GGS:บทที่ 906 ขยะกองใหม่

 

เมื่อซูจิ้งเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศ เขาก็เห็นวังวนมิติขนาดใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหมือนเช่นเคย ไม่นานก็ได้มีขยะจำนวนมหาศาลเทลงมาเป็นสาย

และเหมือนครั้งก่อนพวกมันลอยอยู่กลางอากาศหลังจากนั้นก็ลอยแยกเป็นกองๆไป เมื่อมองดูรวมๆแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นของที่มานั้นจะออกแนวยุคเก่า มีโต๊ะและเก้าอี้โบราณ ดาบหักๆและของอื่นๆอีก

จากการที่ประเมินคร่าวๆแล้วน่าจะเป็นห้วงเวลาที่ยุคเก่าหน่อยๆ และเขาเองก็ไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเช่นกันเลยยังนึกไม่ออกว่ามาจากที่ไหน

 

หลังจากผ่านไปสักพัก ขยะห้วงเวลาฯก็ได้หยุดเทลงมา และสักพักวังวนมิติก็ได้หายไป ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้สนใจที่จะไปยังอีกฝั่งของวังวนมิติตั้งนานแล้ว

และเขาเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าคนที่คอยเปิดประตูพวกนี้มาเรื่อยๆก็คงจะถอดใจกับวังวนมิตินี้ด้วยเช่นกัน ทำได้เพียงทดลองเปิดประตูไปเรื่อยๆไปเป็นการฆ่าเวลาเท่านั้น

เอาจริงๆถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน แม้ว่าจะมีโอกาสที่ขยะห้วงเวลาฯที่หลุดมานั้นจะสามารถสร้างความสะพรึงให้กับโลกนี้

เอาจริงๆต่อให้ช่วงนี้ขยะห้วงเวลาฯที่เทลงมานั้นจะยังจัดการได้อย่างง่ายๆ แต่เขานั้นก็ไม่อยากที่จะย่อนยานในการเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจจะตามมาได้เลยสักครั้งเดียว

และแน่นอนว่าเขานั้นไม่มีทางเอาความหวังลมแล้งๆในการที่จะให้ประตูอีกฝั่งทิ้งแต่ของดีๆมาให้เขาได้อย่างแน่นอน มีเพียงการที่เขาควบคุมการเปิดปิดวังวนนี่ได้เท่านั้นที่จะทำให้เขามั่นใจได้

 

ซูจิ้งได้ตรงไปยังกองขยะห้วงเวลาฯสีเขียวก่อนเป็นอันดับแรก ในกองนั้นเต็มไปด้วยพืชและแมลงตัวเล็กๆ ถึงแม้ขยะจะแยกตามสัณฐานของขยะห้วงเวลาฯก็ตามแต่กว่าครึ่งของพวกมันก็เหมือนจะตายไปหมดแล้ว

ซูจิ้งมีความรู้สึก่าคราวนี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกไส้เดือนและแมลงคล้ายๆมดเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นพันธุ์ที่เขานั้นไม่เคยเห็นมาก่อน

ที่น่าสนใจที่สุดก็คือพืชที่มีดอกขนาดใหญ่ยักษ์ ความสูงของมันสูงพอๆกับกิ่งก้านที่แพร่ขยายไปข้างๆ ลำต้นของมันสีเหมือนเหล็ก ถึงจะบอกว่าสีเหมือนเหล็กแต่ลำต้นของมันก็เรียวและนุ่มหยุ่นมือ ตรงกลางดอกใหญ่ยักษ์นั้นมีสีแดงและมีกลิ่นฉุน มีกิ่งก้านหลายอันที่หักลง หรือไม่ก็ได้รับการเสียหาย น่าจะมาจากการถูกเททิ้งลงมา เอาจริงๆโดนทับขนาดนั้นแต่สภาพยังอยู่ดีขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว

 

“ลองดูพวกแมลงก่อนแล้วกัน” ซูจิ้งให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมา ในระหว่างนั้นเขาได้ทำการแยกแมลงที่ตายเหล่านั้นออกมา เมื่อหลี่น้อยและอาลี่กลับมาจึงให้พวกมันกินแมลงเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งจึงได้ทำการสำรวจตัวที่มีชีวิตอยู่แทน เขาเจอมดตัวหนึ่งที่มีสีดำสนิทและมีแสงแวววาว ขนาดตัวของมันพอๆกับนิ้วก้อย

ซูจิ้งได้ส่งมดกระสุนที่เขาเลี้ยงไว้ในถุงกักอสูรของเขาออกมาให้ลองโจมตี พวกมันโดนสวนกลับจนตายในทันที เขาจึงได้ลองให้หนูโดนเจ้ามดยักษ์นี่กัดดู ผลก็คือมันเจ็บปวดทรมานจนน้ำลายฟูมปากและมดสติไป

เจ้ามดยักษ์ตัวนี้เหมือนว่ามันจะมีพลังสูงกว่าที่ซูจิ้งคิดไว้พอสมควร เจ้าหนูเองก็ไม่ได้ตายด้วยการกัดโดยตรง

แต่เหมือนตายเพราะโดนพิษมากกว่า และพิษเจ้านี่น่าจะร้ายแรงกว่าตะขาบยักษ์ที่เคยเจอจากขยะห้วงเวลาฯฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียนซะอีกฃ

 

“ไม่รู้ว่าเจ้านี่มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่แหะ มันเหมือนทรงพลังแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด” ซูจิ้งนึกยังก็นึกไม่ออกว่าจะใช้เจ้ามดยักษ์นี่ทำอะไรดี

อีกอย่างเจ้านี่ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายด้วยเช่นเดียวกัน หากเจ้ามดนี่สบโอกาสแน่นอนว่ามันย่อมแพร่พันธุ์ตัวมันเองได้อย่างแน่นอน

และถ้าพวกมันหลุดออกไปบนโลกได้ล่ะก็ มันจะต้องสร้างความหายนะกับพืชพันธุ์ท้องถิ่นบนโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ซูจิ้งทำการตรวจสอบขยะกองถัดไป นั่นก็คือกองไส้เดือน เขานั้นสังเกตุเห็นว่าพวกมันนั้นตัวใหญ่ขนาดประมาณนิ้วมือได้และความยาวส่วนใหญ่ก็ไม่น้อยกว่า30เซนติเมตรทั้งสิ้น

ร่างกายของมันออกแดงๆสด ดูๆไปก็น่าขยะแขยงพอสมควร ตอนเด็กๆนั้นเขาคลั่งไคล้เจ้าไส้เดือนนี่มาก เพราะว่าชอบจับพวกมันไปเป็นเหยื่อตกปลาบ่อยๆ

ต่อพอมาเห็นกองใหญ่ขนาดนี้แล้วก็รู้สึกแหยงๆเหมือนกัน

ซูจิ้งทำการทดลองหลายๆอย่างกับบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เจอ แต่นอกจากขนาดอันใหญ่โตแล้ว พวกมันก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย

 

เจ้าหนูที่ลองให้กินพวกมันไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พวกมันไม่ได้ดุร้าย ทำเพียงแค่พยายามเจาะเข้าพื้นดินเหมือนไส้เดือนทั่วไป เพียงแต่พวกมันทำได้ดีกว่าประมาณสิบเท่าจากไส้เดือนทั่วไปแค่นั้นเอง

ความสามารถของพวกมันที่เขาเห็นได้เพียงอย่างเดียวก็คือการทำให้ดินที่แข็งกระด้างร่วนซุยได้ด้ยเวลาไม่นานนัก

“เจ้าไส้เดือนนี่ก็น่าจะยังพอใช้ได้อยู่แหะ ถึงจะไม่ได้กี่อย่างก็เถอะ” ซูจิ้งนั้นเซ็งๆเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปทำการตรวจสอบแมลงอื่นต่อ เขานั้นได้ทดลองแมลงต่างๆอย่างน้อยสายพันธุ์ละหนึ่งครั้งแต่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิด

 

ซูจิ้งให้ฉิงหยุนส่งแมลงพวกนั้นไปไว้ในระบบนิเวศเสมือน หลังจากนั้นเขาก็สำรวจขยะห้วงเวลาฯกองพืชต่อ สิ่งที่เขาสังเกตุได้อย่างแรกเลยก็คือดอกไม้ขนาดใหญ่ ต่อพอพลิกซ้ายพลิกขวาดูก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

เขาได้ลองให้หนูกินส่วนที่หักออกไปแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากตรวจสอบดูดีๆแล้วเขาได้เจอซากของพืชชนิดหนึ่ง และไม่ได้เจออะไรพิเศษพอที่จะทำให้ซูจิ้งประหลาดใจได้เลย

หากว่าเจ้านี่ทิ้งเมล็ดหรือต้นอ่อนไว้บ้างก็คงดีแหะ ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้นำกะโหลกเร่งเวลาออกมา และทำการเร่งเวลาสิ่งที่คิดว่าเป็นเมล็ดและต้นอ่อนของพืชกองนี้

ต้นอ่อนของพืชที่ถูกเร่งความเร็วนั้นปกติมันจะเร่งโตได้เท่านั้น ต่อให้มันมีเมล็ดแต่เมล็ดเหล่านั้นจะถือว่าไม่ได้รับการผสมจนสามารถแพร่พันธุ์ได้

