GGS:บทที่ 908 รบกวน
หลังจากซูจิ้งได้ท่องบทสวดในหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธออกมาและได้ทำการหยุดลง ถึงจะอย่างนั้นแต่เหล่านกและปลาที่มาก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมไปไหน ต่อให้ซูจิ้งไม่อยู่ตรงนั้นแล้วก็ตาม แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงของเขาเองที่ทำตัววุ่นวายก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้ทันทีว่าพวกมันสงบเสงี่ยมมากขึ้น
ซูจิ้งอดสังสัยว่าพวกมันสามารถเข้าถึงหัวใจพระสูตรฯกันได้ด้วยจริงๆรึเปล่า เขาได้ทำการเรียกหมาป่าสงครามและอินทรีย์ทองเข้าไปในคริสตัลแห่งภวัง (คริสตัลสมาธิ)
ความจริงเมื่อก่อนนั้นเขาได้เข้าไปในมิติของคริสตัลนี้บ่อยมาก แต่ช่วงหลังๆมันไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเขา เขาเลยเลิกสนใจไป
แต่ตอนที่เขานั้นให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองเข้าไปนั้นเขารู้สึกได้ในทันทีว่าพลังของคริสตัลนี้เองก็มากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน
“พระเจ้า เจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินนี่ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” ซูจิ้งถึงกับตกใจขั้นสุด นั่นก็เพราะเพียงใช้เจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินนี่เท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างของเขาก็เหมือนมีพลังเพิ่มขึ้น
ซูจิ้งนั้นเริ่มอ่านบทสวดหัวใจพระสูตรฯอีกครั้ง คราวนี้เขาสังเกตได้เลยว่าพลังวิญญาณของสัตว์เลี้ยงของเขามากขึ้น ถึงแม้ยิ่งสวดไปอัตราการเพิ่มจะน้อยลงแต่ก็ยังถือว่าเพิ่มขึ้นอยู่ดี
คราวนี้ซูจิ้งได้ลองวิธีอื่น เขานั้นได้ลองเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าแต่ในครานี้ผลของมันกลับเพิ่มเพียงน้อยนิดเท่านั้น ดูเหมือนว่าพลังที่ปล่อยออกมาจากเม็ดหินสีน้ำเงินนี้จะมีผลดีกับสิ่งที่อยู่ในวิถีแห่งความสงบเท่านั้น เป็นไปได้ว่าตัวมันเองก็น่าจะเป็นสมบัติทางฝั่งความสงบอย่างเซ็นไม่ก็ทางพุทธก็เป็นได้
ซูจิ้งได้เก็บเม็ดหินสีน้ำเงินไว้ในกระเป๋ามิติและได้กลับไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเพื่อจัดการขยะต่อ
คราวนี้เขานั้นได้ให้ความสนใจในวัตถุที่ปล่อยพลังออกมาได้เป็นพิเศษ
จนกระทั่งพบวัตถุที่ปล่อยพลังได้อีกชึ้นหนึ่ง คราวนี้มันเป็นเศษหนังสีขาวที่ค่อนข้างดูดีทั้งๆที่เป็นรอยแตกขนาดใหญ่และเป็นรูราวกับผ้าขี้เรี้ยวก็ตาม
เจ้าหนังนี่หากมองผ่านๆแน่นอนว่าต่อให้เป็นเขาเองหากไม่ใช้พลัง แน่นอนว่าย่อมมองผ่านไปอย่างแน่นอน ซูจิ้งให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมหนังสีขาวอันนี้
เมื่อซ่อมแซมได้บางส่นเขาก็ต้องประหลาดใขนั่นก็เพราะว่าหนังสีขาวอันนี้มีลวดลายจำนวนมาก
ความจริงนั้นเจ้าแผ่นหนังนี้สมควรจะซ่อมแซมได้ง่ายๆเพราะมันเป็นเพียงแผ่นหนังเล็กๆ นั่นก็เพราะว่าผ่านไปกว่าสิบนาทีแล้วยังซ่อมได้เพียงนิดหน่อยแค่นั้นเอง
