“อิอิอิอิ…”
ในมือของหลินเป่ยเฉินถือตรวนคนบาป ใบหน้าของเด็กหนุ่มประดับรอยยิ้มชั่วร้ายขณะพูดว่า “เจ้าคิดว่าผู้ที่รับวิญญาณของเทพีกระบี่เข้าร่างกายมาแล้วนักต่อนักอย่างข้า จะไม่สามารถปลดตรวนโง่งมเช่นนี้ได้หรือ?”
“เจ้า…”
นักบวชสาวฮัวห่วยค่อยๆ ถอยหลังกลับไปด้วยความตื่นตระหนก
แต่นางกลับพบว่าขาของตนเองมีเถาวัลย์รัดพันแนบแน่น
ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินกลับมาเป็นเคร่งเครียดจริงจังอีกครั้ง
สายตาของเขาเย็นชายิ่งกว่าทะเลสาบพันปี
ถ้าเขามาช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว ไม่ทราบเลยว่านักพรตใหญ่หลงเยว่จะต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานมากขนาดไหน
ความผิดครั้งนี้ให้อภัยไม่ได้
เด็กหนุ่มจ้องมองนักบวชฮัวห่วยและคุณชายเฉินจินก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนมุมปาก หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยานคางว่า “พวกเจ้าบุรุษโฉดสตรีชั่วสมควรถูกหั่นเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าพวกเจ้าอยากตายอย่างไร?”
เฉินจินกับนักบวชสาวฮัวห่วยตัวสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว ใบหน้าซีดขาว แววตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
“แต่ทำไมนะ…”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาส่งเสียงหัวเราะเยาะอยู่ในลำคอ “ทำไมข้าต้องปล่อยให้พวกเจ้าตายด้วย? อย่าลืมสิว่าพวกเจ้ายังมีถังอุจจาระทั้งสองใบนั้นรอให้กลับไปรับประทาน ตกลงกันเองก็แล้วกันว่าอยากทานคนละเท่าไหร่ ถ้ารับประทานได้เยอะ ข้าอาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้!”
นักบวชสาวฮัวห่วยและคุณชายเฉินจินตัวสั่นเทายิ่งกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้พวกเขาหัวเราะเยาะความเชื่อของนักพรตใหญ่หลงเยว่ในทำนองที่ว่า ‘ธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ’
แต่ผลกลับปรากฏว่าเวรกรรมตามสนองพวกเขารวดเร็วเหลือเกิน
“เจ้าจะใช้วิธีการต่ำตมเช่นนี้มาลงโทษพวกข้าไม่ได้”
นักบวชสาวฮัวห่วยคำรามออกมาอย่างไม่ยอมแพ้
คุณชายเฉินจินที่เจ็บปวดทรมานจากการถูกตัดขา พูดออกมาด้วยความยากลำบากว่า “เจ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่า เหตุไฉนถึงต้องทำให้พวกเราทรมานและอับอายด้วย จิตใจของเจ้าอำมหิตเกินไปแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนได้รับฟังเรื่องราวตลกที่สุดในโลก
“นี่คือวิธีการที่พวกเจ้าคิดจะใช้กับท่านป้าของข้าก่อน”
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน “ข้าก็แค่ใช้วิธีที่พวกเจ้ากระทำต่อผู้อื่น มากระทำต่อพวกเจ้าเองเท่านั้น… เหอเหอเหอ หากจะโทษว่าเป็นความผิดใครสักคน ก็จงโทษว่าเป็นความผิดของจิตใจอันโหดร้ายอำมหิตของพวกเจ้าเองเถิด”
เฉินจินและนักบวชสาวฮัวห่วยพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
แววตาของพวกเขาหม่นหมองด้วยความหมดหวัง
“ท่านนั่นแหละรับประทาน”
นักบวชฮัวตัวสั่นเทา หันไปขึ้นเสียงใส่คุณชายตระกูลเฉิน “ท่านบอกว่ารักข้ามากมายไม่ใช่หรือ ท่านบอกว่ายินดีทำทุกอย่างเพื่อข้า โอกาสพิสูจน์ความจริงใจของท่านมาถึงแล้ว พิสูจน์ให้ข้าได้เห็นสิ”
เฉินจินกระพริบตาปริบๆ
เหมือนเขาอยากจะถามนางว่า ‘เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?’
