ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 69 เจ้าหนีมาได้อย่างไร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลังจากเขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากและเห็นใบหน้าเป็นห่วงของถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ทว่าหลังจากเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยอยู่เป็นนิจของเจ๋อซิ่วแสดงความเป็นห่วงออกมา เขาก็ชักตกใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกอยากหัวเราะ

อาการบาดเจ็บของเขามิใช่ย่อย ห้วงแห่งจิตสั่นสะเทือนทำให้เขาหมดสติไป

นี่ไม่ใช่เพราะการบาดเจ็บภายในที่เขาได้รับจากการใช้กระดุมพันลี้และกระแทกเข้ากับค่ายกลหินสวรรค์ซึ่งห้อมล้อมหานซานเอาไว้ หากแต่เป็นเพราะการใช้นิ้วโจมตีจากระยะไกลของราชามาร

ตอนนั้นราชามารยืนอยู่ริมลำธารห่างจากเขาเป็นระยะทางไกล ชี้นิ้วมาที่เขา

เขาได้ใช้ร่มกระดาษทองป้องกันพลังปราณนี้เอาไว้ทว่าไม่อาจป้องกันแรงปะทะที่รุนแรงที่มาพร้อมกับมันได้

“เจ้าฟื้นขึ้นได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกสงสัยเมื่อเห็นเขาฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็วและเอนกายไปด้านหน้าเพื่อช่วยประคองเขาขึ้น

เจ๋อซิ่วก็กล่าว “เขาฟื้นเร็วจริงๆ”

เฉินฉางเซิงนั่งพิงหัวเตียงมองดูพวกเขาแล้วกล่าว “ทำไมข้าไม่เห็นความตื่นเต้นบนหน้าของพวกเจ้าเลย”

เจ๋อซิ่วไม่สนคำถามนั้นในขณะที่ถังซานสือลิ่วตอบ “ผู้เฒ่าความลับสวรรค์มาหาเจ้าด้วยตัวเองและยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงไม่มีอะไรให้เราต้องเป็นห่วง”

เฉินฉางเซิงคิดถึงสีหน้าเป็นกังวลที่เขาเห็นตอนฟื้นขึ้นมา ก็รู้ว่าพวกเขาไม่อยากจะยอมรับ เขาไม่เซ้าซี้กับพวกเขาและกล่าว “ผู้เฒ่าความลับสวรรค์บอกว่าข้าไม่มีปัญหาอะไรก็หมายความว่าข้าไม่มีปัญหาอะไรเช่นนั้นหรือ เจ้าควรไปตามเจ้าสำนักเหมามาดูสิ”

ในตอนนี้เหมาชิวอวี่เป็นมุขนายกของตำหนักอิงหัวแต่พวกเขายังคุ้นกับการเรียกเขาว่าเจ้าสำนัก

ถังซานสือลิ่วตอบ “ผู้เฒ่าความลับสวรรค์คำนวณดวงดาวเบื้องบนสายน้ำเบื้องล่างและไม่เคยผิดแม้แต่ครั้งเดียว หากเขาบอกว่าไม่มีอะไรก็ต้องไม่มีปัญหาอะไร”

เฉินฉางเซิงเงียบไปก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นเขาก็คงคำนวณแล้วว่าเราจะต้องพบกับเรื่องพวกนี้สินะ”

ด้วยคำพูดนี้ทำให้ห้องเงียบงันผิดปกติ มีแต่เสียงแผ่วเบาจากที่ห่างไกลให้ได้ยิน

ความสงบนิ่งเงียบงันนี้เป็นเพราะพวกเขาต่างก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเข้ามาในหานซานนั้นเป็นแผนการที่วางเอาไว้ แต่สาเหตุหลักก็คือพวกเขาจำบัณฑิตวัยกลางคนได้

ภาพของบัณฑิตวัยกลางคนเอามือไพล่หลังมองลูกพลับนั้นประทับลึกอยู่ในความทรงจำของพวกเขา

