GGS:บทที่ 909 ถูกเรียกว่าพระสงฆ์

 

ซูจิ้งถึงกับขมวดคิ้วในทันที นี่มันเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจชัดๆ ไม่ได้มีเรื่องอื่นใดเลยแม้แต่น้อย เขานั้นใช้วิธีแข่งขันที่ถูกต้องทางกฎหมาย แต่หากจะถูกบังคับให้เปิดประตูเพื่อทำลายวัดเพียงเพราะอาศัยการข่มขู่แบบนี้ หากเขาเห็นควรด้วยก็แปลกล่ะ

เอาจริงๆในตอนนี้ซูจิ้งเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธคนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ซูจิ้งนั้นไม่ได้ชอบเรื่องอภินิหารเหนือจินตนาการอะไรพวกนั้น

 

สำหรับซูจิ้งแล้วพระพุทธศาสนาควรจะเป็นเรื่องของผู้ที่แสวงหาความสงบและศึกษาหาวิถีแห่งการตัดขาดจากกิเลศ ไม่ใช่พวกที่นำเอาปฏิหารย์ทางศาสนามาหากินแบบไอ้พวกนี้

“ฉันมีคำถามจะถามแกสองคน” ซูจิ้งดึงคอเสื้อของผู้ก่อความไม่สงบสองคนเมื่อครู่ที่อยู่ในอุ้งเท้าอินทรีย์ทองขึ้นมา ก่อนที่เขาจะทำการสะกดจิตทั้งสองโดยตรงแล้วถามคำถามออกไป

 

เจ้าคนพวกนี้นั้นเป็นผู้งมงายก็เท่านั้นเอง พวกเขาคิดวัดว่าวัดซาช่านั้นดีกว่าวัดหลานเล่อเป็นไหนๆ และแน่นอนว่าพวกเขาคิดว่ากลุ่มศรัทธาของตัวเองที่ชื่อว่ากลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานั้นดีกว่าผู้ศรัทธาในหอพระอจละมากมายนัก และพวกเขามาที่นี่เพื่อก่อปัญหาขึ้น

 

แต่จากการที่ซูจิ้งได้สอบถามคำถามไม่กี่คำถามนี้ได้ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าคนพวกนี้น่าจะถูกล่อลวงโดยผู้นำกลุ่มผู้เมตตาบ้าบออะไรนั่น นี่ทำให้ซูจิ้งตั้งแง่กับกลุ่มนี้ในทันที

“ผู้นำกลุ่มผู้เมตตาฯนี้ดูเหมือนจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าเขานั้นจะอยากใช้ทางลัดและหาผลประโยชน์จากแรงศรัทธาจึงทำให้ความเชื่อในกลุ่มนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว” เจ้าอาวาสซูหยุนที่ได้ยินคำถามที่ซูจิ้งถามและคำตอบของเหล่าสาวกกลุ่มผู้เมตตาฯถึงกับต้องส่ายหัวและถอนหายใจออกมา

 

“แกก็มีเพียงปัญญาที่จะใช้ความรุนแรงเท่านั้นแหล่ะ ผู้นำของเรานี่สิถึงจะเป็นผู้มีปัญญาโดยแท้ เพียงพูดออกมาก็มีผู้ศรัทธาเขามากมายนัก” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา เธอนั้นยืนขึ้นพร้อมชี้หน้าว่าซูจิ้งออกมา เธอบอกว่าซูจิ้งนั้นใช้ความรุนแรงกับพวกเธอแต่เหมือนจะไม่ดูตัวเองว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

 

“โฮ่… คนอย่างพวกแกเนี่ยนะมีเหตุผล น่าขำยิ่งนัก ถ้าคนอย่างแกมีเหตุผล ตัวฉันนั้นคือสุดยอดเหตุผลยิ่งกว่า ถ้าแกเริ่มก่อนล่ะก็ ก็อย่าหาว่าฉันโหดร้ายก็แล้วกัน”

ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความอาฆาต จนทำให้หญิงผู้นี้ต้องถอยล่นในทันที ซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงในตอนที่จัดการเหล่านักเทควันโดไปสี่สิบคนในครานั้นทำให้ความน่ากลัวของเขาขจรขจายโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ซูจิ้งได้พูดออกมาต่อว่า “อ้อ ฉันเรียกตำรวจไปแล้ว หากพวกแกยังอยากจะก่อปัญหาก็เชิญ ฉันไม่สนเลยสักนดว่าคนอย่างแกต้องไปเข้าคุกนานแค่ไหน”

 

“กลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพาของเรานั้นจะเริ่มการเสวนาตอน9โมงเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่เพียงจะเชิญเหล่าผู้รักในพุทธศาสนา พวกเรายังเชิญสื่อต่างๆไปด้วย หากว่าวัดหลานเล่อนั้นคิดว่าตัวเองเป็นศาสนาพุทธแท้ๆล่ะก็ พวกนายกล้าที่จะเข้าร่วมเสวนากับผู้นำนิกายของเรารึเป่าล่ะ เห้อะ” มีหนึ่งในคนก่อปัญหาตะโกนออกมา

 

“ถ้าพวกแกไม่ไปก็แสดงว่าพวกแกนั้นไม่เข้าใจในพุทธอย่างถ่องแท้ พวกแกมันก็แค่มารศาสนา” อีกคนพูดออกมา

เหล่าสาวกกลุ่มผู้มีเมตตาและโชคนำพาต่างก็ตะโกนออกมาในทำนองเดียวกัน นี่ทำให้เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานนั้นถึงกับต้องมองหน้ากัน

ทั้งคู่นั้นไม่ชอบการเปรียบเทียบความรู้ทางศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่จะหาว่าใครมีระดับที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า

แต่จากที่ดูสถานการณ์แล้วนั้น หากพวกเขาไม่ยอมไปร่วมในวันพรุ่งนี้เห็นทีว่าคนกลุ่มนี้จะก่อปัญหาให้พวกเขากันอีกในอนาคตอย่างแน่นอน ซูจิ้งเองนั้นที่มาวันนี้ถึงจะทำให้เรื่องสงบลงได้ก็จริง แต่ก็ใข่ว่าเขาจะมาได้ทุกวัน

ต่อให้ไปเรียกตำรวจมาจัดการ แต่การเรียกทุกวันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถามกับกลุ่มคนขนาดนี้เป็นเรียกอย่างที่ตำรวจจะจัดการได้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าสาวกของคนกลุ่มนี้นั้นมีจำนวนมากพอดู

ต่อให้โดนจับไปก็คงหายไปแค่ไม่กี่วัน พอออกมาก็คงจะมาก่อปัญหาแบบนี้อีก หากไปไว้ยาวนานนักชื่อเสียงของวัดหลานเล่อก็คงต้องมัวหมองลง

“กลับไปบอกผู้นำนิกายของพวกคุณว่าเราจะไปในวันพรุ่งนี้” เจ้าอาวาสซูหยุนพูดออกมา

 

หลังจากได้ยินดังนั้นทำให้เหล่าสาวกของกลุ่มผู้เมตตาฯจากไป ดูเหมือนว่าคนพวกนี้มาก่อปัญหาเพื่อที่จะให้ทางวัดหลานเล่อนั้นยอมเข้าร่วมการเสวนาดังกล่าวเท่านั้นเอง

และแน่นอนว่าการเสวนาในครั้งนี้สมควรจะพูดคุยในเรื่องปาฏิหารย์ทางพุทธซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เจ้าอาวาสซูหยุนนั้นไม่เคยเห็นด้วยเลยสักนิด แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะไม่สนใจจนทำให้หอหมิงหวังเกิดปัญหาขึ้นได้

 

“ไอ้การเสวนาเรื่องพุทธศาสนาในครั้งนี้มันสำคัญยังไงกัน ไม่ใช่ว่าความขัดแย้งกันระหว่างนิกายมหายานกับนิกายเถรวาทเป็นเรื่องต้องห้ามหรอกหรอ” ซูจิ้งพูดออกมา

“มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงซะทีเดียว ผู้นำนิกายกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานั้นได้เชิญพวกสื่อมาทำข่าวเรื่องนี้เป็นพิเศษ แสดงว่าพวกนั้นต้องการใช้พลังจากสื่อเพื่อเผยแพร่นิกายของพวกนั้น

พุทธศาสนาที่แท้นั้นไม่ว่าจะเป็นนิกายใหญ่หรือเล็กก็ตามต่างก็มีการจัดการเสวนาเรื่องนี้กันบ่อยครั้ง เอาจริงๆผู้นำนิกายนั้นมีความรู้ทางพุทธมากมายเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลจนสามารถเผยแพร่และสอนออกมาได้เลยทีเดียว แน่นอนว่ามันน่าเชื่อถือจนเป็นที่จับตามองของสื่อต่างๆ

แน่นอนว่าเมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไปแล้ว ย่อมทำให้ผู้คนจำนวนมากยืนอยู่ฝั่งเขาอย่างแน่นอน” โจวฮงหยวนพูดออกมา ด้วยการที่เขานั้นเป็นเจ้าห้างสรรพสินค้าทำให้รู้วิธีการเกี่ยวกัยการโฆษณาเป็นอย่างดี

ซูจิ้งพยักหน้าหมายถึงเข้าใจคำพูดที่โจวฮงหยวนวิเคราะห์ให้เขาฟังได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าสาวกของกลุ่มผู้เมตตาฯอะไรนี่ไม่ได้มีเกียรติและน่าเลื่อมใสเท่าเจ้าอาวาสได้เลยสักนิด

ในฐานะพระสงฆ์แล้วเจ้าอาวาสไม่เพียงแต่ศึกษาศาสตร์แห่งพุทธเป็นอย่างดีแล้ว เขานั้นยังมีความสามารถในการหยั่งรู้เรื่องราวได้ หากว่าเขานั้นเป็นพวกนอกรีตจริงล่ะก็สมควรที่จะกลายเป็นผู้นำเหล่าร้ายไปนานแล้ว

 

“ประสกซู ทำไมประสกไม่ไปในวันพรุ่งนี้ล่ะ” เจ้าอาวาสซูหยุนได้หันไปมองซูจิ้งและถามออกมา

