมบัติเพื่อที่จะเพิ่มพลังให้กับสมบัติภูติแน่
  แต่กระบี่ภูติขั้นกลางก็เพียงพอสำหรับซือหยูแล้ว
  เขาเคยสังหารเซียนขั้นสองด้วยกระบี่ในตอนที่ยังเป็นสมบัติภูติชั้นต่ำ
  ดังนั้นเขาจึงยังไม่รู้พลังที่แท้จริงของเพลงกระบี่เก้าสุริยาเมื่อกระบี่เป็นสมบัติภูติชั้นกลาง
  “น่าสนุกยิ่งนัก!ว่าที่เทพสำนักนรกจะต้องตายแน่!”
  หวังยุ่นเสวียนพูดอย่างคาดหวัง
  “ไม่เหมือนกับว่าที่เทพจากพันธมิตรว่าที่เทพสำนักนรกแข็งแกร่งกว่าเยอะ! ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะสังหารด้วยเพลงกระบี่ได้ในทันทีหรือไม่!”
  ซือหยูตอบด้วยรอยยิ้ม
  “ข้ารู้ว่ามันจะต้องไม่ง่าย!ข้าไม่เคยประมาทพวกมัน!”
  โลกเสี้ยววิญญาณที่เป็นศูนย์รวมทรราชย์จากโลกต่างๆ จะต้องเป็นสถานที่ไร้กฎเกณฑ์และเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง คนที่กลายเป็นว่าที่เทพได้จะต้องแข็งแกร่งมาก!
  “ฮ่าๆๆๆๆ!การเอาชนะศัตรูที่ท้าทายมันน่าตื่นเต้นเสมอนั่นแหละ!”
  หวังยุ่นเสวียนพูดด้วยความตื่นเต้นจากนั้นเขาหันไปหาศิษย์หัวล้านของเขา
  “บอกแขกพรุ่งนี้ว่าข้าเดินทางไปธุระและจะไม่ตีอะไร!”
  หา?ศิษย์ของเขาถาม
  “ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
  “ข้าจะตีอาวุธที่จะใช้สังหารว่าที่เทพได้ต่อไป!ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าเรื่องนี้แล้ว!”
  หวังยุ่นเสวียนอาสาช่วยซือหยูโดยไม่สนว่าซือหยูจะยินยอมหรือไม่
  เมื่อได้ฟังซือหยูที่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาจนแทบคลั่งรีบพยักหน้า
  “ตระกูลเทพกระเรียนต้องเตรียมวัตถุดิบจำเป็นทั้งหมดข้าจะตีมันขึ้นมากับผู้ช่วยอีกหลายคน!”
  หวังยุ่นเสวียนชี้ไปยังคนด้านหลังเขาแต่คังเตี้ยยี่ไม่ได้รวมอยู่ด้วย
  ซือหยูพูด
  “เจ้าเอาคนผู้นั้นไปด้วยได้ไหม?”
  หวังยุ่นเสวียนหันไปมองคังเตี้ยยี่
  “เขาเป็นหน้าใหม่ที่ฉลาดก็ได้! ข้าจะเอาเขาไปด้วย!”
  คังเตี้ยยี่รู้สึกขอบคุณเขาผู้คุมกฎอาวุโสอยู่แค่หน้าประตูเท่านั้น มีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะมาเจอ ดูเหมือนว่าซือหยูพยายามปกป้องเขาอยู่
  “รอข้าสักหน่อยข้าจะไปบอกท่านพ่อที่รักข้านักหนา ถ้าไม่ไปบอกข้าก็กลัวว่าเขาจะไปหาตัวข้าที่โลกเทพกระเรียน!”
  หวังยุ่นเสวียนกล่าว
  ซือหยูพยักหน้าเมื่อหวังยุ่นเสวียนไป เขาก็เดินไปที่มุมเงียบ ๆ
  คังเตี้ยยี่รู้สึกได้ว่าซือหยูคิดอะไรเขาจึงเดินไปคุกเข่า
  “ขอบคุณท่านเทพขนนก!”
  “ไม่ต้องหรอกน่า!อย่าไปกังวลเรื่องผู้คุมกฎอาวุโส ข้าจะขอความเมตตาให้เจ้าเอง!”
  ซือหยูพูดด้วยความใจเย็น
  “เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฉินคั่วบ้าง?”
  คังเตี้ยยี่ตอบ
  “ก่อนเดินทางนายน้อยฉินเฟยเฉินพูดบางอย่างกับฉินคั่วโดยที่ไม่มีใครรู้ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน!”
  ซือหยูหรี่ตา
  “ฉินเฟยเฉินรึ?แล้วฉินคั่วสนิทกับเขาหรือไม่?”
  “ถูกแล้ว!ฉินคั่วเป็นคนของตระกูลเทพตำรา เขาอยู่กับฉินเฟยเฉินมาตั้งแต่ยังเล้ก ฉินคั่วคือผู้ติดตามที่ฉินเฟยเฉินเชื่อใจที่สุด ฉินเฟยเฉินเชื่อใจเขามากกว่าข้าเสียอีก!”
  ซือหยูคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดและถาม
  “ทำไมเจ้าถึงถูกส่งไปที่โลกจิวโจวล่ะ?”
