[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 44 การเก็บค่าเช่าของเจ้าบ้าน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

โชคร้ายจริงๆ แค่มาเดินตลาดก็ยังถูกหลี่ซื่อหมินจับได้ เมืองหลวงกว้างขนาดนี้แค่หลบเขาได้ก็เรียบร้อยแล้วแท้ๆ แต่ดันมาเจอฮ่องเต้จนได้ ดีที่หลี่ซื่อหมินยังพอไว้หน้าอยู่บ้างจึงตำหนิเมื่ออยู่ด้วยกันแค่สองคน ฟังหลี่ซื่อหมินพูดเกี่ยวกับเรื่องราวของวีรบุรุษแห่งปี ก็เหมือนกับการทรมานที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง มีอยู่หลายจุดที่คิดไม่ออก ในตอนที่อยู่บนเกาะหัวเสือ ทั้งที่บริเวณไหล่ได้รับบาดเจ็บถูกค้อนทุบจนไหล่แตก ทว่าเขาก็ยังสามารถใช้หอกทำให้ศัตรูอยู่ใต้ม้าได้ ทั้งที่ขาของม้าถูกผู้อื่นใช้ดาบฟันไปหนึ่งข้าง ทว่าเขากลับยังสามารถขี่ม้าสามขาเข้ายึดธงไว้ได้

 

รู้ว่าเขาพูดเกินจริงเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยก็เคยทำเรื่องแบบนี้เช่นกัน ตอนที่โดนปลาหวงฮวาตกใส่หัวจนเป็นลมก็กลับบอกไปว่าเป็นปลาฉลามตัวใหญ่ ดังนั้นจึงเข้าใจหลี่ซื่อหมินเป็นอย่างมาก เขาไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องไร้สาระมากนัก ต้องเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ต่อหน้าข้าราชบริพาร ต้องเป็นพ่อที่เข้มงวดต่อหน้าเหล่าองค์ชาย ต้องเป็นสามีผู้น่าหลงใหลต่อหน้าจั่งซุน แต่อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านางสนมเขาจะเป็นอย่างไร หากรู้เข้าคงถูกหั่นแยกเป็นสองส่วน…

 

อวิ๋นเยี่ยกล่าวต่อหน้าเขาว่าคนที่อายุน้อยกว่านั้นสามารถทำได้ ส่วนคนที่รุ่นราวคราวเดียวกันนั้นมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะทำได้เช่นนั้น สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือเด็กคนนี้มีทั้งความรู้ความเข้าใจ แน่นอนว่าการที่คุยโม้อยู่คนเดียวนั้นไม่เหมาะสม แต่จะมีความสุขเป็นอย่างมากเมื่อมีผู้สนทนาถามตอบโต้เป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยถามรายละเอียด หลี่ซื่อหมินก็จะเตรียมพร้อมอย่างดีที่จะพูดถึงรายละเอียดในส่วนนั้น พูดคุยกันได้อย่างเข้าด้ายเข้าเข็มจนเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เมื่อเด็กๆ พากันหลับหมดแล้ว หลี่ซื่อหมินก็โบกมืออย่างสดชื่นเตรียมตัวกลับวัง เขาได้พึมพำพูดเบาๆ ในตอนท้ายว่าหากกล้าลักลอบเข้ามาในฉางอันอีกจะถูกตัดขา

 

หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยอย่างชื่นชม มีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถคุยโม้กับเสด็จพ่อของเขาได้ เวลาที่เขาเห็นพ่อตัวเองทุกครั้งก็จะตัวสั่น ไม่เคยมีความกล้าเช่นนี้เลย…

 

“ชิงเชวี่ย เสด็จพ่อของเจ้าฆ่าศัตรูอย่างกล้าหาญบนม้าศึกสามขาได้อย่างไร” หลังจากที่ส่งฝ่าบาทไปแล้ว หลี่ไท่ที่กำลังจะกลับไปที่สำนักศึกษากับอวิ๋นเยี่ยก็ได้กลายเป็นที่ระบายของเขา

 