“ผมว่าผมไม่เข้าใจเกี่ยวกับทางเสวนาทางพุทธศาสนานี่หรอกครับ” ซูจิ้งพูดออกมา

“หึหึหึ ประสกซูก็ถ่อมตัวเกินไป ถึงแม้ว่าประสกจะไม่รู้เรื่องในศาสนาพุทธ แต่ในใจของประสกนั้นเป็นพุทธอยู่แล้ว แถมเป็นพุทธเสียยิ่งกว่าอาตมาซะอีก” เจ้าอาวาสซูหยุนพูดออกมาในเชิงกล่าวชม

 

“ท่านเจ้าอาวาสก็ยกยอผมเกินไป ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆครับ” ถ้าพูดกันตามตรงแล้วซูจิ้งนั้นไม่ได้ถ่อมตนแม้แต่น้อย เขานั้นเพียงเรียนรู้เรื่องต่างๆไว้ก็เท่านั้น

ตัวเขานั้นได้เรียนวิถีแห่งเซนพร้อมแนวคิดทางศิลป์ ไหนจะได้ชุดน้ำชาที่ใช้เพิ่มพลังสมาธิได้ ไหนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีแห่งมังกรนั่นอีก

หากพูดในเชิงศาสนาแล้วบอกได้เลยว่าเขานั้นแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แน่นอนว่าหากต้องไปร่วมเสวนามีแต่ทำให้ขายหน้าเสียเปล่าๆ

 

กลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานี้ได้เผยแพร่แนวคิดของพวกเขามานานหลายสิบปีแล้ว แน่นอนว่าต่อให้พวกเขานั้นต้องพูดเรื่องบัวในตมพวกเขาก็สามารถโยงเข้ากับพลังจักรวาลได้อย่างสบาย

พวกเขานั้นถูกเชิญไปพูดในมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ เมื่อหันมามองตัวเองแล้วซูจิ้งบอกได้เลยว่าเขาไม่มีทางพูดได้อย่างแน่นอน ขนาดแนวคิดทางศิลปะเองเขาก็ยังเข้าใจแบบครึ่งๆกลางๆ ส่วนวิถีแห่งมังกรนั่นแน่นอนว่าให้ใครรู้เรื่องนั้นไม่ได้ แต่เหมือนซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “ผมไปก็ได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสแล้วกันครับ”

 

“หึหึงั้นก็ปล่อยไปเป็นเรื่องของสถานการณ์ก็แล้วกัน” เจ้าอาวาสในตอนนี้เรียกได้ว่ายิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยจนทำให้ซูจิ้งที่เห็นนั้นถึงกับขนลุกเลยทีเดียว เขารู้สึกว่าเขาถูกเจ้าอาวาสอ่านออกในสิ่งที่เขาคิดไปแล้ว

“ท่านเจ้าอาวาสซูหยุนและคุณซู พวกเราสนับสนุนคุณครับ”

“ไอ้พวกกิ่งก้านนอกรีตแบบนั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าเป็นพระสงฆ์เลยสักนิด ไอ้พวกนั้นไปหลงเชื่อได้ยังไง”

“มีคนบอกว่าเป็นผู้นำนิกายเองเลยนำที่ยุแยงให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา หมอนั่นไม่น่าจะมีใจแห่งพุทธเลยสักนิด”

“เรื่องพระอจละนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำความเข้าใจและนำไปเผยแพร่ได้เลยจริงๆนะ ทุกครั้งที่อยู่รอบๆแค่นั้นก็รู้สึกสงบ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ลูกน้องของผมเองยิ่งมายิ่งประสบความสำเร็จ ครอบครัวของผมเองก็ยิ่งมายิ่งสงบสุข แม้แต่ตัวผมเองนั้นก็ยังรู้สึกมีความสงบในใจยิ่งกว่าแต่ก่อน

หากบอกว่านี่คือเทพปีศาจ ผมก็อยากรู้จริงๆว่าส่วนไหนกันที่เป็นปีศาจ”

“เรื่องนี้สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่า หากไม่เคยเห็นอย่าได้พูดไร้สาระ”

มีเหล่าผู้ศรัทธาจำนวนมากที่มายังหอหมิงหวังแห่งนี้เพื่อแสดงแรงศรัทธาของตนเองไม่ว่าจะเป็นต่อเจ้าอาวาส ซูจิ้ง หรือแต่หอนี้ก็ตาม

องค์พระอจละและรูปวาดพระอจละทั้งเก้านี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเขา ถึงแม้ว่าในความจริงแล้วนั้นองค์พระทั้งสิบนี้จะไม่ได้ปกป้องพวกเขาจริงๆ แต่พวกเขานั้นรู้สึกได้ว่าจิตใจของพวกเขานั้นสุขสงบแต่นั้นก็ถือได้ว่าสุดยอดแล้ว

ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้กลัวในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ที่ต้องการทำลายหอพระอจละแห่งนี้ก็ตาม แต่พวกเขานั้นก็หวังให้เจ้าอาวาสและคนอื่นๆยุติเรื่องนี้ได้ด้วยคำพูดอยู่ดี