  คังเตี้ยยี่ลังเล
  “เราได้รับแจ้งว่าเสี้ยววิญญาณเทพอสูรกำลังก่อเรื่องในธารดาราเราจึงถูกส่งไปตามล่ามัน สุดท้ายเราก็บังคับให้มันไปที่โลกจิวโจว!”
  นี่คือข้ออ้างไร้ที่ติ!
  พวกเขาพยายามช่วยราชาเขตกลางบนโลกจิวโจวด้วยข้ออ้างในการตามล่าเทพอสูรกระดูกโรย!
  “แล้วเทพอสูรกระดูกโรยอยู่ที่ไหน?ใครเป็นคนมอบภารกิจให้เจ้า?”
  ซือหยูถามต่อ
  คังเตี้ยยี่สับสนในคำถามเขาตอบ
  “เทพอสูรกระดูกโรยอยู่ที่หอพันธมิตรว่าที่เทพที่สั่งพวกเราคือผู้คุมกฎคันฉ่อง!”
  ไม่เหมือนกับเจิ้งหยวนชิงและปู้หลูยี่ที่ไม่มีอำนาจจริงในมือผู้คุมกฎคันฉ่องนั้นคือผู้บังคับบัญชาผู้คุมกฎทั้งหมดในพันธมิตร
  ดังนั้นเขาจึงเป็นรองเพียงแค่เทพเท่านั้น
  อย่างที่คิดเลยในพันธมิตรมีหนอนบ่อนไส้
  เทพอสูรกระดูกโรยหรือผู้คุมกฎคันฉ่องจะต้องรู้อะไรบางอย่าง!
  “ไปกันเถอะ!”
  หวังยุ่นเสวียนพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
  เอ๋…ซือหยูสงสัยว่าเทพอุปกรณ์ทำอะไรกับลูกชายของเขาเมื่อซือหยูเห็นสีหน้าของหวังยุ่นเสวียน
  จากนั้นพวกเขาก็ออกจากตำหนัก
  เจิ้งหยวนชิงกับปู้หลูยี่รอพวกเขามาหนึ่งเดือนแล้ว
  เมื่อทั้งสองเห็นซือหยูเจิ้งหยวนชิงทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
  “คารวะเทพขนนก!”
  ปู้หลูยี่ถอนหายใจแรงอย่างอวดดี
  “พวกเรามาที่นี่เพื่อหาคังเตี้ยยี่!มันอยู่ที่ไหน? เอามันมาให้พวกเรา!”
  ซือหยูเมินเขาและมองเจิ้งหยวนชิง
  “แม่นางหยวนชิงข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว!”
  เจิ้งหยวนชิงพยักหน้าจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันตามลำพัง เจิ้งหยวนชิงเปลี่ยนสีหน้าหลายครั้ง สุดท้ายนางก็ถามด้วยความตกใจ
  “เทพอสูรกระดูกโรยถูกผู้คุมกฎอาวุโสกักตัวเอาไว้ชั่วคราวแต่เราจะไปจับผู้คุมกฎคันฉ่องที่อยู่ตำแหน่งสูงเช่นนั้นโดยไร้หลักฐานไม่ได้! เราทำได้แค่ถามเทพอสูรกระดูกโรยเท่านั้น! ข้าจะกลับไปสืบจากเขาเดี๋ยวนี้!”
  จากนั้นเจิ้งหยวนชิงก็เดินกลับไปและพูดกับปู้หลูยี่
  “ไปกันเถอะ!”
  ปู้หลูยี่งุนงง
  “เราจะไม่เอาตัวคังเตี้ยยี่ไปรึ?”
  “ไม่จำเป็นแล้ว!ซือหยูบอกทุกสิ่งที่คังเตี้ยยี่รู้กับข้าแล้ว เราไม่จำเป็นต้องสืบจากเขาต่อไปอีก!”
  เจิ้งหยวนชิงกล่าว
  ปู้หลูยี่ตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าเจิ้งหยวนชิงจะเชื่อใจซือหยูขนาดนี้เขาคิดไม่ออกเลยว่าความเชื่อใจระหว่างเจิ้งหยวนชิงกับซือหยูนั้นมาจากไหน!
  เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้เรื่องความลับเดียวกันของซือหยูและเจิ้งหยวนชิงความลับนี้คือรากฐานในการเชื่อใจกันและกันของทั้งคู่
  ปู้หลูยี่ที่เห็นเจิ้งหยวนชิงเมินคำพูดของเขาไม่พอใจเลย
  เขาทำงานร่วมกับเจิ้งหยวนชิงมาหลายปีแต่เขาก็ได้รับความเชื่อใจจากนางไม่พอ เขาโกรธเพราะเจิ้งหยวนชิงที่เพิ่งได้พบกับซือหยูไม่กี่ครั้งจะเชื่อใจเขาได้มากเช่นนี้! ปู้หลูยี่มิอาจกักเก็บเพลิงพิโรธในอกได้อีกต่อไปแล้ว!
  “ซือหยู!”
  ปู้หลูยี่ตะโกนและจ้องซือหยูอย่างเยือกเย็น
  “ข้าต้องการประลองกับเจ้า!”