GGS:บทที่ 907 การค้นพบที่น่าประหลาดใจ

 

ไส้เดือนตัว มด และดอกไม้ขนาดใหญ่ยักษ์ รวมถึงต้นไม้เปลวเพลิงต้นนั้นทำให้ซูจิ้งคาดว่าห้วงเวลาฯที่ขยะกองนี้จากมาน่าจะไม่ใช่ห้วงเวลาฯที่มียุคสมัยโบราณนัก แต่อย่างน้อยๆก็ไม่น่าใช่ห้วงเวลาฯที่ธรรมดาอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบหาข้อมูลจากขยะห้วงเวลาฯชุดนี้เพิ่มเติมในทันที

ซูจิ้งตรงไปยังขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษ นี่เป็นสิ่งที่เขาทำมาตั้งแต่ต้นจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว สิ่งแรกที่ต้องรีบจัดการคือสิ่งมีชีวิต เพราะพวกนั้นอันตรายเกินกว่าจะปล่อยทิ้งไว้ได้ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม ขยะห้วงเวลาฯกองนั้นถือได้ว่าต้องจัดการเป็นอย่างแรก

 

อย่างต่อมาที่เขาต้องทำก็คือการหาข้อมูล ข้อมูลได้จากขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษนั้นถือได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีสำหรับเขา แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษ เขาได้เดินผ่านขยะห้วงเวลาฯกองเหล็กและนั่นทำให้เขาต้องหยุดและหันไปมองในทันที

 

ซูจิ้งได้ส่งกระแสจิตเข้าไปตรวจสอบในทันที นั่นก็เพราะว่าในขยะห้วงเวลาฯกองโลหะนั้นมีอิฐสีเหลืองอมน้ำเงินอยู่ปนๆไปกับดอกที่หัก

ซูจิ้งใช้กระแสจิตบังคับให้อิฐลอยมาหาเขา อิฐก้อนนั้นในส่วนสีน้ำเงินเป็นมอสปกคลุมแน่นจนคล้ายกับสีน้ำเงินและในส่วนสีเหลืองนั้นมันดูเหมือนเป็นทองเลยทีเดียวเมื่อซูจิ้งได้มองใกล้ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะทำตาโตพร้อมพูดออกมาว่า

 

“โวะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้เห็นอิฐก้อนใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีของปกคลุมจนแทบจะดูไม่ออกแต่ฉันมั่นใจได้เลยว่ามันต้องเป็นทอง นี่ที่นั่นใช้ทองหล่อเป็นอิฐมาทำกำแพงงั้นเหรอ”

ซูจิ้งอึ้งไปในทันทีที่คิดอย่างนั้น เขาพูดในขณะสำรวจอิฐก้อนนี่อย่างถี่ถ้วยก็เห็นว่ามันเสียหายด้วยแรงกระแทกอย่างรุนแรง แต่ยังไงซะมันก็ยังเป็นทองอยู่ดี ใครกันที่โยนทองล้ำค่าขนาดนี้มาทิ้งเป็นขยะกันเนี่ย

ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ได้มีของบองอย่างลอยออกมาจากขยะห้วงเวลาฯกองโลหะนั่น มันคล้ายกับเสาที่หักกลางไป ดูเหมือนว่ามันจะทำมาจากแซฟไฟล์

นอกจากนั้นยังมีเสาไม้ที่ประดับไปด้วยทอง หยกน้ำเงิน แค่เสายังประดับด้วยของหรูหราขนาดนี้ลองคิดดีสิว่าที่ที่พวกมันจากมาจะหรูหราขนาดไหน

“แล้วนี่?” กระแสจิตของซูจิ้งตรวจจับคลื่นพลังงานยางอย่างได้ เขาควบคุมกระแสจิตของเขาให้ย้อนทางกลับไปเพื่อหาต้นทางที่กระแสพลังนี้ปล่อยออกมา

 

เขาย้อนทางไปถึงขยะอีกกองหนึ่ง ก่อนจะใช้พลังดึงเม็ดอะไรบางอย่างที่สีน้ำเงินออกมาจากขยะกองนั้นและดึงมันมาอยู่ตรงหน้าเขา

เจ้าเม็ดนี้ไม่ได้กลมเสียทีเดีย ผิวก็ไม่ได้เกลี่ยงเกลา มองเผินๆนั้นเหมือนกับหินทั่วไปมากกว่า หากไม่ใช่ว่ามันแผ่พลังงานออกมาเขาคงไม่สนใจแม้แต่น้อย

 

“เจ้านี่คืออะไรกันนะ” ซูจิ้งสงสัยมากแต่เขาเองก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ด้วย เขาให้หนูตัวหนึ่งลองแตะมนดู พอมองดูแล้วไม่น่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหนู เขาจึงลองจับมันด้วยตัวเอง

เขารู้สึกได้ถึงความเย็นตั้งแต่ครั้งแรกที่สัมผัส น้ำหนักของมันก็เหมือนกับหินทั่วไป เมื่อมองใกล้ๆเขาเห็นรอยแตกเล็กๆอยู่ หากไม่สังเกตุมันก็จะเหมือนลูกแก้วธรรมดาที่เกือบจะถูกผ่าเป็นสองซีกเท่านั้นเอง

ซูจิ้งยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาจึงเรียกเสี่ยวไป๋ออกมาให้ใช้สแตนด์ของมันซ่อมแซมเจ้าเม็ดนี้

 

เขาคิดว่ารอยแตกแค่นี้สมควรจะใช้เวลาไม่มากนัก แถมตอนนี้พลังของมันก็ยกระดับแล้ว ต่อให้ต้องซ่อมแซมรูปสลักที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว รอยเล็กๆแบบนี้ควรแค่นาทีเดียวเสร็จ

แต่นี่กลับไม่เป็นอย่างที่ซูจิ้งคิดจนเขาต้องประหลาดใจ หลังจากผ่านไปสองนาที ดูเหมือนรอยแตกนี้จะสามารถซ่อมแซมได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น เอาจริงๆรอยซ่อมมันเล็กมากจนชนิดที่ว่าไม่เพ่งมองดีๆก็ดูไม่ออกด้วยซ้ำ

“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวไป๋ ไม่ใช่ว่าความสามารถของนายถดถอยลงหรอกนะ”

“ฮอว์” “ไม่ใช่ครับ เป็นเจ้าเม็ดนี่ต่างหากที่แปลก” เสี่ยวไป๋พูดออกมา

นี่ขนาดความสามารถของเสี่ยวไป๋ยกระดับแล้วยังไม่สามารถซ่อมเม็ดนี่ได้เลยงั้นหรอ ซูจิ้งคิดดังนั้นจึงให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมเศษหินที่อยู่ในขยะห้วงเวลาฯกองหินดู ก็พบว่าเศษหินต่างๆได้ลอยเข้ามาประกอบเป็นอิฐอย่างรวดเร็ว

 

“ก็ปกติดีนี่นา แล้วทำไมเจ้าเม็ดนี่ถึงได้ซ่อมยากนักล่ะ” ซูจิ้งงงหนักยิ่งกว่าเดิม และนั่นเขายิ่งให้ความสำคัญกับเจ้าเม็ดหินนี่ การที่มันซ่อมแซมได้ยาก แน่นอนว่ามันสมควรจะต้องเป็นอะไรสักอย่างที่พิเศษอย่างแน่นอน ดีไม่ดีมันอาจเป็นสมบัติเลยก็ได้

ดังนั้นซูจิ้งจึงให้เสี่ยวไป๋ค่อยๆซ่อมแซมเจ้าเม็ดหินนี่ต่อไป เม็ดหินเองก็ค่อยๆฟื้นฟูอย่างช้าๆชนิดที่มองด้วยตาเปล่าสังเกตุไม่ได้เลย เสี่ยวไป๋ใช้เวลาเกือบๆชั่วโมงถึงจะซ่อมแซมเม็ดหินนี่ได้

 

หลังจากซ่อมเม็ดหินเสร็จ ซูจิ้งให้เสี่ยวไป๋ไปซ่อมแซมขยะในขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษทันที โดยที่เขานั้นยังคงกำเม็ดหินนี่ไว้ในมือ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ มันเหมือนกับว่าเม็ดหินนี่มีพลังงานมากกว่าตอนแรกนับสิบเท่าเลยก็ว่าได้

มันไม่เพียงแค่เป็นการแผ่พลังงานออกมาก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้มันส่งออกมาเป็นละลอกคลื่นเลยทีเดียว หากเปลี่ยนเป็นเสียงล่ะก็คนเทียบได้กับว่าก่อนหน้านี้เป็นเสียงแม่ค้าจ่ายตลาด แต่ตอนนี้เป็นเสียงระฆังในวัดพุทธ ที่ทำให้คนได้ยินแล้วรู้สึกสงบใจได้

