ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังหรือฐานะ การต่อสู้ระหว่างราชามารและจักรพรรดิขาวครั้งนี้มีคุณสมบัติพอที่จะเทียบเคียงกับการศึกทั้งสามครั้งเมื่อพันปีก่อน
น่าเสียดายที่การศึกครั้งนี้ไม่มีผู้ใดได้รับชม
ในตอนนั้นการต่อสู้ระหว่างโจวตู๋ฟูกับเฉินเสวียนป้าก็ไม่มีผู้ชมเช่นกัน แต่หลังจากนั้นโจวตู๋ฟูได้บอกเล่ารายละเอียดการต่อสู้ครั้งนั้นออกมาหลายครั้ง เป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งนักที่โจวตู๋ฟูไม่ได้ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อเฉินเสวียนป้าและกล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาอยากจะบอกให้โลกได้รู้ว่าเฉินเสวียนป้านั้นยอดเยี่ยมเพียงใด
ส่วนการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าราชามารหรือจักรพรรดิขาวต่างก็ไม่เคยพูดถึงมัน จึงไม่มีใครรู้ถึงรายละเอียด
ไม่มีใครรู้ผลของการต่อสู้ในครั้งนี้
ทั้งโลกรู้เพียงว่าหลังจากวันนั้น มีหลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นบนทุ่งหิมะตอนเหนือของหานซาน หลุมในทุ่งหิมะลึกประมาณสามสิบจั้งเส้นผ่าศูนย์กลางยาวสิบกว่าลี้ หากยืนอยู่กลางหลุมและมองไปรอบๆ จะรู้สึกราวกับว่ายืนอยู่ในทุ่งราบ
นี่คือร่องรอยที่เหลืออยู่จากการศึกครั้งนี้ที่ลบล้างได้ยากที่สุด และยังแสดงถึงความรุนแรงในการศึกได้อย่างชัดเจน
ผลกระทบจากการศึกนี้กว้างไกลยิ่งกว่าหลุมลึกนี้ เจ็ดสิบลี้ในทุ่งราบแดนเหนือมีป่าเขียวชอุ่มอยู่ หลังจากนั้นแม้แต่เหล่านักล่าของเผ่ามารที่คุ้นเคยกับบริเวณนี้ดีก็ไม่อาจหาร่องรอยของป่านี้ได้อีกเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นค่ายของพลหมาป่าเผ่ามารที่ซ่อนตัวอยู่ในป่านี้ก็หายไปอย่างประหลาด
แผ่นดินเจ็ดสิบลี้ถูกทำลาย ดังนั้นทุ่งหิมะที่ใจกลางสนามรบจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึง
ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดให้เห็นที่ก้นหลุมใหญ่ มีเพียงก้อนหินที่เคยแข็งแกร่งยิ่งถูกบดเป็นผุยผง ไม่มีซากศพให้เห็นเช่นกัน จิ้งจอกหิมะ สัตว์อสูร หรือแม้แต่สัตว์เล็กๆ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย มีแต่ต้องขุดลึกลงไปใต้ดินจึงพอจะเห็นรอยเลือดอยู่บ้าง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ควันร้อนลวกที่เหลืออยู่ในสนามรบซึ่งลอยขึ้นจากหลุมประหนึ่งว่ามีดาวตกลงมายังที่แห่งนี้
หลุมที่ร้อนแผดไหม้เช่นนี้ย่อมไม่อาจสะสมหิมะได้ เมื่อเกล็ดหิมะลอยลงมา หิมะก็ละลายกลายเป็นน้ำ และค่อยๆ ก่อตัวเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ เป็นลำธาร และกลายเป็นทะเลสาบในที่สุด ด้วยลมหิมะที่ไม่หยุดหย่อน ระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านไป ดังนั้นทุ่งหิมะตอนเหนือของหานซานจึงมีทะเลสาบสีครามซึ่งไม่เคยแข็งตัวตลอดเวลาปีแล้วปีเล่า
เช่นเดียวกับทะเลสาบสวรรค์บนยอดเขาหานซาน
