เหล่าเฉียนแพ้เกมหมากรุกทำให้เขาไม่พอใจ ให้คนใช้หยิบเหล้าองุ่นมาให้ตัวเองพร้อมกับหูหมูอีกหนึ่งชาม นายทะเบียนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานจึงไม่ได้ถือสาอะไร เหล้าหนึ่งไห หูหมูหนึ่งชาม ทั้งสองพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ครั้งใหม่ กลุ่มควันได้คละคลุ้งขึ้นมาอีกรอบ
ทุกครั้งเมื่อมีการเก็บค่าเช่า ราชสำนักจะส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบมาลาดตระเวนในชนบท มีหน้าที่ชัดเจนก็คือการตรวจสอบว่ามีการรังแกเกษตรกรหรือไม่ การสืบสวนคนทรยศคืองานหลักของพวกเขา อำนาจในการจัดการที่อยู่ในมือใหญ่โตพอที่จะอาละวาดได้ทั้งเมือง ทำให้ผู้ให้เช่าและเศรษฐีเฒ่าพากันโอดครวญว่าช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ในเวลานี้หากชาวนามีข้อพิพาทกับเจ้าของที่ดิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบก็จะเข้าข้างเกษตรกรอย่างไร้เหตุผล โดยเรียกตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ในบรรดาสามเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของฉางอัน เขตฉางอันอยู่ในเมือง เขตว่านเหนียนก็อยู่ในเมือง เขตหลานเถียนถูกรวมเข้ามาใหม่ ที่นั่นย่อมมีความมืดมนและความไม่เท่าเทียมกันเป็นธรรมดา เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มจะพาผู้ติดตามเดินทางผ่านฉางอันและเขตว่านเหนียงตรงไปที่เขตหลานเถียนที่ไม่เคยถูกแสงสว่างส่องถึงมาก่อน
ที่สำนักงานเขตไม่มีคนอยู่ เซี่ยนจุนไปที่ชนบท นายทะเบียนก็ไปที่ชนบท นายอำเภอพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบไปดูสาเหตุที่หมู่บ้านหนิวเจียว่าทำไมวัวถึงตายกันต่อเนื่องถึงสามตัว ทุกคนต่างมีหน้าที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบยังคงมีทัศนคติเชิงบวกต่อความขยันหมั่นเพียรของนายอำเภอเขตหลานเถียน ไม่จำเป็นต้องเรียกหาตัวเองก็อาสาไปในที่ที่มีเจ้าของที่ดินและเศรษฐีเฒ่าเยอะที่สุดเพราะที่นั่นน่าจะมีโอกาสทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง
ไม่บอกก็รู้ ภูเขาอวี้ซันคือตัวเลือกแรก ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลคนพาล แผลงฤทธิ์ในฉางอัน กระทำผิดอย่างไม่สิ้นสุด ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวก็ไม่ใช่ตระกูลคนดี ไม่รู้ว่าในวันที่เก็บค่าเช่ามีราษฎรจิตใจดีกี่คนที่ถูกบังคับให้ออกจากพื้นที่ ต้องทิ้งเมีย ขายลูก แค่คิดก็รู้สึกเศร้า ในเวลาเช่นนี้จะขาดตัวเองไปได้อย่างไร
เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบที่ถูกส่งออกไปตามมณฑลต่างๆ ล้วนเป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ รู้แจ้งภายใต้บรรยากาศความรุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง ทำให้พวกเขาได้พัฒนาความกล้าพูดและกล้าทำในวงการราชการ หลายปีมานี้นโยบายที่ดูสับสนของหลี่ซื่อหมินได้นำราศีมาสู่ตระกูลหลี่อยู่ไม่น้อย ในช่วงเวลาที่ต้องจ่ายค่าเช่า ตระกูลร่ำรวยก็เหมือนกับถูกลงโทษอย่างไม่มีเหตุผลทำได้เพียงยอมรับความโชคร้าย แต่เหตุการณ์เช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ด้วยใจที่คิดว่าราษฎรจะไม่สู้รบกับขุนนาง จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้าของที่ดิน หากใครกล้าหาเรื่องคนผู้นั้นก็จะไม่มีทางรอด
ความสุขสบายของชีวิตคือการเดินอยู่บนคันนา ความภาคภูมิใจของวัยหนุ่มเป็นช่วงเวลาที่ดี ยากที่จะบอกลาการรับราชการในช่วงวัยเยาว์ อยากจะให้สิ่งเหล่านี้อยู่ในช่วงขณะหนึ่งเพื่อชื่นชมท่าทางที่สง่างามของตัวเอง แต่น่าเสียดายตอนนี้ราษฎรอยู่ในความเดือดร้อน ตระกูลผู้สูงศักดิ์กำลังขมเห่งชาวบ้าน ต่อให้บรรยากาศตรงหน้าสวยแค่ไหนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชม หวังเพียงแต่ว่าเจ้าของที่ดินและเศรษฐีเฒ่าจะไม่ใจดำจนเกินไป
ตระกูลเฉิงเก็บค่าเช่าอย่างมีความสุข เหล่าลูกบ้านเดินพยุงกันกลับบ้าน พากันเชิดหน้าชูตาเพื่ออวดว่าปีนี้ครอบครัวของตนเก็บเกี่ยวได้มากขนาดไหน ทางตระกูลเฉิงได้แสดงความขอบคุณด้วยการดื่มเหล้า เหล่าเฉิงและนายเฉิงฉู่มั่วไม่อยู่ เฉิงฉู่ปี้จึงถูกแม่เรียกกลับมาจากสำนักศึกษาเพื่อเป็นประธานจัดการเก็บค่าเช่า ชาวบ้านพากันโยนเสบียงใส่ไปในโกดังอย่างวุ่นวาย พ่อบ้านและนายบัญชีพากันยิ้มไปจดบัญชีไป ชาวบ้านบอกเท่าไหร่ก็จดเท่านั้นจึงประหยัดค่าเครื่องชั่งไป
เมื่อจ่ายค่าเช่าเสร็จก็มานั่งกินข้าวอยู่ใต้ซุ้ม ดื่มน้ำซุปและสุราอีกชามใหญ่ ไม่ดื่มก็ไม่ได้ เฉิงฉู่ปี้ดื่มจนเมาอ้อแอ้ เปิดเสื้อออกมาจนเห็นขนหน้าอก เด็กอายุสิบหกปีเท่านี้ไม่รู้ว่าไปเอาขนหน้าอกมาจากไหน
ที่นี่ไม่มีความอยุติธรรม คนที่นอนอยู่ใต้ซุ้มสองสามคนไม่ได้ถูกตีจนสลบไป แต่เป็นเพราะเมาเหล้าจนสลบไปต่างหาก ภรรยาและลูกคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ แล้วก็กินแผ่นแป้งกัวคุยไปด้วย
องครักษ์ประจำตระกูลเฉิงล้วนเป็นทหารผ่านศึกที่ติดตามเหล่าเฉิงมาหลายปีจึงไม่สนใจที่จะยักยอกเสบียงอาหารสักสี่ห้ากระสอบแม้แต่น้อย ตระกูลเฉิงไม่เคยที่จะอาศัยผลผลิตของพื้นดินในการดำรงชีวิต จิตใจของชาวบ้านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าบ้านเป็นผู้กำหนดลักษณะนิสัยของชาวบ้าน แต่ไหนแต่ไรมาคนในหมู่บ้านตระกูลเฉิงต่างก็มีแต่คนอารมณ์รุนแรงและสดชื่นร่าเริงเกินคน ในหมู่บ้านตระกูลเฉิงหากประพฤติตัวดีก็จะได้รับการปฏิบัติดีตอบ แต่หากมีความเย่อหยิ่งก็จะถูกโจมตีแน่นอน อย่างเช่นตอนนี้มีคนนอกรีตสี่ห้าคนที่ไม่ลืมหูลืมตาควบม้าเร็วในบริเวณหมู่บ้าน ไม่เห็นคนแก่ เด็ก และผู้หญิงที่เดินอยู่กลางถนนหรืออย่างไร
ทั้งหมดเป็นทหารผ่านศึกมีหรือจะไม่รู้จักวิธีจัดการกับทหารม้า ทันใดนั้นก็มีไม้ค้ำยันไว้ระหว่างขาม้า ม้าสองสามตัวล้มลงกับพื้นทันที บางคนดื่มไปมากแต่ยังคงมีสติ เมื่อเห็นคนใส่ชุดทางการจึงรู้ว่าไม่ดีแน่ เพื่อที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่เจ้าของที่ดินพวกเขาจึงค่อยๆ หยิบไม้กลับมาแล้วพยุงสหายขี้เมาเดินโซเซกลับบ้าน หากวันต่อมามีการถามถึงเรื่องดังกล่าวก็จะบอกไปเพียงว่าทุกคนเมากันหมดแล้วใครจะไปรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
การตกจากหลังม้านั้นอันตรายเป็นอย่างมาก คนที่คอหักไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองคน โชคดีที่ม้าวิ่งไม่เร็วมาก พวกชาวบ้านก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร หากอยู่ในสนามรบแล้วเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ควรจะโดนตัดหัวไปแล้ว ขุนนางหนุ่มตัวสั่นด้วยความโกรธ มองดูชาวบ้านขี้เมาเต็มถนนอย่างโกรธเคือง โมโหแต่ไม่มีที่ให้ระบาย ต่อให้สถานที่นี้มีความอยุติธรรมจริงๆ ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ไม่ควรจะเห็นใจ
ในเมื่อไม่ต้อนรับจึงได้หันหลังเดินกลับไป หากแต่ขาม้าเริ่มอ่อนแรงจึงทำได้เพียงจูงกลับ ตระกูลของเฉิงเหย่าจินไม่เคยมีอะไรดีสักอย่าง ตัวเองเป็นผู้ค่อยค้ำชูชาวบ้าน ถ้าหากมาหาเรื่องพวกชาวบ้านก็จะกลายเป็นตัวตลก ยอมที่จะให้ตัวเองเป็นทุกข์ดีกว่าทำลายแผนการใหญ่ของฝ่าบาท
เดินโซเซไปจนถึงบ้านของตระกูลหนิว ที่นี่ก็เหมือนกัน มีชาวบ้านหลายคนไม่มีแขนขา คิดดูแล้วจึงได้รู้ว่าคนเหล่านี้คือลูกน้องเก่าของเหล่าหนิว ใครจะกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของตัวเอง ดูชาวบ้านที่ตบไหล่ของพ่อบ้านแล้วเรียกว่าสหายก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่มีเรื่องที่เขาหวังให้เกิดขึ้น
โชคดีที่ยังมีคนพาลที่ใหญ่ที่สุดผู้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอยู่อีก ขณะเขายืนล้างหน้าอยู่ที่ริมแม่น้ำ ชุดราชการที่ชำรุดมีร่องรอยการเย็บอย่างเรียบง่าย หลังจากนั่งเคี้ยวอาหารแห้งอยู่ริมแม่น้ำเพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและปลอบใจผู้ติดตามของตัวเองก็จูงม้ามุ่งหน้าไปทางบ้านตระกูลอวิ๋น ราษฎรช่างเป็นคนซื่อสัตย์ เมื่อเห็นคนของทางการบาดเจ็บสองสามคนก็ลงมาจากเกวียนวัวของตัวเองแล้วเชิญให้พวกเขาไปนั่ง ตั้งแต่มาถึงภูเขาอวี้ซันนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเพื่อนมนุษย์
“ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นหรือ เมื่อครู่เห็นท่านขนเสบียงเต็มคันรถกลับมาจากฉางอัน เป็นเพราะเหตุใด การเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนพึ่งจะสิ้นสุด เสบียงอาหารในบ้านก็ไม่พอกินแล้วหรือ”
“บ้านข้าไม่เหมือนกับบ้านอื่น เจ้าบ้านต้องการเพียงเหรียญทองแดง ข้าจึงต้องนำเสบียงอาหารในบ้านมาขาย จากนั้นก็ซื้อเสบียงอาหารกลับมาบ้างแล้วเก็บเหรียญทองแดงไว้จ่ายค่าเช่าให้เจ้าบ้าน”