“ก็ไม่ได้มีอะไร ขนาดเจ้าถูกปลาฉลามน้ำหนักห้าร้อยกิโลหล่นจากฟ้าตกลงมาใส่หัวก็ยังไม่เป็นอะไร แล้วพ่อของข้าขี่ม้าศึกสามขาเข้าตีศัตรูมันแปลกตรงไหน”

 

“ก็จริง นี่คือศิลปะการสนทนาขั้นสูง คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้ พวกเราก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก แต่ว่าพ่อของเจ้ามาเดินตลาดทำไม ทำไมไม่ดื่มเหล้าดูระบำในวัง ทำเอาข้าถูกจับจนได้”

 

หลี่ไท่จีบปากจีบคอแล้วพูดว่า “หากเจ้าเก่งพอก็ลองเข้าไปยุ่งเรื่องการเสด็จของพ่อข้าดูสิ ราชวงศ์ที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านก็มีเยอะแยะ ตอนเด็กๆ ข้าชอบเดินตลาดอยู่ข้างหลังเสด็จพ่อ ฟังเขาเล่านิทานแปลกๆ เกี่ยวกับตลาดให้ฟัง ตอนนั้นข้าถือกังหันลมอยู่ในมือ อีกมือหนึ่งถือป๋องแป๋ง ในปากกัดพายเนื้อ เมื่อเดินจนเหนื่อยก็ให้เสด็จพ่ออุ้มข้า หากให้คนอื่นอุ้มข้าก็จะร้องไห้ ตอนนั้นพ่อของข้ายุ่งมาก เขาใส่ชุดเกราะมากกว่าใส่เสื้อผ้าปกติเสียอีก ช่วงเวลาที่จะได้เดินตลาดกับเสด็จพ่อนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นข้าจึงพยายามรักษาช่วงเวลานั้นอยู่เสมอ น่าเสียดายที่ข้าโตแล้ว เสด็จพ่ออุ้มข้าไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ย หากมีเวลาเจ้าก็เข้าเฝ้าเสด็จพ่อของข้าให้มากๆ การที่เจ้ากตัญญูต่อเขาเป็นเรื่องที่สมควรทำเพราะเจ้าเป็นลูกเขย ข้าไม่เห็นเขามีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว”

 

หลี่ไท่กำลังพูดจาเหลวไหล ฮ่องเต้ถูกลิขิตให้เกิดมาโดดเดี่ยว เพราะธรรมชาติของมังกรถูกกำหนดให้มีนิสัยที่เห็นแก่ตัว เมื่อไฮยีน่าไม่มีอะไรทำก็วิ่งไปหามังกรด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ เมื่ออารมณ์ดีก็จะเล่นกับเจ้า แต่เมื่ออารมณ์ไม่ดี จุดจบของไฮยีน่าก็คือการถูกถลกหนังมาใส่กรอบรูป

 

นอกจากจั่งซุนที่เป็นสัตว์ขนาดเท่ากันที่สามารถเข้าใกล้ได้แล้ว สัตว์อื่นๆ ต่อให้เป็นถึงช้างสุดท้ายก็เป็นได้แค่กองมูลของมังกร โดยเฉพาะมังกรยักษ์ที่อยู่ท่ามกลางมังกรยักษ์อย่างหลี่ซื่อหมิน เพียงแค่จาม โลกมนุษย์ก็ปรากฏฝนฟ้ากระหน่ำ การหลีกเลี่ยงหนีห่างให้ไกลถือเป็นแผนการที่เยี่ยมยอดที่สุดแล้ว

 

เด็กๆ หลับกันหมดแล้ว รถม้าคันเดียวไม่สามารถนอนกันได้หมดจึงต้องใช้รถม้าของหลี่ไท่ ทั้งสองนั่งอยู่บนเพลารถสนทนากันไปมา

 

“เรื่องดินปืนกำลังเป็นไปได้ด้วยดี คนที่ชื่อเซี่ยวชังเซิงฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว เขาสอนให้พวกทาสทำดินปืน เมื่อไม่กี่วันมานี้ข้าได้ทดลองที่ภูเขาหนานซัน ภูเขาถล่มจนหินแตกกระจาย ประสิทธิภาพไม่ธรรมดา เสด็จพ่อพอใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าของสิ่งนี้ไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่ มันระเบิดเองไปสามรอบ เหล่าทาสตายไปสิบสามคน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปทาสเหล่านี้ก็จะอยู่ได้ไม่นานแล้ว”

 

“เดิมทีของสิ่งนี้ก็ไม่ปลอดภัย หากเจ้าอยากจะใช้ทางทหารอย่างไรก็หลีกเลี่ยงเรื่องความตายและการบาดเจ็บไม่ได้ สิ่งที่วิจัยออกมาเจ้าไม่ต้องบอกข้า ข้าไม่อยากฟัง แค่เจ้ารู้ก็พอแล้ว ระวังตัวด้วย”

 

“อวิ๋นเยี่ย สำหรับข้าแล้วเจ้าก็เหมือนคนในครอบครัว ทำไมเจ้าถึงอยากจะแยกตัวเองออกจากตระกูลหลี่ หรือว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น”

 

“ชิงเชวี่ย โลกใบนี้มีลำดับชั้น ฝ่าบาทเมตตาข้า ข้าก็ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม จะบังอาจไปขออย่างไร้ยางอายไม่ได้ ฝ่าบาทต้องรักษาสถานะ เจ้าต้องรักษาสถานะ ข้าเองก็มีสถานะที่ต้องรักษา มีเพียงการรักษาสถานะเท่านั้นที่จะทำให้โลกใบนี้ยังคงดำเนินไปอย่างสงบสุข”

 

“เจ้าแอบขี้เกียจก็บอกมา ไม่ต้องเอาเรื่องอำนาจของกษัตริย์มาอ้าง ตอนนี้ข้าเบื่อเต็มทนที่จะต้องได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว จะคุยเรื่องความรู้กับเจ้า เจ้าก็เอาแต่พูดพล่าม หากไม่ยอมบอกสิ่งที่เจ้ารู้ให้แก่ข้าก็บอกข้ามาตรงๆ สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือการที่เจ้าแกล้งทำเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง ข้าพยายามทดลองไม่ได้หยุดหย่อน เปลืองงบประมาณแผ่นดิน สิ้นเปลืองชีวิตคน เจ้าทนดูได้หรือ”

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเขา ความรู้ที่ได้มาอย่างยากลำบากจึงจะเป็นความรู้ที่แท้จริง จนถึงตอนนี้หลี่ไท่ก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ คิดอยากจะใช้ทางลัดเสมอ นี่คือปัญหาทั่วไปของคนฉลาด

 

หลี่ไท่สะกิดอวิ๋นเยี่ยสองที เห็นว่าเขาไม่พูดอะไรจึงรู้ว่าความปรารถนาไม่เกิดผลเสียแล้ว ถอนหายใจออกมา ทำได้เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ไปด้วยอยู่ในหัว คิดหาวิธีว่าจะพัฒนาพลังสูงสุดของดินปืนได้อย่างไรจากลักษณะเฉพาะของดินปืน

 

เมื่อถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งแปดคนขยี้ตาแล้วกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง เมื่อสั่งให้สาวใช้ดูแลพวกเขาให้ดี ตัวเองถึงได้กลับไปหลับที่ห้องหนังสืออย่างสบายใจ สำหรับคำขอที่จะขอพักที่นี่อย่างไม่มีเหตุผลของหลี่ไท่ได้ถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แค่เดินไปอีกสักหน่อยก็กลับไปนอนที่หอเล็กๆ ของตัวเองได้แล้ว เขาจะได้ไม่ต้องถามคำถามโน่นคำถามนี่น่ารำคาญตลอดทั้งวัน

 

พึ่งจะนอนหลับไปได้ไม่นาน ซินเย่วก็เดินถือผ้าห่มเข้ามา ช่วงนี้มีเมฆมาก นางเป็นห่วงว่าสามีจะหนาว ได้ยินเสียงแกล้งนอนกรนจึงได้ดึงอวิ๋นเยี่ยขึ้นมาอย่างไม่ปรานี