ที่เขาบอกว่ายอมทำได้ทุกอย่าง ไม่ได้รวมถึงการรับประทานอาจมพวกนี้เสียหน่อย
“ต้องโทษจิตใจอันร้ายกาจของเจ้ามากกว่า ข้าบอกแล้วว่าท่านนักพรตใหญ่หลงเยว่มีสถานะสูงส่ง ตัวข้าเองเป็นสาวกเทพีกระบี่ที่แท้จริง แม้แต่ในวันที่ข้าตกยากมากที่สุด ข้าก็ยังไม่เคยดูหมิ่นเทพีกระบี่เลยสักครั้ง แต่เจ้ากลับมาขอร้องให้ข้าช่วยทำการลงโทษนักพรตใหญ่หลงเยว่ เพราะเจ้าอยากจะทำให้นางต้องอับอาย… ไม่มีใครจะจิตใจชั่วร้ายไปมากกว่าเจ้าอีกแล้ว ข้านี่มันตามืดบอดจริงๆ ที่สามารถตกหลุมรักเจ้าได้…”
เฉินจินพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น
“แต่ท่าน… ท่านเป็นคนบอกเองนะว่าอยากจะฆ่านาง…”
นักบวชสาวฮัวห่วยคำรามตอบกลับมาด้วยความโกรธแค้นเช่นกัน
เพี๊ยะ!
เฉินจินตบใบหน้านักบวชสาวเสียงดังสนั่น “หุบปากของเจ้าไปเดี๋ยวนี้ อย่าได้กล้าดีมาใส่ความข้าอีก…”
“เฮอะ วันนี้เจ้าจะต้องตายด้วยน้ำมือของข้า”
นักบวชสาวฮัวห่วยพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มผู้เป็นคนรักด้วยความเดือดดาลสุดขีด
แล้วทั้งสองคนก็ต่อสู้กันชุลมุนวุ่นวาย
พวกของหลินเป่ยเฉินได้แต่เป็นฝ่ายยืนงงบ้างแล้ว
เห็นได้ชัดว่าชายหญิงคู่นี้ไม่ได้มีความจริงใจต่อกันเลย
ในโลกนี้ยังมีบุคคลที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่อีกมากมายแค่ไหน?
“ชายโฉดหญิงชั่วเช่นนี้ สมควรแล้วที่ต้องถูกลงโทษด้วยการรับประทานอุจจาระ”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกว่าวิธีการที่เขาจะใช้ลงโทษชายหญิงคู่นี้มีความเหมาะสมดียิ่ง
สายลมพัดผ่านมา
หลินเป่ยเฉินต้องยกมือขึ้นปิดจมูกโดยไม่รู้ตัว
กลิ่นเหม็นชะมัด
รีบจัดการชายหญิงคู่นี้ให้จบๆ ไปซะ แล้วไปจัดการปัญหาอื่นต่อดีกว่า
เด็กหนุ่มย่ำขาซ้ายลงไปบนพื้นหินเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณธาตุไม้และพลังปราณธาตุดินออกมาพร้อมๆ กัน
แล้วกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดนักบวชที่นอนอยู่บนพื้นเพราะโดนเถาวัลย์พันธนาการ ก็ถูกเถาวัลย์และรากไม้เหล่านั้นฉุดกระชากลากไปยังพื้นที่ริมเนินเขา ตรงนั้นเป็นบ่อโคลนขนาดใหญ่ ความกว้างขวางของมันไม่ต่างจากปากของสัตว์ประหลาดที่กำลังอ้ารออาหารให้ตกลงไป…
บรรดาชายฉกรรจ์พยายามดิ้นรนอย่างหมดหวัง
แต่พวกเขาก็ไม่อาจฝืนชะตา สุดท้ายก็ต้องตกลงไปในบ่อโคลนเหล่านั้นหมดสิ้น
ฉับพลันนั้น ปากของบ่อโคลนก็ค่อยๆ เลื่อนปิดเข้ามาหากันราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิต
และแล้ว กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้ดิน
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นักบวชสาวฮัวห่วยและคุณชายเฉินจินถึงกับขนลุกขนชันไปทั่วร่างกาย
พวกเขาไม่สนใจต่อสู้กันอีกแล้ว
เพราะพริบตาต่อมา ทั้งสองคนเห็นว่าพื้นหญ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เกิดเป็นหลุมดินขนาดใหญ่ขึ้นมาภายใต้การควบคุมด้วยพลังปริศนาของหลินเป่ยเฉิน และเมื่อเถาวัลย์กับรากไม้พุ่งเข้ามาหาพวกเขา คุณชายเฉินจินกับนักบวชสาวยอดดวงใจก็ได้แต่ตะเกียกตะกายหลบหนีด้วยความหวาดกลัว
ปู้ด!