แต่ในครั้งนี้นั้นไม่เหมือนกัน ซูจิ้งได้พบเจอพืชประหลาดชนิดหนึ่งที่โตขึ้นมา ตอนแรกนั้นมันมีขนาดเล็กกว่าสองเซนติเมตรซะอีก

แต่ตอนนี้มันสูงขึ้นและเขียวขึ้นอย่างมาก สีเขียวของมันนั้นออกแดงๆราวกับสีทองแดงไปแล้ว นอกจากนั้นกิ่งของมันยังไม่มีใบ บางต้นรากไม่ได้แทงลงพื้นก็สามารถเติบโตต่อไปได้

แต่เจ้าต้นนี้นั้นซูจิ้งมองๆยังไงก็ไม่น่าจะเป็นต้นไม้อยู่ดี มันเหมือนรูปปั้นโลหะมากกว่า

 

ถึงแม้ว่าต้นไม้ต้นอื่นนั้นจะเติบโตไปได้อย่างรวดเร็วจนสูงไปกว่าครึ่งเมตรแล้ว และบางต้นก็สูงไปมากกว่านั้นอย่างหน้าพิศวง มีเพียงเจ้าต้นไม้สีทองแดงนี่เท่านั้นที่ยังคงเติบโตได้อย่างเชื่องช้า ตอนนี้มันสูงเพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น ต่อให้ต้นอื่นจะเติบโตไปขนาดไหนก็ตาม

ซูจิ้งได้ถอนการเร่งเวลาออกและได้ลองสัมผัสเจ้าต้นนี้ดู เขาพบว่าเจ้าต้นนี้มันร้อนมาก ถ้าตอนแรกเขาเผลอกำเจ้าต้นนี้ไปเต็มแรงแน่นอนว่าต้องโดนลวกอย่างแน่นอน ลำต้นของมันดูเข็งๆจนเหมืองทองแดงจริงๆ

“เจ้านี่มันต้นอะไรกันแน่เนี่ย ช่างแปลกตาจริงๆ”

ซูจิ้งมีความสงสัยในเจ้าต้นทองแดงนี่มากจนทำให้เขานั้นทำการเร่งเวลาเจ้าต้นทองแดงต้นนี้เพียงต้นเดียวเท่านั้น

ในระหว่างการเร่งเวลานี้ เขานั้นรู้สึกมหัศจรรย์กับเจ้าต้นนี้อย่างมากนั่นก็เพราะว่ามันไม่ได้ต้องการน้ำแต่อย่างใด

ถึงแม้จะดูๆเหมือนต้นไม้อื่นตรงที่แห้งตายก็ตามแต่เจ้าต้นนี้ก็ยังเติบโตต่อไปได้อย่างช้ามากๆ ขนาดเขาเร่งเวลาไปกว่าสิบปีแล้ว ต้นของมันก็ยังสูงไม่ถึงครึ่งเมตรเลยด้วยซ้ำ

ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ผิวของลำต้นนั้นกลับยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดในลำต้นก็ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะๆจนมีเปลวเพลิงปกคลุมกิ่งก้านที่คาดน่าว่าจะเป็นกิ่งใบ และยังคงมีไฟลุกโชนแบบนั้นต่อไปไม่ดับหรือมอดไหม้กลายเป็นเถ้า

“ต้นไม้นี่แปลกจริง” เมื่อเห็นสภาพนั้น ซูจิ้งได้ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เขานั้นนึกไม่ออกจริงๆว่าเจ้าต้นนี้คือต้นอะไรกันแน่

ดูเหมือนว่าเจ้าต้นนี้จะเติบโตได้ช้ามาก หากว่าเขาจะฟูมฟักมันจริงคงต้องเสียเวลาและดินอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อซูจิ้งคิดไปได้สักพักเขาจึงเลือกที่จะส่งต้นทองแดง ต้นดอกไม้ยักษ์และต้นไม้ชนิดอื่นๆไปยังระบบนิเวศเสมือนก่อนที่จะไปจัดการขยะห้วงเวลาฯกองอื่นต่อไป

 

มีสิ่งหนึ่งที่เขานั้นไม่ได้สังเกตุ นั่นก็คือในดอกไม้ดอกยักษ์นั่น ทันทีที่เขาใส่มันไว้ในระบบนิเวศเสมือน เมื่อทุกอย่างเงียบลง ก็ได้มีดวงตาบางอย่างโผล่ออกมาจากกลางดอกไม้

ดวงตานั้นสีดำและส่องสว่าง มันหมุนไปมาราวกับกำลังตรวจสอบสิ่งแวดล้อมลอบๆ