 

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทำให้ซูจิ้งนั้นทำการรวบรวมพลังจิตของตัวเองไปไว้ที่เม็ดหินนี่ และทำการสัมผัสคลื่อนพลังของมันโดยตรง

หลังจากผ่านไปสักพัก พลังภายในของเขาได้ลุกโชนขึ้นและไหลผ่านไปยังมือของตนเองก่อนที่จะไหลเข้าไปในเม็ดหินนี่ ทันใดนั้นเม็ดหินนี่ก็สั่นไหวและพยายามดีดตัวเองไปมาราวกับลูกตุ้มนาฬิกาก็ไม่ปาน

 

ซูจิ้งได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับความประหลาดใจ เขารู้สึกได้เลยว่าตัวเขาเชื่อมโยงเข้ากับเจ้าเม็ดหินนี่ เพียงเขาคิดเท่านั้นเจ้าเม็ดหินนี่ก็จะเคลื่อนไหวไปตามที่เขาคิด หากเขาสั่งให้มันโจมตีแน่นอนว่าพลังของมันย่อมเหนือกว่าหินทั่วๆไปอย่างแน่นอน

 

แต่ซูจิ้งนั้นก็รู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าเม็ดหินนี่ไม่น่าจะเอาไว้ใช้โจมตีอย่างแน่นอน ยิ่งเขาเชื่อมต่อกับเม็ดหินนี่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคลื่นพลังที่เม็ดหินนี่แผ่ออกมายิ่งแปลกพิกลทุกที

“มันเป็นสมบัติอย่างแน่นอน แต่มันเอาไว้ใช้ทำอะไรเนี่ยสิ” ซูจิ้งพูดออกมาลอยๆ แต่คำพูดนี้เองก็แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวอยู่เหมือนกัน ตอนนี้คำพูดของเขานั้นแฝงไว้ด้วยพลังแห่งความสงบ(เซ็น) ที่แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกน่าหลงใหล

 

ขนาดที่ว่าเสี่ยวไป๋ที่กำลังซ่อมขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษอย่างขมักเขม้นนั้นยังหันควับมาจ้องเขาทันทีที่ได้ยินแบบจริงจัง

ซูจิ้งนั้นตกใจในทันทีที่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้หายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเปิดใช้วิถีแห่งมังกรและนั่นทำให้เขาเข้าสู่ขอบเขตแห่งความสงบในทันที

หลังจากนั้นเขาได้ท่องบทสวดที่อยู่ในหัวใจพระสูตรและพระพุทธขึ้นมา นี่ทำให้มีหนูมานั่งนิ่งอยู่หน้าเขาในทันทีและฟังอย่างตั้งใจโดยไม่กระดิกตัวไปไหนแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้อารมณ์ศิลป์ของเขาเองสูงขึ้นไปด้วย เขารู้สึกได้เลยว่าตอนที่เขาท่องบทสวดนี้ก่อนหน้านี้ทำให้เขานั้นสามารถเข้าถึงได้ทั้งมนุษย์และสัตว์ แต่ก็ไม่ได้มากมายจนทำให้หนุษย์หรือสัตว์มานั่งฟังแบบนี้ อย่างๆน้อยๆก็ต้องมีพลังจากเหรียญตราเทวทูตเข้าช่วยถึงจะทำได้

นอกจากเจ้าหนูที่นั่งฟังเขาแบบนิ่งๆแล้ว เขายังรู้สึกได้ในทันทีว่าพลังจิตของเข้านั้นกล้าแกร่งจนเมื่อก่อนเทียบไม่ได้เลย

 

“สมบัติชิ้นนี้ไม่ใช่เล่นๆซะแล้วสิ” ซูจิ้งประหลาดใจจนคิดจะเริ่มทดลองเพิ่มเติม เขานั้นออกจากสถานีกำจัดห้วงเวลาฯและตรงไปอ่านบทสวดที่หลังคาตึก ผลคือบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาทั้งหมดต่างล้อมรอบเขาและตั้งใจฟังอย่างดี แม้แต่ที่ชายหาดเองก็มีปลาฝูงใหญ่และนักอีกฝูงหนึ่งมาออกันเพื่อรับฟังเสียงของเขา