หลังจากโอบกอดความกล้าหาญที่พร้อมจะตายในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบหนุ่มได้ส่งนามบัตรของตัวเองไปให้เตรียมที่จะเผชิญหน้ากับโจรร้าย ยืนกุมมือรอนอกประตู เขายิ้มและปฏิเสธคนเฝ้าประตูที่เชิญเขาดื่มชาอย่างเป็นกันเอง การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาจารย์เคยบอกไว้ว่าคนทั่วไปจะไม่ต่อสู้กับสามสิ่งนี้ หนึ่งคือไม่แย่งชิงชื่อเสียงกับสุภาพบุรุษที่ยึดถือในชื่อเสียง สองคือไม่แย่งชิงผลประโยชน์จากคนร้ายจอมวางแผน สามคือไม่แข่งขันกับฟ้าดิน
อวิ๋นเยี่ยขึ้นชื่อว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ แล้วยังมีชื่อเสียงด้านช่างฝีมือ ตัวเองได้ละเมิดศีลสามประการทั้งปวงแล้ว เมื่อนั้นเองจึงได้รู้ซึ้งถึงคำว่าหมดสิ้นหนทางอย่างที่อาจารย์เคยพูดไว้ แต่ก็ไม่อาจเอาชนะความโหยหาความยุติธรรมได้ แล้วก็ไม่อาจเอาชนะความสงสารที่ตนเองมีต่อราษฎรได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อาจเอาชนะความเชื่อในการปกป้องชื่อเสียงความเป็นนักปราชญ์ของตัวเองได้
ดูเหมือนเสียงเอะอะโวยวายของผู้คนบนท้องถนนจะหายไปแล้ว หวงอวี่ได้รวบรวมสติของตนเองเตรียมพร้อมพบกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ดูเหมือนว่าจะมีเมฆลอยไปมาข้างประตูที่ว่างเปล่า ดูเหมือนว่าวินาทีต่อไปจะได้ยินเสียงเสือคำราม
คนที่ดูไม่ได้ฉลาด แต่เป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาเดินออกมาจากประตู สามารถดูออกได้เลยว่าร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนแอ ก้าวเท้าเหมือนคนไม่มีแรง โบกพัดสีทองอยู่ในมือ ของสิ่งนี้เขาก็อยากได้ แต่ว่าราคาสูงถึงสองเหรียญ ทำให้คนมีชื่อเสียงอย่างเขาไม่สามารถมีไว้ครอบครองได้
“ผู้ตรวจสอบหวง ข้าชื่นชมท่านมานานแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบคอยดูแลการดำรงชีวิตของผู้คนในฉางอัน มาถึงอวี้ซันมีธุระอะไรหรือ ราษฎรที่นี่สงบสุข การค้าขายเฟื่องฟู กิจการรุ่งเรือง ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีอะไรที่ต้องการให้ผู้ตรวจสอบหวงช่วย”
ความจริงแล้วอวิ๋นเยี่ยไม่คิดจะออกมา ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าขาก็ยังคงปวดและอ่อนแรง เมื่อคืนลงโทษซินเย่วหนักไปหน่อย ตัวเองเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว นอนจนพระอาทิตย์ตกกว่าจะตื่น พึ่งกินข้าวเสร็จเตรียมจะนอนใต้ร่มไม้ในสวนยามบ่ายเพื่อฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่า คนเฝ้าประตูก็นำนามบัตรของเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบอะไรก็ไม่รู้มาให้ อย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว ไปเจอสักหน่อยก็ดี ถ้าหากเป็นคนที่ไม่ชอบก็ไล่เขาไปแล้วค่อยไปนอนก็ยังไม่สาย
“ได้ยินมานานแล้วว่าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นนั้นมีความมั่งคั่ง ข้าน้อยปิดบังฝ่าบาทในการเลือกที่จะมากำกับดูแลการเช่าที่ดินในสามเขตของฉางอัน เมื่อมาถึงภูเขาอวี้ซันก็เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้หนทางสู่ความรวยจากอวิ๋นโหว ขออวิ๋นโหวโปรดเมตตาด้วย”
มองไปที่ผู้ตรวจสอบที่สุภาพและสง่างาม แล้วมองดูเสื้อคลุมที่เขาเย็บอย่างง่ายๆ ก็เกิดความรู้สึกดี เขาเป็นคนขยันคนหนึ่ง ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าการนอนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ออกไปเดินเล่นรอบๆ บ้างก็ดี
“ผู้ตรวจสอบหวงชมเกินไปแล้ว ในเมื่อเจ้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทก็ย่อมดูกระบวนการการเก็บค่าเช่าของตระกูลอวิ๋นได้ เจ้าดูเหนื่อยมาก เข้าไปดื่มน้ำในจวนดีกว่าไหมจะได้พักผ่อนเสียหน่อย กำจัดความร้อนจากร่างกายให้หมดแล้วค่อยไปดูดีหรือไม่”
หวงอวี่ไม่อยากให้อวิ๋นเยี่ยมีโอกาสในการเตรียมตัว ยกมือขึ้นมาคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยยังมีอีกสองเขตที่ยังไม่ได้ไปดู หากพักอยู่ในจวนตระกูลอวิ๋นก็เพียงทำได้แค่เดินเล่นชมดอกไม้ คงไม่มีเวลาให้พักผ่อน พวกเรามาเริ่มกันตอนนี้เลยดีหรือไม่”
ขุนนางที่มีความขยันเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยเห็นมาเยอะแล้วจึงไม่รู้สึกแปลก พาหวงอวี่เดินไปทางสวนหลังบ้าน ผู้เช่าทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
สิ่งแรกที่หวงอวี่เห็นเมื่อเขามายังสวนหลังบ้านคือซุ้มขนาดใหญ่ มีชายเฒ่าแต่งตัวดีนั่งอยู่ข้างในกำลังดื่มชาและกินขนม ข้างซุ้มเต็มไปด้วยขนมต่างๆ มีขนมบางอย่างที่แม้แต่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน มีกลิ่นหอมหวานพัดผ่านมาจากซุ้มทำให้รู้สึกสบาย ตอนกลางวันกินแค่ขนมหนึ่งชิ้น ตอนนี้ได้กลิ่นหอมของอาหารท้องก็ร้องขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจทำให้หวงอวี่รู้สึกอายเป็นอย่างมาก
“ความหิวเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรต้องอาย เจ้าวิ่งวุ่นมาทั้งวันคงจะไม่มีเวลากินข้าว นี่คือสิ่งที่เจ้าควรภาคภูมิใจ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด จิบน้ำชาแล้วก็กินขนมสักหน่อย รอเจ้าตรวจตราเสร็จแล้วค่อยทำบะหมี่ให้เจ้าอีกหนึ่งชามจึงจะทำให้อิ่มท้องได้ ดีกว่าอาหารในงานเลี้ยงเสียอีก”
มองไม่เห็นเสียงร้องไห้แสดงถึงความโศกเศร้า มองไม่เห็นอันธพาลผู้ดุร้าย ทุกอย่างเป็นไปอย่างสงบ เขามองดูเด็กที่โยนกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะ เมื่อลงนามเสร็จก็กระโดดโลดเต้นวิ่งมาที่ซุ้มแล้วหยิบตะกร้าของตัวเองขึ้นมาใส่ขนมที่ชอบกิน ขนมดอกกุ้ยฮวาถูกละเลยไปโดยสิ้นเชิง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบขนมถั่วเขียวมาสองชิ้น ปิดจมูกเมื่อเดินผ่านขนมพุทราทั้งๆ ที่พุทราแดงสีสดใสกลิ่นหอมหวาน แต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะคิดว่าเหม็นจึงพยายามหลีกเลี่ยง