“หนังสีขาวที่มีพลังแผ่ออกมาเหมือนกับเม็ดหินสีน้ำเงินนั่นคงต้องใช้เวลาพอๆกันสินะ” ซูจิ้งยังคงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมหนังต่อไป ส่วนเขานั้นได้ใช้กระแสจิตตรวจสอบขยะต่างๆต่อ หลังจากนั้นสักพักเขาก็พบหนังสีขาวแบบเดียวกันอีกสองชิ้น ซูจิ้งจึงมอบให้เสี่ยวไป๋จัดการ
ซูจิ้งไม่ได้ปล่อยกระแสจิตตรวจสอบกองขยะห้วงเวลาฯต่อนั่นก็เพราะว่ามีขยะอยู่จำนวนมาก แถมตรงส่วนก้นๆกองขยะห้วงเวลาฯยังยากที่จะตรวจสอบได้
ตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากเพราะขยะกองนี้ยังไงก็ไม่หนึไปไหน จะช้าเร็วยังไงก็น่าจะเจอสมบัติพวกนั้นอยู่ดี
หลังจากซูจิ้งจัดการขยะต่อไปสักพัก เสี่ยวไจ๋ก็ได้โทรเข้ามา ทันที่เขารับเขาได้ยินโวกเวกโวยวายดังมาจากฝั่งเสี่ยวไจ๋ เสี่ยวไจ๋ได้ทำการปิดประตูฝั่งนั้นเพื่อกั้นเสียงและพูดขึ้นว่า “อาจารย์ครับ มีใครบางคนมาที่ประตูตึกหอพระอจละเพื่อสร้างปัญหา พวกนั้นบอกว่าพระอจละองค์นี้ไม่ใช่พระพุทธแต่เป็นปีศาจ
พวกนั้นบอกว่าจะขับไล่ทุกชีวิตและพังหออจละนี่ซะ ไม่สิทั้งวัดหลานเล่อนี่เลย เจ้าอาวาสเองก็พยายามจะห้ามปรามพวกนั้นแล้ว แต่พวกนั้นก็ยังพยายามพังเข้ามาอีก ผมควรจะทำยังไงดีครับ”
“คนพวกนี้เป็นใครกัน พวกนั้นจะทำอะไรกันแน่” ซูจิ้งถึงกับขมวดคิ้ว ใครกันที่กล้าหาญมาทำลายวัดทางศาสนาแบบนี้
“พวกนั้นบอกว่าเป็นผู้ศรัทธาของกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพา ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกนั้นมาสร้างปัญหาให้เราทำไม” เสี่ยวไจ๋พูดออกมา
“ถ้าพวกนั้นเข้ามาจริงนายก็หยุดพวกนั้นซะ เพียงแต่พยายามอย่าทำให้ใครบาดเจ็บก็พอ เดี๋ยวฉันจะรีบไปในทันที” ถึงแม้เสี่ยวไจ๋นั้นจะมีจิตใจแห่งยุทธ์ แต่ตัวเขานั้นก็ยังเป็นคนธรรมดาเท่านั้น แน่นอนว่าความคิดอ่านเองก็เช่นกัน ดีไม่ดีความคิดอ่านของเขาจะแย่กว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำพระเขาฝักใฝ่ในทางยุทธ์อย่างเดียว
อย่างไรก็ตามจากที่ฟังดูแล้วนี่เองก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน และเขาเองก็ไม่มีทางยอมให้พระอจละถูกทำลายได้อย่างแน่นอน เขาต้องไปเองถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เขาไม่ได้ขับรถไปแต่เลือกที่จะใช้เสี่ยวจิน(อินทรีย์ทอง) ตอนนี้เสี่ยวจินนั้นสามารถทำความเร็วในขณะแบกซูจิ้งไว้ได้นั้น หากเป็นในระยะสั้นๆจะอยู่ที่ 470 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากเป็นระยะยาวนั้นจะเฉลี่ยอยู่ที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยการที่เขานั้นบินตรงไปเป็นเส้นตรงไม่ต้องลัดเลี้ยวเคี้ยงคดแบบขับรถไปบนถนน เพียงไม่กี่นาทีเสี่ยวจินก็พาเขามาถึงวัดหลานเล่อเรียบร้อยแล้ว
เมื่อซูจิ้งมองลงมาจากฟ้าก็ได้เห็นกลุ่มคนที่กำลังสร้างปัญหาออกันอยู่หน้าประตูหอพระอจละ บริเวณข้างนอกนั้นมีเจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานกำลังทำให้พระในวัดอยู่ในความสงบเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้นยังผู้ศรัทธาในพระอจละที่พยายามหยุดกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนี้ด้วย แต่ถึงกระนั้นเหล่าผู้ก่อความไม่สงบนั้นเริ่มก่อความรุนแรงมากขึ้นจนเริ่มทำร้ายคน ทำให้ไม่นานนักก็ก่อให้เกิดความโกลาหล
เสี่ยวไจ๋และพระอีกจำนวนหนึ่งที่นั่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่หน้าหออจละยังไม่ไหวติง แต่มีพระรูปหนึ่งที่หน้าตาบอบช้ำ ดูเหมือนว่าพระรูปนี่จะโดนเล่นงาน
“ลงไปกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยเสียงอันดังก้องกังวาล อินทรีย์ทองค่อยๆกระพือปีกไต่ระดับความสูงลงมาฉากนี้เรียกความสนใจจากทุกคนอย่างมาก
อินทรีย์ทองที่ลดระดับลงมาได้บินอยู่เหนือผู้คน ด้วยร่างกายอันใหญ่โตนั่นทำให้ทุกคนรู้สึกช็อกเหมือนกับถูกไฟฟ้าดูดก็ว่าได้ มันน่าหวาดหวั่นจนทำให้เหล่าผู้ก่อปัญหาเกือบจะถูกหยุดไว้ทั้งหมดเลยทีเดียว
แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ยอมหยุด แถมยังเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ซูจิ้งส่งสัญญาณไปยังอินทรีย์ทอง อินทีย์ทองได้ทำการสะบัดปีกอย่างรวดเร็วจนเกิดลมกรรโชก อุ้งเท้าทั้งสองข้างได้ขยุ้มพวกก่อความไม่สงบเดนตายที่คิดจะทำอะไรบางอย่างโยนขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะล่วงลงพื้นและทำการกดพวกมันไว้
จนสุดท้ายเหล่าผู้ก่อความไม่สงบหน้าเปลี่ยนสีจนซีดจางลงและทำการร้องขอชีวิต ส่วนคนที่เหลือทำการหยุดนิ่งไม่ไหวติง ใจพวกเขานั้นไม่ได้ต้องกายหยุดแต่เพียงตอนนี้ไม่กล้าทำอะไรก็เท่านั้น
“คุณซูมาแล้ว” เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยาน และเหล่าสานุศิษย์แห่งวัดหลานเล่อรู้สึกใจชื้นขึ้นมา พวกเขาต่างก็จ้องมองไปยังอินทรีย์ทองที่ซูจิ้งขี่หลังอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวแต่เป็นเพราะความสวยงามของมัน
“เกิดเรื่องนรกอะไรกันขึ้นที่นี่” ซูจิ้งได้กระโดดลงมาจากหลังอินทรีย์ทองและถามออกมา โจวฮงหยวนได้ยินขึ้นและเข้าไปพูดเชิงกระซิบที่หูของซูจิ้งว่า “พวกนี้คือผู้ศรัทธาของกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพา”
ซูจิ้งถามกลับว่า “แล้วไอ้กลุ่มผู้เมตตาและโชคบ้าบอนี่มาทำบ้าอะไรกันที่นี่”
โจฮงหยวนได้ตอบกลับว่า “ผู้นำนิกายมีชื่อว่าเหรินซินจิ เขาเป็นเจ้าอาวาสของวัดซาช่าที่อยู่ใกล้ๆนี่
เขาถูกนับถือว่าเป็นปรมาจารย์ทางพุทธคนหนึ่งและดังพอตัว เขาสอนเกี่ยวกับความเข้าใจในจักรวาลและเป็นที่รู้จักกันดีในนามผู้นำพาความสงบ เขาเองก็มื่อเสียงไม่น้อยเลย
ส่วนวัดซาช่านั่นเองก่อนหน้านี้เป็นที่นิยม ต่อพอทางเราเปิดหอองค์พระอจละให้สักการะบูชา เครื่องหอมของวัดนั้นก็ขายได้น้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เหลือแต่ผู้ที่ศรัทธาแบบหัวปักหัวปรำเท่านั้นที่ยังคงไปที่นั่นอยู่
ไอ้เจ้าผู้ศรัทธาพวกนี้ก็ไม่รู้มาจากไหน อยู่ๆก็มาโวยวายถามหาความยุติธรรม และบอกว่าพวกเรานั้นเป็นสาวกปีศาจและนับถือในเทพปีศาจ
นอกจากนั้นยังโวยวายว่าจะล้างผลาญทุกชีวิตในวัดและต้องการทำลายหอองค์พระอจละของพวกเรานี่อีก”