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในอีกหลายปีให้หลัง ในตอนนี้แทบไม่มีใครรู้ว่ามีหลุมเกิดขึ้นทางตอนเหนือของหานซานและมันจะกลายเป็นทะเลสาบในอนาคต คนน้อยนักที่รู้ว่ามีการศึกเกิดขึ้นที่นี่ เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครรู้ว่าการศึกครั้งนี้มีผลลัพธ์เช่นใด
การศึกครั้งนี้มีคนได้เห็นเพียงสามคนเท่านั้น
หลังจากการต่อสู้นี้จบลง ผู้ชมสองคนเดินออกไปท่ามกลางลมหิมะ
ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าเป็นนักพรตวัยกลางคน รูปลักษณ์ดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ที่เดินอยู่ด้านหลังเป็นผู้เยาว์ที่มีรูปลักษณ์ไม่ธรรมดาอย่างมาก ขาก็พิการมีไม้เท้ายันอยู่ใต้รักแร้ ผมสีดำทิ้งลงมาปกคลุมดวงตาบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง ทั้งสองก็คือผู้ที่หายไปจากเมืองซีหนิงและไม่ถูกพบเห็นอีกเลย นักพรตจี้และ…อวี๋เหริน
จักรพรรดิขาวมองไปที่นักพรตจี้และพยักหน้าช้าๆ
นักพรตจี้ก็โค้งกายเล็กน้อยตอบกลับไป
จักรพรรดิขาวมองไปที่อวี๋เหรินจากนั้นก็หันกลับและหายไปในพายุหิมะ
นักพรตจี้มองไปทางเหนืออย่างเงียบงันและนำอวี๋เหรินจากไปในพายุหิมะในทิศทางตรงกันข้าม
นับจากต้นจนจบไม่มีใครพูดอะไร
ทุ่งหิมะหลายร้อยลี้ทางเหนือ ชุดดำวางแผ่นเหล็กที่ดูเหมือนจะพังอยู่บ้างลงและมองไปทางใต้
ลมหวีดหวิวพัดผ้าที่คลุมศีรษะขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าครึ่งล่างของเขา
ใบหน้าไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย เมื่อรวมกับแสงจางสีเขียวบนผิวแล้วก็ทำให้ดูพิลึกและน่ากลัว ทว่าหากมองดูส่วนเล็กๆ บนใบหน้าเขา แม้จะเป็นเพียงแค่ปากและคางก็ยังทำให้รู้สึกว่าคนผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามอย่างยิ่ง ใบหน้าอันแปลกประหลาดแผ่ความรู้สึกที่งดงาม ต้องเป็นใบหน้าที่งดงามถึงเพียงไหน
ไม่นานหลังจากนักพรตจี้และอวี๋เหรินหายไปในหิมะ เขาก็ดึงผ้าคลุมศีรษะลงและเริ่มเดินเข้าสู่พายุหิมะไปทางเหนือ
เขาไม่ได้เข้าใกล้ทุ่งหิมะรอบเมืองเสวี่ยเหล่าเพราะถูกร่างเงาอันใหญ่โตขวางไว้
มันคือยักษ์ล้มภูเขาขนาดมหึมา
ยักษ์ล้มภูเขาที่มีนิสัยดุร้ายโหดเหี้ยมและแข็งแกร่งกำยำกลับมีท่าทีเชื่องเชื่อเพราะมันเป็นสัตว์พาหนะตัวหนึ่ง
เสียงโหดเหี้ยมเย็นชาดังมาจากเขาของยักษ์ล้มภูเขา
“ผู้บัญชาการเช่นข้าดูเหมือนจะมาสายไปหน่อย”
ผู้บัญชาการทหารเผ่ามารนั่งอยู่บนเขาของยักษ์ล้มภูเขา เอนกายพิงขากรรไกรของมันในขณะที่มองไปที่ชุดดำเบื้องล่างอย่างเย็นชา
ชุดเกราะปกคลุมด้วยเส้นทองคำและสนิมสีเขียว ดูเจิดจ้าเป็นอย่างมาก
เสียงของเขาแหบแห้งผิดปกติ เสียดหูราวกับเสียงโลหะเสียดสีกัน
ชุดดำไม่สนใจผู้แข็งแกร่งอันดับสองของเผ่ามาร ก้มหน้าอย่างเงียบงันเตรียมจะเดินไป
เสียงผู้บัญชาการทหารเผ่ามารขุ่นเคืองมากขึ้นเมื่อเขาตะโกนขึ้น “ในฐานะกุนซือ เจ้าล้มเหลวในการห้ามปรามฝ่าบาท เจ้าคิดว่าตนเองสมควรได้รับโทษอย่างไร!”