อวิ๋นเยี่ยตบหัวของเด็กคนนั้นหนึ่งที “ขนมพุทราอย่างดีเจ้าจะปิดจมูกทำไม”
เด็กน้อยกลับไม่กลัวปีศาจในตำนานผู้นี้ คลายมือที่ปิดจมูกออกอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “คุณน้าที่สองที่อยู่ในโรงเรียนมักจะนึ่งขนมพุทรา แล้วยังใส่พุทรามากกว่าข้าวเสียอีก ตอนนี้แค่ดมข้าก็อยากจะอ้วก ท่านโหว หากข้าจะหยิบขนมเพิ่มได้หรือไม่”
“พึ่งจะกินไปไม่กี่วัน ตอนนี้แค่เด็กๆ ได้กลิ่นขนมพุทราก็จะอ้วกแล้วหรือ พระเจ้า ตอนนั้นข้าโดนพ่อกับแม่อัดไปหลายทีเพราะอยากจะกินขนมพุทราสักคำ ขนาดฝันก็ยังได้กลิ่นหอมนั่น คิดมาเสมอว่าสักวันจะได้ทานอาหารดีๆ สักมื้อ เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักถนอมโชคลาภของตัวเอง”
ชายเฒ่าที่สวมใส่ชุดกระสอบโบกพัดในมือหลังจากพูดจบ เขาตีก้นเด็กน้อยไปหนึ่งที หัวเราะแล้วมองเด็กน้อยที่หยิบขนมในกล่องไม้อย่างตะกละตะกลาม
อวิ๋นเยี่ยหยิบขนมชิ้นหนึ่งจากกล่อง วางลงบนจานแล้วยื่นให้หวงอวี่ และให้ผู้ติดตามของเขาหยิบได้ตามใจชอบ ในถังขนาดใหญ่มีถ้วยชาที่ต้มเสร็จแล้ว ใช้ไม่ไผ่คีบขึ้นมาหนึ่งถ้วยแล้วส่งให้หวงอวี่ด้วย
นี่คือมารยาท อาจจะฟังดูไม่ดีแต่นี่คือมารยาทของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อชนชั้นผู้น้อย หวงอวี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธจึงรับมาแต่โดยดี เขานึกไม่ถึงเลยว่าอวิ๋นเยี่ยจะดูเป็นคนเรียบง่ายเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามทำตัวเคร่งขรึม การข่มเหงผู้อื่นน่าจะทำให้เขาสบายใจกว่าการทำตัวสนิทกับคนง่ายเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
วางของกินในมือลง พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อวิ๋นโหว ข้าน้อยยังไม่หิว ข้าคิดว่าดูสมุดบัญชีเสร็จแล้วค่อยกินก็ยังไม่สาย” เขาตัดสินใจอยากจะดูให้แน่ใจก่อน เหตุใดพฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ของอวิ๋นเยี่ยถึงได้ต่างกันเป็นสองขั้ว เด็กเล็กๆ ก็สามารถพูดคุยกับเขาได้ตามสบาย แต่ทำไมจึงได้โหดร้ายกับชาวบ้านเหล่านั้น
นายบัญชีนำพู่กันและสมุดบัญชีมาให้หวงอวี่ดู ลายลักษณ์อักษรชัดเจน บัญชีดูสะอาดสะอ้าน ทุกๆ การจดบันทึกมีที่มาที่ไป แต่ว่าหวงอวี่ไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลอวิ๋นจึงดำเนินเก็บค่าเช่าเพียงแค่หนึ่งในห้าของการเช่า นี่คือการเก็บค่าเช่าที่ถูกที่สุดในต้าถัง แต่ทำไมตัวเลขในสมุดบัญชีจึงได้เยอะจนน่ากลัวเช่นนี้
ชายวัยกลางคนที่สีหน้าดูกังวลก็มาจ่ายค่าเช่าด้วย มองดูคนอื่นๆ มีแต่เด็กๆ ที่มาจ่ายค่าเช่า ตัวเองอยากจะเดินหนี แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องเดินกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ เข้าแถวอย่างหดหู่ท่ามกลางเด็กๆ รอให้นายบัญชีเรียกชื่อตัวเอง