ป้าด!
แพร่ดดด!
เกิดเสียงที่แปลกประหลาดดังขึ้น
ปรากฏว่าคุณชายเฉินจินและนักบวชสาวฮัวห่วยหวาดกลัวถึงขนาดที่อุจจาระปัสสาวะพรั่งพรูออกมาแล้ว!
“พวกเจ้าอยากหาอาหารให้ตัวเองเพิ่มอีกหรือไง?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความขบขัน
แม้ว่าคุณชายตระกูลเฉินกับนักบวชสาวจะพยายามหลบหนีเต็มที่
แต่สุดท้าย พวกเขาก็ถูกเถาวัลย์พันธนาการ และฉุดกระชากลากตรงไปยังหลุมดินข้างทาง
“ไม่นะ ไม่…”
เฉินจินพยายามดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต น้ำตาไหลนองใบหน้าขณะส่งเสียงขอร้องอ้อนวอน “ข้ายอมรับประทานอุจจาระเหล่านั้นก็ได้ ข้ายอมรับประทานแล้ว ให้อภัยข้าด้วย…”
“ข้าก็ยอมแล้วเหมือนกัน ข้าจะรับประทานอุจจาระเหล่านั้นเอง”
นักบวชฮัวห่วยซึ่งกำลังถูกลากตรงไปที่หลุมดินส่งเสียงโหยหวนด้วยความหมดหวัง
“ก็ได้”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ายินยอม
คู่รักชายโฉดหญิงชั่วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่ในลมหายใจต่อมา พวกเขาก็พบว่าตนเองตกลงมาอยู่ในหลุมดินแล้ว ที่สำคัญก็คือเถาวัลย์และรากไม้จำนวนหนึ่งกำลังยกถังอุจจาระทั้งสองใบนั้นลอยขึ้นมาในอากาศอยู่เหนือปากหลุม และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกมันกำลังคว่ำถังไม้เพื่อเทของเหลวที่บรรจุอยู่ในนั้นลงมาข้างล่าง…
“อย่านะ…”
“ไม่”
ชายหนุ่มหญิงสาวร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้เลย
การโดนเถาวัลย์และรากไม้ฉุดกระชากลากลงหลุมดินมาเมื่อสักครู่ ทำให้กระดูกทั่วร่างกายของพวกเขาแตกหักเกือบหมดสิ้น บัดนี้ เฉินจินกับนักบวชฮัวแทบไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกแล้ว
ของเสียที่อยู่ในถังไม้จึงเทราดลดลงมาที่ร่างของพวกเขา…พื้นดินโดยรอบดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาในพริบตา พวกมันค่อยๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา และสุดท้ายก็ฝังคู่รักชายโฉดหญิงชั่วลงไปใต้ดินทั้งเป็น
ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาจากใต้ดินอีกแล้ว
“เฮ้อ ทำไมพวกเจ้าไม่รีบรับประทานเข้าไปนะ”
“ก่อนตายก็น่าจะทำความปรารถนาให้เป็นจริงสักหน่อยสิ”
“ถือว่าเอาไปกินในยมโลกก็แล้วกันเนอะ”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเหมือนเสียดายอะไรบางอย่าง เมื่อเขาสลายการควบคุมด้วยพลังปราณธาตุดิน พื้นดินที่อ่อนตัวเมื่อสักครู่นี้ ก็กลับมาแข็งกระด้างเหมือนเดิมอีกครั้ง
สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มประหลาดใจก็คือเฉินจินมีฝีมืออ่อนด้อยมากเกินไป
ทั้งที่ก็มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลายแล้วแท้ๆ
ช่างอ่อนแอเหลือเกิน
แล้วคนแบบนี้เนี่ยนะเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้านักบวชประจำวิหารเมืองเจาฮุยคนปัจจุบัน?