 

“ถอดเสื้อออกก่อนแล้วค่อยนอน คราวหลังต่อให้กลับมาดึกแค่ไหนก็ต้องกลับไปนอนที่ห้อง ไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนข้า จะมาแกล้งทำตัวน่าสงสารนอนขดอยู่ในห้องหนังสือทำไม”

 

สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการที่นอนแล้วแต่กลับถูกดึงขึ้นมาถอดเสื้อผ้า ให้ทำโน่นทำนี่ กว่าจะหาท่านอนที่สบายที่สุดได้ก็นอนไม่หลับเสียแล้ว

 

ถอดเสื้อผ้าใช่ไหม เช่นนั้นก็ถอดให้หมดเลย แม้แต่กางเกงข้างในก็ถอดให้หมดเลย แก้ผ้ารอนางจัดที่นอน ซินเย่วหันไปมองตาไม่กะพริบ ตีไปที่ก้นอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “น่าเกลียดขนาดนี้ ยังมีอะไรต้องอวด ไม่ได้ดูดีเหมือนลูกข้าเลย รีบใส่กางเกงเดี๋ยวนี้”

 

ผู้หญิงคนนี้ต้องโดนจัดการ ถอดเสื้อแล้วก็อย่าให้เสียเวลา จะถอดอีกสักรอบก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ซินเย่วขัดขืนสุดฤทธิ์ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เขากลับถอดเสื้อผ้านางได้อย่างราบรื่นภายใต้การต่อต้านที่รุนแรง ใช้เวลาไม่นาน เมื่ออวิ๋นเยี่ยเข้ารุก นางก็ยังรู้จักใช้พัดดับเทียน…

 

ในยามรุ่งสางคนลงทัณฑ์ยังคงหลับสนิทอยู่ ทว่าคนถูกลงทัณฑ์กลับลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่ วันนี้เป็นวันเก็บค่าเช่า พวกชาวบ้านพากันเข้าแถวรอที่โกดังนานแล้ว เจ้าบ้านจะทำเรื่องขายหน้าไม่ได้ ต้องดูแลเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นจะถูกนินทาได้

 

นายทะเบียนเขตหลานเถียนมาหาแต่เช้า ตระกูลอวิ๋นเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ที่สุดในเขต เพียงแค่จัดเก็บภาษีของตระกูลอวิ๋นเสร็จสิ้น ภาษีสามในสิบส่วนของเมืองก็ได้รับการชำระแล้ว ทุกๆ ปีจะเก็บภาษีแรกจากตระกูลอวิ๋นจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

 

กระดานหมากรุกที่จัดทำพิเศษของตระกูลอวิ๋นวางไว้อยู่ข้างใต้ซุ้มองุ่น พร้อมกับกาน้ำชาหอมๆ นายทะเบียนกับเหล่าเฉียนเริ่มทะเลาะกัน ไม่แม้แต่จะดูการเก็บค่าเช่าด้วยซ้ำ เกรงว่าการเก็บค่าเช่าของตระกูลอวิ๋นคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด เด็กน้อยอายุหนึ่งขวบถือกระเป๋าผ้าอยู่ในมือ ผู้ดูแลและนักบัญชีพากันตะโกนดังลั่น เด็กน้อยเดินออกมาทิ้งถุงผ้าลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า

 

“ตระกูลข้าเช่าที่ดินสี่สิบหมู่ สองในสิบของการเก็บเกี่ยวต่อหมู่จะตกเป็นของเจ้าของที่ดิน ปีนี้ฝนดี ผลผลิตดี ที่ดินสี่สิบหมู่ของตระกูลข้าเก็บผลผลิตได้หนึ่งร้อยสิบเจ็ดตันและข้าวสาลีอีกสามกระสอบ พ่อข้าบอกว่าหากไม่ปัดเศษจะดูขี้เหนียวเกินไป ปีนี้จะจ่ายยี่สิบสี่ตัน เจ้านายจะได้เอาเงินไปเลี้ยงฮันฮัน ตามราคาในตลาดฉางอันหนึ่งกระสอบราคาสี่เหรียญสามตำลึง หนึ่งตันราคาสี่สิบเอ็ดเหรียญ พ่อข้านับตามราคาต่อหนึ่งกระสอบ หากนับตามราคาตันเจ้านายจะเสียเปรียบ ตระกูลของข้ารวมทั้งหมดเป็น…”

 

ยังไม่ทันได้คำนวณราคาก็ถูกผู้ดูแลถีบจนกระเด็นไปอีกทาง ตะคอกใส่เด็กน้อยว่า “ประทับลายนิ้วมือเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไป ไป หยิบขนมที่ไม่เคยกินในซุ้มด้านนอกกลับไปด้วยล่ะ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว หากช้าจะไปเข้าเรียนสาย ระวังจะโดนอาจารย์ตีเอา”

 

เด็กน้อยผู้น่าสงสารวิ่งไปที่ห้องบัญชีแต่ไม่ยอมประทับลายนิ้วมือ หยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงไปสามคำว่าจังเอ้อหนิวจากนั้นก็หยิบตะกร้าแล้ววิ่งอย่างดีใจไปที่ซุ้มเพื่อหยิบขนม ตอนนี้ไม่มีใครยอมนั่งยองๆ กินข้าวอยู่ใต้ซุ้มเพราะกลัวขายขี้หน้า ทั้งหมู่บ้านมีเพียงผู้ใหญ่บ้านคนเดียวที่ชอบนั่งยองๆ กินข้าว

 

เด็กในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นมีแต่คนฉลาด เมื่อมีบทเรียนให้เห็น คนต่อมาแต่ละคนก็จะรายงานจำนวนเลยทันที มองดูผู้ดูแลและนักบัญชีบันทึกเรียบร้อยแล้วก็หยิบพู่กันขึ้นมาลงชื่อ มีเด็กสองสามคนที่เขียนพู่กันได้ดี ผู้เขียนบัญชีมักจะลูบหัวเด็กด้วยรอยยิ้มแล้วชมว่าเป็นเด็กดี ในอนาคตจะต้องเป็นคนของสำนักศึกษาแน่นอน รีบไปหยิบขนม เด็กดีควรได้รับรางวัล หยิบไปเยอะๆ เลย

 

“เหล่าเฉียน บ้านเจ้าไม่เก็บเสบียงหรือ เท่าที่ข้าเห็นทำไมคนจ่ายค่าเช่ามีแต่เด็กๆ เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำไมไม่เห็นมีผู้ใหญ่”

 

“ผู้ใหญ่จะมาทำอะไร ไม่รู้จักตัวหนังสือ คำนวณเลขก็ไม่ได้ ไม่ได้เก่งเหมือนเด็กเหล่านี้ แน่นอนว่าก็ต้องให้เด็กเป็นคนจ่ายค่าเช่า ข้าวสาลีของตระกูลข้าเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่ได้รับมาจากศาลยุ้งฉาง ได้ผลผลิตสูงขึ้น แต่ทำอาหารพวกแป้งไม่ค่อยได้ บรรดาคนในหมู่บ้านพากันทิ้งข้าวสาลีของตัวเอง จากนั้นก็ซื้อข้าวสาลีที่อร่อยมาแทน แลกไปแลกมา ตอนนี้ทั้งบ้านก็มีข้าวสาลีแสนอร่อยไว้กิน ส่วนข้าวสาลีที่ไม่อร่อยก็ส่งไปให้คนในเมืองกิน ท่านโหวบอกว่าคนในเมืองนั้นอึดมาก ขนาดวางยาพิษก็ยังไม่ตาย”

 

นายทะเบียนอ้าปากกว้างอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ก้มหน้ามองพื้นแล้วสาบานว่าต่อไปนี้จะไม่ซื้อเสบียงอาหารในเมืองฉางอันอีก หยิบหมากรุกขึ้นมาด้วยความโกรธไปวางไว้ข้างหน้าระเบิด แล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ระเบิดหลังม้า”