หวงอวี่เห็นคนๆ นี้อยู่นานแล้ว เขาคิดว่าคนๆ นี้น่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง ถ้าหากวันนี้การเก็บค่าเช่ามีช่องโหว่ เช่นนั้นก็ควรจะเปิดช่องโหว่จากคนๆ นี้
“เจียวเหล่ายาถึงตาเจ้าแล้ว” หลังจากเสียงเรียกของนายบัญชีก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น มีเด็กขี้เล่นคนหนึ่งปากหวานเรียกเขาว่าคุณลุงเหลายา ชายวัยกลางคนที่อยากจะตอบโต้บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงเหมือนคนทำผิดแล้วโยนถุงผ้าลงบนโต๊ะ พูดเบาๆ ว่า “ปีนี้ครอบครัวข้าจ่ายข้าเช่าสามเหรียญเจ็ดตำลึง ผลผลิตยังไม่เติบโต เอาไว้ค่อยนับหลังฤดูใบไม้ร่วง”
นายบัญชีหัวเราะแล้วพูดว่า “เหลายาสหายข้า จากที่เจ้าจ่ายค่าเช่าสามารถบอกได้ว่าปีนี้เจ้าเก็บผลผลิตได้ดี หลังจากฤดูใบไม้ร่วงก็นำผลไม้ไปขายก็จะได้รายได้ก้อนใหญ่ เจ้าทำผลไม้แห้งได้ดีทำไมปีนี้ไม่ทำเสียแล้ว”
ชายผู้นั้นพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แค่พอกินพอใช้ก็พอแล้วจะหาเงินมาทำอะไรมากมาย ที่บ้านมีลูกสาวอยู่สี่คน แค่มีเก็บไว้เป็นสินสอดทองหมั้นให้พวกนางก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องเสียเวลาหาเงิน”
หวงอวี่นึกจนปวดหัวก็นึกไม่ถึงว่าชายผู้นี้ไม่ได้อารมณ์เสียเพราะการจ่ายค่าเช่าที่มากเกินไป แต่เป็นเพราะเขาไม่มีลูกชายจึงทำให้คิดมาก เอาแต่โกรธตัวเอง
ชายผู้นี้อารมณ์ไม่ดี แต่คนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องเยาะเย้ยข้อบกพร่องของเขา นายทะเบียนชี้ไปที่จมูกเขาแล้วพูดว่า “ไม่รู้จักภูมิใจในตัวเองเอาเสียเลย มีลูกสาวที่งดงามเหมือนดอกไม้หยกถึงสี่คนเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถได้รับความโชคดีเช่นนี้ เจ้าก็ยังเอาแต่บ่น การไม่มีลูกชายก็แสดงว่าพระเจ้าไม่ได้ให้เจ้าในส่วนนี้ เก่งนักเจ้าก็ไปบนสวรรค์สิ เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินมาว่าเจ้าเตรียมจะไปซื้อผู้หญิงชาวเกาลี่มาคลอดลูกให้เจ้า เจ้าช่วยเลิกทำเรื่องแย่ๆ ไม่ได้หรือ หมู่บ้านเรารับเด็กชาวเกาลี่ไว้ไม่ได้หรอก กล้าทำลายฮวงจุ้ยของหมู่บ้าน บรรพบุรุษของเจ้าจะต้องอับอายไปถึงแปดชั่วอายุคน เจ้าตั้งใจเลี้ยงลูกสาวให้ดี เมื่อถึงเวลาก็ไปหาลูกเขยจึงจะเป็นสิ่งที่ควรทำ เลิกทำเรื่องนอกรีตได้แล้ว”
ชายร่างใหญ่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด เขาพยักหน้าแล้วประทับลายมือลงบนสมุดบัญชีก่อนจากไปอย่างเศร้าใจ ต้องมอบกิจการครอบครัวที่สะสมมาทั้งชีวิตให้กับคนนอก ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
“อวิ๋นโหว ขออย่าโกรธหากข้าน้อยจะพูดตรงๆ ท่านช่วยอธิบายให้ข้าน้อยฟังได้หรือไม่ว่าเหตุใดชาวบ้านในหมู่บ้านท่านต้องจ่ายค่าเช่ามากมายเช่นนี้ ท่านดูสิ จางฉวนจ่ายค่าเช่าหกเหรียญสามตำลึง จางหยวนจ่ายค่าเช่าเก้าเหรียญห้าตำลึง ส่วนเหอต้าชังจ่ายค่าเช่าตั้งสี่สิบเจ็ดเหรียญหกตำลึง ข้าน้อยได้สุ่มตรวจสมุดบัญชีของกระทรวงการคลัง แต่ไม่เคยได้ยินตัวเลขดังกล่าว ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวพอจะบอกข้าได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยหัวเราะออกมา สมุดบัญชีของตระกูลอวิ๋นมักจะทำให้คนสงสัย ในยุคแห่งการเก็บผลผลิตทั่วไปนี้ การดำเนินงานต่างๆ ของตระกูลอวิ๋นนั้นชัดเจนมาก การที่ผู้ตรวจสอบพึ่งถามคำถามเอาตอนนี้ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ใจเย็นอย่างมาก หากรู้เข้าว่าเวลาที่เว่ยเจิงไม่มีอะไรทำก็มักจะไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเสมอแต่กลับไม่สนใจตระกูลอวิ๋น หรือทุกครั้งที่จั่งซุนกลับมาก็จะเปิดดูบัญชีของตระกูลอวิ๋นอย่างไร้มารยาท ซึ่งทุกครั้งก็มักจะโมโหแล้วโวยวายว่าตระกูลอวิ๋นเหลือกินหรือใช้เหมือนเอาเงินของทั้งโลกมาเติมหลุมศพ
แม่น้ำสายใหญ่อย่างตระกูลอวิ๋น กล้าที่จะกระทำการโดยไม่เกรงกลัว สายน้ำเล็กๆ อย่างชาวบ้านจึงได้ถูกเติมเต็มไปโดยธรรมชาติ ผัก น้ำมันพืช เนื้อหมูเป็ดไก่ แล้วยังมีขนมต่างๆ รวมถึงเครื่องเทศ โดยเฉพาะพริกของร้านเปี้ยนอี๋ฟาง สิ่งของเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านของตระกูลอวิ๋นทำเงินได้มากมาย คนอื่นทำได้แค่มองจนน้ำลายไหล ชาวบ้านไม่เคยให้เมล็ดพืชแก่บุคคลภายนอก อวิ๋นเยี่ยให้แค่กระกูลเฉิง ตระกูลหนิว และตระกูลฉิน ส่วนทายาทจอมล้างผลาญของตระกูลอวี้ฉือนั้น ถูกพวกชาวบ้านด่าลับหลังมานานหลายปี
ชายเฒ่าที่กำลังดื่มชาอยู่ใต้ซุ้มยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านขุนนาง ข้าน้อยคือเหอต้าชัง ข้าคือคนที่ปีนี้จ่ายค่าเช่าสี่สิบเจ็ดเหรียญหกตำลึง เดิมทีกะจะจ่ายแปดสิบเหรียญ แต่น่าเสียดายที่เจ้าบ้านไม่เห็นด้วย อาจารย์หลิวนายบัญชีที่นั่งอยู่ตรงนี้ให้ข้ารออยู่นานแต่ก็ไม่เห็นด้วย ท่านเองก็คิดว่าข้าจ่ายน้อยไปใช่ไหม ท่านดูสิ เงินข้าก็เอามาด้วย ท่านช่วยพูดกับอาจารย์หลิวให้หน่อยว่าปีนี้ข้าจะจ่ายให้เขาทีเดียวแปดสิบเหรียญ”
หวงอวี่ยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา นายบัญชีหลิวก็ตะโกนด่าว่า “เหอต้าชังสุนัขเจ้าเล่ห์ ฝันไปเถอะ เจ้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าบ้านได้หรอก เจ้าจ่ายค่าเช่ามาตั้งนานแล้ว ปีหน้าขนมในร้านสี่ส่วนก็ถูกเจ้าจองไปแล้ว ปีหน้าค่อยจ่ายค่าเช่าเพิ่มแต่ก็อย่าให้เกินห้าส่วน เวลาสี่ห้าปีมานี้เจ้าทิ้งร้านดีๆ ที่เจริญรุ่งเรืองไว้โดยเปล่าประโยชน์ ร้านทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เจ้าอยากจะใช้ส่วนแบ่งในปีนี้เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในปีหน้า คิดจะหาผลประโยชน์จากข้าอย่างนั้นหรือ ล้มเลิกเสียเถิด”