“ท่านต้องจ่ายค่าเสบียงเท่าไหร่”
“พูดไปนายท่านก็คงไม่เชื่อ ครอบครัวข้าต้องจ่ายทั้งหมดหกเหรียญกับอีกสามร้อยตำลึง” ชายเฒ่าตอบด้วยรอยยิ้ม
เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มรู้สึกเหมือนอกกำลังจะระเบิด เจ้าของที่ดินต้องใจดำขนาดไหนถึงจะเอาเงินค่าเสบียงจากชาวบ้านมากขนาดนี้ วัวหนึ่งตัวราคาไม่เกิดแปดเหรียญ แต่ครอบครัวชาวบ้านผู้น่าสงสารยังมีค่าไม่เท่าวัว ต้องการวัวหนึ่งตัวในทุกๆ ปี นี่คือเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือ มหาสมุทรกว้างใหญ่ย่อมมีขอบเขต แต่ความโลภของมนุษย์กลับไม่มีที่สิ้นสุด ทุกปีตระกูลอวิ๋นจะลงทุนเงินจำนวนมากในสำนักศึกษาบนภูเขาอวี้ซัน เขาเป็นคนรวยกลับชาติมาเกิดเสียที่ไหนกัน เงินของเขานั้นล้วนปล้นมาจากคนจนต่างหาก ชื่อเสียงและเกียรติยศที่ได้มาจากการทำชั่ว อย่างไรทุกคนก็ต้องได้รับการลงโทษ
ฉายาวายร้ายแห่งฉางอันเห็นจะเป็นธาตุแท้ของเขา ฝ่าบาทผู้น่าสงสารถูกคนทรยศหลอกจนหน้ามืดตามัว เอาแต่พูดว่าเขาเป็นหนึ่งในขุนนางตัวอย่าง ใครจะไปคิดว่าเขาคือเสือที่คอยกัดกินราษฎร
เห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของชายเฒ่าก็รู้สึกอนาถใจ ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายตรวจราชการที่มาจากสถาบันอุดมศึกษาระดับชาติ แต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงขุนนางระดับแปด เมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยก็เทียบไม่ได้เลยกับขุนนางระดับสามอย่างเขา แต่วันนี้แม้ว่าฟันจะหักก็จะกัดเลือดเนื้อของโจรที่ทำร้ายราษฎรให้ได้
“ปีนี้ถือว่าข้าจ่ายค่าเช่าน้อยกว่าทุกปี ลูกชายคนรองของครอบครัวได้ติดตามกั๋วกงตระกูลเฉิงไปออกรบอยู่นอกเมือง ดังนั้นท่านโหวจึงได้ละเว้นในส่วนของลูกชายคนรองของข้า ประหยัดไปได้สองเหรียญ ตระกูลอวิ๋นมีแต่คนดี ไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อชาวบ้าน ครอบครัวหวางต้าผู้โง่เขลา ในปีนี้พวกเขาได้พบเจอเรื่องไม่ดี เขาเอาแต่พูดว่าน้องคนเล็กของครอบครัวตัวเองพึ่งจะคลอดออกมาไม่นับว่าเป็นหนึ่งคน ฮ่าๆๆ เขาถูกพ่อบ้านอย่างเหล่าเฉียนเตะไปสองที สุดท้ายก็ต้องจ่ายเงินในส่วนนั้นอยู่ดี”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มมองดูชายเฒ่าที่กำลังดีใจด้วยความเศร้าใจ ชายเฒ่าที่ไม่มีความรู้คงไม่รู้ว่าทหารที่ไปออกรบไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสบียง คนที่ถูกคนรับใช้ผู้ชั่วร้ายของตระกูลอวิ๋นรังแกก็คงไม่รู้ว่าต้องรอให้เด็กโตจนบรรลุนิติภาวะจึงจะได้รับส่วนแบ่งที่ดินจากนั้นถึงจะเริ่มจ่ายภาษีอย่างเป็นทางการ พระเจ้า ขนาดราชวงศ์ยังไม่กล้าเก็บภาษีเด็กน้อยแรกเกิด เหตุใดตระกูลอวิ๋นจึงกล้าถึงเพียงนี้ ใครทำให้เขามีความกล้าเช่นนี้
ชายเฒ่าอ้าปากร้องเพลงที่ฟังไม่เข้าใจเบาๆ มองดูรองเท้าสีดำคู่นั้นแสดงให้เห็นว่าเขาคงไม่รู้ว่าตัวเองทุกข์ทรมานแค่ไหน การร้องเพลงลำนำภูเขาบางทีมันอาจจะเป็นความสนุกครั้งสุดท้ายของเขา
หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในตลาด บ้านมุงด้วยกระเบื้องสูงสองข้างทางแสดงถึงความมั่งคั่งของพวกเขา ม้ากัดกินของบนแผงลอยอย่างไร้ยางอาย ไม่เพียงแต่ไม่มีคนห้ามซ้ำยังเกาคอม้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเห็นว่าพ่อค้าแม่ค้าพากันเอาเงินมาใส่ในกระเป๋าของม้า เป็นแค่ม้ากลับทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้คงจะไม่ต้องพูดถึงคนให้มากความ
เขาเงยหน้ามองบ้านสูงระหว่างสองข้างทาง แล้วมองดูหินที่สะอาดเรียงเป็นระเบียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาแทบจะไม่กล้าเหยียบ เขารู้สึกว่ามันเป็นจิตวิญญาณของราษฎรที่ถูกลงโทษ กำแพงสีขาวดั่งหิมะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเลือดในดวงตาของเขา รอยยิ้มจอมปลอมบนท้องถนนเหล่านั้น เป็นความรุ่งเรืองที่จอมปลอมเหมือนภูเขาลูกใหญ่กำลังกดทับร่างของเขา เขาหายใจอย่างยากลำบาก เอามือเข้าไปในแขนเสื้อ รีบร้อนหาป้ายคำสั่งที่สามารถทำให้เขาดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้ ดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้จะทำให้มีความกล้าขึ้นมา
ชายผู้แข็งแกร่งเดินออกมาจากประตูใหญ่ของตระกูลอวิ๋น เสื้อส่วนบนถูกเปิดออกใบหน้าดูเ**้ยมโหด เวลาเดินดูโคลงเคลง คนเดินผ่านไปมาพากันหลบเลี่ยงหลีกทางให้ เขาหยิบแตงกวาขึ้นมาหนึ่งลูก หักเป็นสองท่อนแล้วกัดกิน มีน้ำแตงกวาไหลออกมาตรงมุมปาก ดูเหมือนเป็นคนมูมมาม พ่อค้าแม่ค้าพากันเรียกท่านเป่าอย่างสนิทสนม ซ้ำยังนำผลไม้ที่ดีที่สุดมาให้ชายร่างใหญ่ หลักจากที่กินหมดแล้วก็ไม่ได้จ่ายเงิน เขาบอกว่าไร้รสชาติ จากนั้นก็หยิบแตงกวาจากร้านข้างๆ มาแทะต่อ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าถึงจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
เดิมทีเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบมีหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ได้มาเห็นกับตา ในเวลานี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบกลับเงียบสงบลง การกระทำชั่วร้ายเช่นนี้จะมีอยู่ในดินแดนบาปอย่างภูเขาอวี้ซันอย่างน้อยหกปี สถานที่ซ่อนสิ่งสกปรกยังจะกล้าบอกว่าเป็นสถานที่ของผู้คนที่โดดเด่นอย่างนั้นหรือ
หลี่กังไม่คู่ควรได้เป็นนักปราชญ์ ซินอวี้ซันมีบุตรเขยที่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในลัทธิขงจื้อ อาจารย์หยวนจางมีหน้าที่รับผิดชอบในด้านคุณธรรม ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องตลก วันนี้ต่อให้ต้องสละชีวิตก็จะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น คืนท้องฟ้าสีครามให้แก่ผืนแผ่นดินนี้