แค่มองลูกศิษย์ก็เห็นไปถึงอาจารย์แล้ว
และเป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าหัวหน้านักบวชคนปัจจุบัน ก็เป็นนักบวชรุ่นใหม่เช่นกัน?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวข้างหน้าก็คงคลี่คลายได้ไม่ยากอย่างที่คิด
คิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็หันกลับมาพูดว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อน… ข้ามีเรื่อง…”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ต้องสบถออกมาด้วยความตกใจ
เพราะว่านักพรตใหญ่หลงเยว่ซึ่งมีร่างกายบาดเจ็บสาหัสจากการถูกทรมานอยู่ไม่กี่อึดใจก่อน บัดนี้บาดแผลบนร่างกายได้สมานหายดีแล้ว แผลเป็นที่อยู่ตามจุดต่างๆ ก็สลายหายไป แม้แต่คราบเลือดบนใบหน้าก็ไม่มีให้เห็น ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ไม่เคยมีอยู่จริง…
แม้แต่ใบหน้าของหญิงชราก็กลับมามีเลือดฝาดสมบูรณ์แข็งแรง
ดูเหมือนว่าหญิงชรารับประทานยาลูกกลอนของพวกเขาไปเพียงไม่นาน ก็กลับมามีพลังเต็มอัตราอีกครั้ง
ทำไมถึงฟื้นตัวได้รวดเร็วเสียจริง?
แต่ไม่กี่ลมหายใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็ได้รู้คำตอบ
หลังจากปลดตรวนคนบาปออกมาแล้ว นักพรตใหญ่หลงเยว่ก็สามารถกลับมาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนเดิม นางเป็นนักพรตใหญ่ซึ่งมีผู้ศรัทธาอยู่เป็นจำนวนมาก พลังศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วมากที่สุด นักพรตใหญ่หลงเยว่จึงใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น อาการบาดเจ็บทั้งหมดก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง…
“โอ้โห ท่านป้าขอรับ บนใบหน้าไม่มีรอยตีนกาเลยนะเนี่ย ท่านดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมอีกหลายร้อยปีจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะนี้รีบประจบทันที
หวังจงที่ยืนอยู่ด้านข้างแทบจะทนไม่ไหว เพราะถ้อยคำประจบเอาใจของนายน้อยนั้น ช่างไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย
แต่นักพรตใหญ่หลงเยว่คุ้นเคยดีกับนิสัยของเด็กหนุ่ม จึงไม่ได้ถือสาเขาแต่อย่างใด
หญิงชรายิ้มแย้มอย่างมีเมตตาและกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้าแล้ว ที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากมาก แต่พลังปราณธาตุที่อยู่ในตัวเจ้านั้นน่าประทับใจเหลือเกิน มันทำให้ข้าอยากรู้แล้วว่าเจ้าอ่านตำราเทพเจ้าไปถึงระดับไหน…”
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินยืนยิ้มรับคำชมเชยอย่างมีความสุข
แต่ตอนหลัง เขาถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของนักพรตใหญ่หลงเยว่นั้นไม่ถูกต้อง
ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตนเองถูกตรวจการบ้านอย่างไรชอบกล?
เขาไม่ใช่อากวงสักหน่อย
“ท่านป้าขอรับ ไม่มีเวลาใดจะเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว …เอ่อ พวกเรารีบช่วยกันกำจัดหัวหน้านักบวชประจำวิหารเมืองเจาฮุยกันเลยดีหรือไม่ เราต้องแก้ไขปัญหาใหญ่ที่สุดก่อน…”
เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องพูดโดยเร็ว
นักพรตใหญ่หลงเยว่มีสีหน้ากลับมาเป็นจริงจังมากขึ้น
“เรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิด ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหัวหน้านักบวชเด็ดขาด…”
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าเคร่งขรึม
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย