ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 67 สองราชันย์พานพบ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมฆขาวกระจายตัวอยู่เหนือหุบเขาเขียวขจี

หุบเขาสงบเงียบอย่างที่สุด มีต้นไม้เถาวัลย์รูปร่างประหลาดเติบโตอยู่มากมาย ป่าริมหน้าผามีเสียงคำรามของสัตว์อสูรทรงพลังดังขึ้นเป็นระยะๆ ทว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมิอาจกล้าเข้ามาในที่แห่งนี้ เพราะที่แห่งนี้มีวัดเก่าแก่ที่ใหญ่โตโอฬารอยู่ และเพราะว่าวัดเก่าแห่งนี้มีคนอาศัยอยู่สองคน

ชายชราถามด้วยความสับสน “เราซ่อนตัวมานานหลายศตวรรษและสามารถออกไปได้อย่างยากลำบาก แล้วเราก็กลับมาอย่างนี้น่ะหรือ”

ชายอีกคนยิ้มและกล่าว “ก็ใช่ว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย อย่างน้อยเราก็ได้เห็นผู้เยาว์คนนั้น”

ชายชราเอ่ย “หรือว่าใต้เท้าไปเพื่อพบกับผู้เยาว์คนนั้นโดยเฉพาะ”

ชายผู้นั้นตอบ “ผู้เยาว์คนนั้นเป็นศิษย์ของซางและยังได้รับการดูแลจากอิ๋น เทียนไห่น้อยก็ร้องขอให้ความลับสวรรค์ให้มาดูเขาโดยเฉพาะ ยากนักที่จะไม่ให้ข้าสงสัยใคร่รู้”

ชายชราตอบ “ใต้เท้ามิใช่คนคนที่จะกลับไปสู่โลกียวิสัยเพียงเพราะความสงสัยใคร่รู้”

ชายผู้นั้นกล่าว “ผู้เยาว์คนนั้นมีสมุดบันทึกและแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ของข้า อีกทั้งยังนำราตรีพร่างดาวมาสู่สุสานเทียนซู หลายคนกล่าวว่าเขานั้นคล้ายกับข้าในอดีตซึ่งต่างจากมุมมองของข้าเป็นธรรมดา”

ชายชราถาม “ใต้เท้าเห็นว่าอย่างไร”

สีหน้าของชายผู้นั้นหม่นหมองขึ้นมา “ผู้เยาว์คนนั้น…จะตายในไม่ช้า”

ชายชราตกตะลึงไปกับเรื่องนี้ “แล้วจะทำอย่างไรดี”

ชายคนนั้นเดินเข้าไปในโถงหลักของวัดโบราณ มองไปยังพระพุทธรูปใหญ่ที่ชำรุดทรุดโทรม “ทุกคนต่างก็หวังจะต่อต้านสวรรค์และเปลี่ยนชะตา แต่พวกเขาจะรู้ถึงกรรมที่เกิดขึ้นจากกรรมนั้นได้อย่างไร ยิ่งอยากเปลี่ยนชะตามากเท่าไรก็ยิ่งไม่อาจหลุดพ้นจากสายธารแห่งชะตามากขึ้นเท่านั้น ข้าไม่อาจมองเห็นได้ว่าชะตาของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ได้แต่มองดูเขา”

“แล้วเรื่องชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรงเล่า ใต้เท้าวางแผนจะไปพบพวกเขาเมื่อไร”

“เราจะคุยกันภายหลัง” ชายผู้นั้นมองออกไปยังท้องฟ้านอกวัดและกล่าว “ฝนกำลังจะตก รีบวาดภาพวันนี้ให้เสร็จเถอะ”

ภายนอกของวัดโบราณนี้ทรุดโทรมอย่างมาก ดูราวกับถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลานานจนนับไม่ถ้วน ภาพพระพุทธรูปตามโถงต่างๆ ภายในวัดก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่การสืบทอดของสำนักพุทธในต้าลู่นั้นขาดหายไปนานแล้ว และประชาชนทั่วไปแทบไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ดังนั้นภาพแบบนี้จึงเป็นธรรมดาอย่างมาก อันที่จริงแล้วการที่วัดโบราณยังสามารถดำรงอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นปริศนาอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ภาพวาดบนผนังหินของวัดนั้นสมบูรณ์อย่างยิ่งถึงขนาดดูเหมือนใหม่ เห็นได้ชัดว่าถูกวาดในเวลาไม่กี่ปีมานี้

ภาพวาดบนผนังก็ล้วนงดงามอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจิตรกรที่โดดเด่นเช่นนี้ในโลกทุกวันนี้

หากเฉินฉางเซิงได้เห็นภาพบนผนัง เขาต้องคิดถึงภาพวาดบุคคลในหอหลิงเยียนเป็นแน่

ชายชรายืนบนแท่นไม้มือถือพู่กันเตรียมที่จะลงมือทำงาน กระนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจห้ามใจไว้ได้ “ในตอนนั้นท่านควรจะลองดูสักหน่อย”

ชายอีกคนนั่งบนซากระฆังตรงหน้าห้องโถง มือหนึ่งถือหม้อใส่น้ำพุและดื่มน้ำช้าๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าว “ข้าไม่อาจชนะเขาได้”

ชายชราวางพู่กัน มองออกไปนอกห้องโถงแล้วจึงกล่าว “ปีก่อนซูหลีอยู่นอกเมืองเสวี่ยเหล่า…”

ชายอีกคนไม่ได้กล่าวตอบ เพียงแค่มองไกลออกไปอย่างเงียบงัน

ชายชราถอนหายใจอยู่ภายในและไม่ถามอีกต่อไป

ในตอนนั้นราชามารอยู่ภายในเมืองเสวี่ยเหล่า ชุดดำอยู่ภายนอก เขาจะบอกให้โจมตีได้อย่างไร จะสามารถโจมตีได้อย่างไร

……

……

ริมฝั่งแม่น้ำแดง บนกำแพงเมืองไป๋ตี้ เมฆลอยลงมาช้าๆ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นลางดีหรือลางร้าย

บนแท่นกานลู่ จักรพรรดินีเทียนไห่ไม่ได้มองไปทางเหนืออีกต่อไป นางหันหลังกลับและเดินลงจากแท่น

ลึกเข้าไปในพระราชวังหลี สังฆราชมองไปที่ใบไม้ครามอย่างใช้ความคิด สีหน้าท่าทางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ความมืดที่ปกคลุมหานซานแยกออกและลอยไกลออกไปช้าๆ ฟ้าดินกลับสู่ทิวาอีกครั้งหนึ่ง ริมทะเลสาบบนยอดเขาผู้เฒ่าความลับสวรรค์เช็ดเลือดที่ริมฝีปากเบาๆ ครั้นเขาจ้องมองเข้าไปในทุ่งหิมะที่อยู่ห่างจากเทือกเขานี้ไปทางทิศเหนือ ดวงตาเก่าแก่โบราณของเขาดูจะหม่นมัวเล็กน้อย ไม่อาจมองเห็นเส้นทางเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจนเท่าไรนัก

เชิงเขาทางด้านใต้ของหานซานมีอาลักษณ์ซึ่งผูกดอกไม้แดงไว้ที่นิ้วก้อยปรากฏกายขึ้น หลังจากฝ่าฝุ่นมาเป็นระยะทางหลายพันลี้มันก็ไม่ได้ดูฉูดฉาดอีกต่อไป ชายสวมหมวกไม้ไผ่ปรากฏกายขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ นอกประตูทางเข้าหานซาน โหนกแก้มถูกลมทะเลกัดกร่อน ดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง พวกเขามาสายเกินไป บัณฑิตวัยกลางคนได้ไปจากหานซานแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังไม่จากไป แต่ยืนเฝ้าระวังอยู่รอบหานซานร่วมกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวงทั้งสองที่ถือสมบัติวิเศษของนิกายหลวง ป้องกันความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น

บนแนวรบที่ทอดยาวอยู่ตอนเหนือของต้าลู่ กองทัพอุดรต้าโจวและยอดฝีมือที่แดนใต้ส่งมาเพื่อช่วยเหลือชาวเหนือต่างก็ได้รับคำสั่งลับจากผู้บังคับบัญชาของตนให้ลงมือและเริ่มที่จะเตรียมตัวสำหรับการรบอย่างเคร่งเครียด กองทัพของเผ่าปีศาจเริ่มเคลื่อนไหวไปตามแม่น้ำแดง มุ่งหน้าสู่ทุ่งหิมะทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาสังหารเผ่ามารเล็กๆ ที่อยู่ตามทางไปด้วย

ไม่ว่าจะเป็นขุนพลเทพแห่งต้าโจวที่ออกคำสั่งให้เดินทัพหรือเหล่าผู้นำจากพรรคสำนักและตระกูลในแดนใต้ ไม่มีใครรู้สาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ เสียงถกปัญหามีอยู่ทุกที่ในค่ายทหารและถ้ำต่างๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทำให้รู้สึกไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ นอกเขาหานซานและชาวเมืองในจิงตู พวกเขาไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลยแม้แต่น้อย พวกเขากินข้าว ทำงาน ใช้ชีวิตตามปกติไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าวันที่ดูเหมือนหน้าร้อนอันธรรมดาเช่นนี้ สงครามระหว่างเผ่ามารกับพันธมิตรเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านมานานหนึ่งพันปี

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ…ราชามารได้ออกจากเมืองเสวี่ยเหล่าแล้ว

เขาได้ไปยังหานซานและจากนั้นก็ออกจากหานซาน

……

……

ผู้คนที่รู้ว่าราชามารได้กลับเข้าสู่ที่ราบกลางนั้นมีจำนวนน้อยยิ่งนัก

จำนวนคนที่รู้ว่าราชามารไปจากหานซานแล้วมีน้อยยิ่งกว่า ระหว่างทางกลับไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า เขาได้พบกับคนผู้หนึ่งบนทุ่งหิมะ

หลังจากผ่านไปหลายปีคนทั่วไปถึงได้รู้เรื่องการพบกันในครั้งนี้ แต่นี่เป็นการพบกันที่สำคัญที่สุดในเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้

ไม่มีการนัดหมายแต่อย่างใด แต่นี่ไม่ใช่การพบกันโดยบังเอิญ

คนผู้นี้รอราชามารอยู่ในทุ่งหิมะเป็นเวลานานแล้ว

สายลมและหิมะเต็มท้องฟ้า คนผู้นั้นปกคลุมไปด้วยสีขาว จากเส้นผมจนถึงเสื้อผ้า จากคิ้วถึงริมฝีปากล้วนแต่เป็นสีขาว

เขาไม่ได้ถูกหิมะย้อมเป็นสีขาว สีขาวนี้ขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก ขาวจนรู้สึกน่ากลัว ขาวโพลนอย่างที่สุด

คนที่สามารถคำนวณเส้นทางกลับของราชามารและรออยู่กลางทาง กล้าที่จะรอเขาอยู่ที่นี่ ต่อให้มองย้อนกลับไปเป็นพันปีก็มีคนไม่มากนักที่สามารถทำเช่นนี้ได้

หากพูดให้แม่นยำยิ่งขึ้น คนผู้นี้มิใช่มนุษย์ หากแต่เป็นชาวเผ่าปีศาจที่มีระดับการบำเพ็ญเพียรที่สะเทือนฟ้าดิน

จักรพรรดิขาวแห่งตะวันตก

……

……

พันปีก่อนเผ่ามารบุกลงใต้และต้าลู่ก็เกิดความโกลาหล ยอดฝีมือที่เข้าร่วมมีมากมายมหาศาลทิ้งการศึกที่นับไม่ถ้วนเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ในการศึกเหล่านั้นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือการศึกที่ลั่วหยางระหว่างโจวตู๋ฟูกับจักรพรรดิไท่จง รวมถึงการต่อสู้เอาเป็นเอาตายระหว่างเขากับราชามาร ทว่ายังมีการศึกที่เป็นความลับอีกคราหนึ่งซึ่งในแง่ของความแข็งแกร่งและความยากลำบากในการต่อสู้แล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าการศึกทั้งสองนั้นเลย มันเป็นการศึกระหว่างยอดฝีมือที่สูงสุดภายใต้ท้องฟ้าดวงดาวในสวนโจวระหว่างเฉินเสวียนป้ากับโจวตู๋ฟู

เฉินเสวียนป้าตายในการศึก โจวตู๋ฟูหายตัวไป จักรพรรดิไท่จงกลับสู่ทะเลดวงดาว สี่สุดยอดฝีมือในอดีตเหลือเพียงราชามารเท่านั้น หนึ่งพันปีต่อมาไม่มีการศึกที่สะเทือนฟ้าดินเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ไม่มีแม้แต่การศึกที่ใกล้เคียงระดับนั้น

จนถึงวันนี้ การพบกันบนที่ราบซึ่งปกคลุมไปด้วยลมและหิมะแห่งนี้

ครั้นพวกเขาได้พบกันแล้ว ย่อมต้องสู้กันเป็นธรรมดา

……