เสียงของชุดดำเฉยชาและไม่ใส่ใจ “ฝ่าบาทกลับมาอย่างปลอดภัย แล้วเจ้ากับข้าจำเป็นต้องสร้างปัญหาขึ้นมาโดยไม่จำเป็นด้วยหรือ”
ผู้บัญชาการทหารเผ่ามารขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม ตะโกนด่ากลับไป “ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักกลับมาแล้วเจ้ายังกล้าพูดว่าข้ามาหาเรื่องโดยไม่จำเป็นอีกหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชุดดำจึงหยุดเดินในที่สุด เงยหน้าขึ้นมองไปที่ยักษ์ล้มภูเขาตัวมหึมา เขากล่าวอย่างชัดเจน “เจ้ากล้าที่จะสืบหาอาการบาดเจ็บของฝ่าบาทจากข้าเชียวหรือ หากฝ่าบาทรู้เข้าเจ้าต้องตายอย่างน่าอนาถ”
ผู้บัญชาการทหารเผ่ามารพ่นลมอย่างเย็นชาและกล่าว “เจ้าเชื่อว่าฝ่าบาทจะยังเชื่อถือเจ้าเหมือนในอดีตเช่นนั้นหรือ”
ชุดดำตอบอย่างสุขุม “ฝ่าบาทเชื่อในตัวข้ามานานหลายร้อยปีแล้ว และก็จะเชื่อในตัวข้าต่อไปอีกนาน”
ผู้บัญชาการทหารเผ่ามารตะเบ็งเสียง “หากฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ใครจะมาปกป้องชีวิตของเจ้าได้ อย่าลืมว่าหลายปีที่ผ่านมามีข้าราชบริพารมากมายแค่ไหนที่ถูกเจ้าสังหาร มีผู้อาวุโสมากมายเพียงใดที่เจ้าล่วงเกิน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าทำเพื่อเผ่าของพวกเรามากมายแค่ไหนเจ้าก็ยังเป็นแค่มนุษย์เท่านั้น!”
ชุดดำไม่สนใจเขาและเดินเข้าไปในพายุหิมะต่อไป
ไม่มีใครรู้เรื่องการสนทนากลางหิมะนี้ และหากได้รู้ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
สำหรับขุนพลและทหารเผ่ามาร ผู้บัญชาการทหารและกุนซือถกเถียงกัน เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมาก
แต่หากคิดดูให้ดีแล้ว ก็จะตระหนักได้ว่าบทสนทนานี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
……
……
หลังจากพันปีผ่านไป ราชามารก็ปรากฏกายขึ้นในโลกมนุษย์อีกครั้ง ต้าลู่เข้าสู่กลียุคและตึงเครียดอย่างมาก หานซานที่เป็นต้นกำเนิดของเรื่องทั้งหมดตึงเครียดยิ่งกว่า
ค่ายกลหินสวรรค์ถูกราชามารทำลายสิ้น หินสวรรค์หลายพันก้อนจึงกลับสู่ที่เดิม ช่องว่างที่พื้น หน้าผา ตลอดจนน้ำในทะเลสาบก็ถูกเติมเต็มอีกครั้ง ผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำไปยังยอดเขาเพื่อรับการรักษา ผู้เสียชีวิตถูกส่งกลับบ้านเกิด ทางเดินบนเขาและหน้าผาที่ถูกทำลายเริ่มได้รับการซ่อมแซม กระนั้นบรรยากาศก็ยังไม่อาจกลับคืนสู่ความสงบเช่นก่อนหน้านี้ได้ พนักงานของหอความลับสวรรค์และผู้บำเพ็ญเพียรที่มาร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือต่างก็มีอารมณ์ที่ตึงเครียด
แม้แต่ในตอนนี้ ก็มีคนไม่มากนักที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เหตุใดยอดฝีมือขั้นสูงสุดของโลกมนุษย์ถึงได้มายังหานซานอย่างต่อเนื่อง ความจริงยังคลุมเครือราวกับอยู่ในหมอกหนาทว่าผู้คนก็ยังสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่สำคัญยิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นี่เป็นเพราะการคุ้มกันอย่างหนาแน่นรอบหานซานและเพราะบรรยากาศกดดันที่แผ่ออกมาจากบ้านริมทะเลสาบ
ราชันย์แห่งหลิงไห่และเหมาชิวอวี่ที่เคยถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าหานซานได้ปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาและยืนอยู่นอกบ้านด้วยสีหน้าน่าเกลียด
มีบ้านเรือนสิบกว่าหลังอยู่ริมทะเลสาบ ตั้งใจจะให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าร่วมการประชุมใหญ่จู่สือได้พัก บ้านหลังนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด หันหน้าเข้าหาทะเลสาบหันกลังให้ภูเขา มีความสงบและทิวทัศน์ดีที่สุด กระนั้นก็ตาม เห็นได้ชัดว่านี่ไม่เพียงพอให้เหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่มีอารมณ์ดีขึ้นได้แม้แต่น้อย
เพราะในตอนนี้เฉินฉางเซิงยังคงหมดสติอยู่ในบ้านหลังนี้
……