พวกเขารู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะลืมภาพนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ

หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ถังซานสือลิ่วก็กระซิบกับเฉินฉางเซิง “เจ้าแน่ใจนะ…ว่าเป็นคนผู้นั้น”

เฉินฉางเซิงพยักหน้าช้าๆ โดยไม่กล่าวอะไร

ถังซานสือลิ่วก้มหน้าและนวดหน้าผากไร้เรี่ยวแรงจะพูด

เขาเป็นบุตรชายของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย แม้แต่ตระกูลเทียนไห่ก็ยังไม่กลัวสักเท่าไร เรียกได้ว่าเขานั้นไม่กลัวอะไรภายใต้ฟ้าดินนี้ เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นต่อหน้าสำนักฝึกหลวงเป็นข้อพิสูจน์ได้ แต่กระนั้นเมื่อเขานึกถึงบัณฑิตวัยกลางคน เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

“ตอนที่ข้ายังเด็กมาก ข้ามีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง”

เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความอึดอัดในห้อง

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วหันไปมอง

เจ๋อซิ่วมองไปยังทั้งสองและกล่าวต่ออย่างเรียบเฉย “ก็คือสังหารเขา”

เฉินฉางเซิงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก การหวังที่จะสังหารราชามารตั้งแต่ยังเด็กนั้นช่างเป็นสิ่งที่…

“น่าเกรงขาม” ถังซานสือลิ่วกล่าวกับเจ๋อซิ่วด้วยความชื่นชมจากใจ “เจ้าน่าเกรงขามเหลือเกิน”

“แต่…มันเป็นแค่ความฝัน”

เจ๋อซิ่วนึกถึงภาพที่เขาได้เห็นบนทางภูเขา สีหน้าก็ขาวซีดอยู่บ้าง “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นเขากับตาตัวเอง”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาโบกมืออย่างดูถูกและหันไปหาเฉินฉางเซิงแล้วถาม “เจ้ารอดมาได้อย่างไร”

นี่คือเรื่องที่ทุกคนในหานซานหรือแม้แต่คนทั้งโลกอยากรู้ และยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดยากจะทำความเข้าใจที่สุดในเหตุการณ์ทั้งหมด แม้ว่าจะถูกค่ายกลหินสวรรค์ของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ทำให้ช้าลง ราชามารก็ยังต้องการที่จะสังหารเฉินฉางเซิง แล้วเขาเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร

อาศัยความแข็งแกร่ง พรสวรรค์ ของวิเศษหรือความมุ่งมั่น

ย่อมไม่ได้ นี่คือราชามาร

ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะโดดเด่นในเรื่องพวกนี้สักเท่าไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลบหนีมาได้เพราะสิ่งเหล่านั้น

เมื่อได้ยินคำถามของถังซานสือลิ่ว เจ๋อซิ่วไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนัก เพียงแค่ก้าวเข้าใกล้เตียงมาอีกสองก้าว เห็นได้ชัดว่าเขาก็สนใจกับคำตอบนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่กลับใช้สายตาส่งสัญญาณให้กับถังซานสือลิ่ว

ถังซานสือลิ่วเข้าใจ เขาเดินไปที่ประตูและมองไปรอบๆ จากนั้นก็นำเอาของวิเศษออกมาจากอกเสื้อ ไอพลังปราณบางเบาพุ่งออกมาบดบังสายตาทั้งหลายที่แอบมองอยู่

“ข้า…พบคนผู้หนึ่ง” เฉินฉางเซิงลังเลก่อนที่จะกล่าวต่อ “คนผู้นั้นอาจเป็นใต้เท้าหวัง”

ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วสบตากัน ใบหน้าตกใจอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะเจ๋อซิ่ว ลูกหมาป่าที่เด็ดเดี่ยวและยึดมั่น นอกจากชื่อของราชามารแล้วจะมีชื่อใดอีกที่ทำให้เขาเสียการควบคุมอารมณ์ได้

ใต้เท้าหวัง…ในโลกนี้มีคนมากมายที่แซ่หวัง และมีคนมากมายที่รับราชการ ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าหวัง พันปีที่ผ่านมามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องมีบริบทใดมาบรรยาย แค่เรียกเขาว่าใต้เท้าหวัง ทุกคนในโลกก็รู้ว่าหมายถึงใคร

คนผู้นั้นมีนามว่าหวังจื่อเช่อ

ห้องเปลี่ยนเป็นเงียบงันหาใดเปรียบ ความเงียบงันที่ดำรงอยู่นานกว่าครั้งก่อน

หลังจากเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่ทราบ ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วก็ตื่นขึ้นจากความตกตะลึง

ถังซานสือลิ่วถอนหายใจ “ใต้เท้าหวัง…ยังไม่ตายจริงๆ”

เฉินฉางเซิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เขาจึงถามถังซานสือลิ่ว “พวกเจ้าไม่ตกใจหรือ”

ถังซานสือลิ่วตอบอย่างโกรธๆ “พวกเราเพิ่งนิ่งงันไปเมื่อครู่ เจ้ายังอยากให้เราตกใจแบบไหนอีก”

“แต่…เจ้าพูด ‘จริงๆ’ เมื่อครู่…หรือว่าจะมีคนจำนวนมากที่คิดว่าใต้เท้าหวังยังไม่ตาย”

“แน่นอน ข่าวลือพวกนี้มีวนไปเวียนมาอยู่ตลอดเวลา ว่ากันว่าใต้เท้าหวังยังไม่ตาย แค่ซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษจากโลก”

“แต่ในคัมภีร์เต๋าและประวัติศาสตร์ ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าใต้เท้าหวังได้กลับคืนสู่ทะเลดวงดาวแล้ว”

“หากเจ้าเชื่อข้อความทั้งหมดในตำราประวัติศาสตร์ เช่นนั้นผู้หญิงก็เป็นจักรพรรดิได้”

“จักรพรรดินีเทียนไห่…”

“มันเป็นคำอุปมาอุปไมย…สรุปแล้วเรื่องนี้เป็นหนึ่งในสองปริศนาที่ใหญ่ที่สุด ผู้คนก็สงสัยเรื่องนี้มาตลอด”

“สองปริศนาที่ใหญ่ที่สุด?” ถังซานสือลิ่วถามอย่างสงสัย

ถังซานสือลิ่วอธิบาย “จุดจบของโจวตู๋ฟูกับใต้เท้าหวัง”

เฉินฉางเซิงคิดถึงโลงหินในสุสานโจวที่เหมือนกับทุ่งหญ้าแห้งแล้งและดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมา “เพราะไม่มีใครเคยพบกระดูกของพวกเขาเช่นนั้นหรือ”

ถังซานสือลิ่วตอบ “หากพูดให้ชัดเจนก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาตายหรือไม่…ในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิไท่จงหรือพวกตำนานในหอหลิงเยียน พวกเขาต่างก็กลับคืนไปสู่ทะเลดวงดาวในที่สุด ทั้งหมดต่างก็มีพยานรู้เห็นมากมาย ยกเว้นเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น”

เฉินฉางเซิงคิดดูแล้วก็กล่าวอย่างมั่นใจอย่างยิ่ง “เช่นนั้นอย่างน้อยปริศนาหนึ่งก็ถูกไขแล้ว”

ถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วสบตากันอีกครั้งและถามอย่างไม่แน่ใจ “เจ้ามั่นใจนะ”

ด้วยว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป เมื่อข่าวที่หวังจื่อเช่อยังมีชีวิตอยู่แพร่ออกไป มันต้องสั่นสะเทือนไปทั้งต้าลู่

เฉินฉางเซิงพยักหน้าแต่แล้วก็พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป