GGS:บทที่ 910 เสวนาทางพุทธศาสนา

ข่าวการก่อจราจลที่วัดหลานเล่อนั้นได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นข่าวมากนักและเหมือนชาวเน็ตจะไม่ได้สนใจนัก แต่กับผู้ศรัทธาในองค์พระอจละแล้วละก็ต่างก็เคลื่อนไหวในทันที
“มีคนกลุ่มหนึ่งก่อการจราจลและต้องการทำลายองค์พระอจละอย่างนั้นเหรอ”

ในสำนักงานแห่งหนึ่ง มีชายอ้วนวัยกลางคนโกรธขึ้นมาทันทีที่เห็นข่าวนี้ ตัวเขานั้นได้ไปวัดหลานเล่อในครั้งแรกนั้นพร้อมความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
แต่หลังจากที่เขานั้นได้เห็นองค์พระอจละทำให้เขานั้นมีความกล้าที่จะเผชิญหน้า จนทำให้เขาในตอนนี้นั้นประสบความสำเร็จในธุรกิจ และเขานั้นก็ยังวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งไม่เพียงจ่ายหนี้สินจนหมด แต่เขานั้นยังทำเงินได้จำนวนมากจนทำให้ครอบครัวมั่นคงและรักใคร่กันดี
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขานั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ศรัทธาของหอแห่งนี้ ครั้งสุดท้ายที่มีการขายภาพวาดองค์พระอจละทั้งเก้านั้น

ตอนที่รู้ว่าองค์พระอจละถูกขายให้กับเหล่าคนรวยอย่างเตียนจงยี่ หัวหน้าหวู่ หรือแม้แต่ผู้อาวุโสซี่ไปนั้น เขานั้นแทบจะหมดอาลัยตายอยาก
แต่ในทันทีเห็นว่ามีการแขวนภาพวาดองค์พระชุดถัดไปนั้นทำให้เขาสายตาลุกโชนในทันที
ตอนนี้เขาเองก็เก็บหอมรอมริบไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้วสำหรับการประมูลภาพวาดพระอจละรอบสอง เขาเชื่อว่าอย่างน้อยๆต้องได้สักรูปหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าตอนนี้กลับมีคนจะทำลายหอโลกาบาลทั้งสิบไปซะได้

“หัวหน้า หอหมิงหวังแห่งนี้ที่หัวหน้าไปบ่อยๆไม่ใช่หรือคะ ทำไมคนพวกนั้นถึงอยากจะทำลายที่นั่นกันล่ะ” เลขาสาวที่เห็นข่าวเองถามออกมา
“ไอ้พวกที่มาก่อกวนนี่มาที่หอแห่งนี้และบอกว่าหอโลกาบาลทั้งสิบแห่งนี้คือพวกนอกรีต ฉันว่าพวกมันต่างหากที่นอกรีต” ชายอ้วนวัยกลางคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอาฆาต

เขานั้นคิดจะใช้เส้นสายของตัวเองเพื่อจัดการเรื่องนี้ในทันที แต่เมื่อเขานั้นได้เห็นข่าวที่ว่าซูจิ้งจะเข้าร่วมเสวนาทางพระพุทธศาสนาในวันพรุ่งนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความคิดในทันที เขาเองนั้นเคยได้ยินชื่อเสียงของซูจิ้งมาบางแล้วเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะเชื่อใจข่าวลือมากขนาดนั้นจึงตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมงานเสวนาดังกล่าวด้วยเหมือนกัน

“ห้ะ ต้องการทำลายหอโลกาบาลทั้งสิบ” เตียนจงยี่ได้ยินข่าวนี้ถึงกับโกรธในทันที สำหรับเขาแล้วนั้นเป็นเรื่องยากกว่าที่เขาจะยอมให้ซูจิ้งอนุญาตให้วงศ์ศาคณาญาติของเขานั่งอยู่หน้าองค์พระอจละได้หนึ่งชั่วโมงต่อวัน
แถมในการประมูลภาพองค์พระอจละทั้งเก้าเขาก็ได้มาถึงสามภาพ นี่แสดงให้เห็นว่าเตียนจงยี่ผู้นี้มีความศรัทธาต่อพระในหอพระอจละทั้งสิบนี้อย่างมาก การที่มีใครสักคนมาทำลายสิ่งที่ตัวเองศรัทธา แน่นอนว่าจะไม่ให้โกรธเคืองได้เช่นไรกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เห็นว่าซูจิ้งนั้นออกโรงเองก็ทำให้จิตใจของเขาสงบได้ในทันที
เขาเองนั้นถือได้ว่ารู้จักซูจิ้งได้ดีเสียยิ่งกว่าใคร และแน่นอนว่าซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งเทพเซียนเลยก็ว่าได้ เขารู้สึกได้ทันทีเลยว่าการที่ซูจิ้งออกโรงเองในครั้งนี้จะต้องมีอะไรสนุกๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เตียนจงยี่ได้ทำการปรับตารางเวลาของตัวเองใหม่เพื่อเข้าร่วมการเสวนาทางพุทธศาสนาในวันพรุ่งนี้

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เหล่าผู้ศรัทธาในหอพระอจละทั้งสิบได้โกรธเกรี้ยวในทันทีที่เห็นข่าว
ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหวู่ ผู้อาวุโสซี่ รวมไปถึงเหล่าผู้ที่ได้ภาพวาดไปครองหรือไม่ก็ตาม แต่แรงศรัทธาของเขานั้นคือของจริง
บางคนถึงแม้ว่าจะไม่สามารถออกตัวอะไรได้มากนะ แต่พวกเขานั้นตามติดเรื่องนี้อย่างแน่นอนเพราะว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาพวกเขาจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
เรื่องนี้บอกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่เหนือเกินกว่าความคาดหมายของสาวกกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพาและเจ้าอาวาสซูหยุนอย่างมาก
ต่อให้ผู้นำนิกายอย่างเหลินซินจิจะมีสาวกพันธุ์แท้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่หากพูดถึงในเรื่องของอำนาจทางการเงินและขุมกำลังแล้วเทียบกันไม่ได้เลย

บอกได้เลยว่าต่อให้ผลของการเสวนาครั้งนี้ออกมาแล้วทางวัดหลานเล่อไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ยังไงซะหอโลกาบาลทั้งสิบแห่งนี้ก็ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้นต่อไปอย่างแน่นอน และต่อให้กลุ่มผู้เมตตาฯนั่นมีชื่อเสียงก็ไม่มีทางที่จะมีชื่อเสียงด้านดีได้อีกต่อไป
กลับกันหอพระอจละและองค์พระอจละทั้งสิบต่างหากที่จะยิ่งมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น

วันถัดมาในตอนเช้า ณ วัด ชาซ่า ในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คน เหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่เหล่าผู้ก่อความไม่สงบจากกลุ่มผู้มีเมตตาและโชคนำพาได้ปะทะกลับเหล่าผู้ศรัทธาต่อองค์พระอจละที่วัดหลานเล่อทำให้ทุกคนนั้นได้มาที่นี่ แน่นอนว่ารวมถึงเหล่าผู้ศรัทธาในองค์พระอจละอย่างลึกซึ้งอย่างชายอ้วนวัยกลางคน เตียนจงยี่ และแม้แต่นักข่าวเองก็มาร่วมด้วยเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าพวกเขานั้นถูกซื้อตัวมาโดยผู้นำนิกายผู้เมตตาฯเรียบร้อยแล้ว การที่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อสร้างชื่อเสียงให้นิกายนี่เท่านั้น

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือการได้เจอซูจิ้งเข้ามาอยู่ในงานเสวนาแห่งนี้ ถึงแม้ว่าเขานั้นจะพึ่งมีชื่อเสียงได้ไม่นานแต่เขากลับโดดเด่นขึ้นมาเสียยิ่งกว่าใคร
แต่นี่เองก็ทำให้หลายๆคนเกิดคำถามว่าซูจิ้งนั้นเข้าใจแนวคิดในทางพุทธศาสนาด้วยอย่างนั้นเหรอ
“การที่ซูจิ้งนั้นวาดรูปพระอจละจนได้ราคาสูงไม่ได้หมายความว่าเขานั้นเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างนั้นเหรอ”
“ยิ่งไปกว่านั้นไหนจะเรื่องหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธ กับองค์พระอจละนั่นอีก ทั้งสองนั้นซูจิ้งเป็นคนสร้างเลยนะ ตัวเขาเองก็ควรจะมีความเข้าใจในพุทธศาสนาไม่น้อยเลย”
“ไม่จริงหรอกน่า ภาพวาดนั่นเขาก็แค่ลอกเขามาอีกทีแค่นั้นเอง เพียงแค่ลอกมาดีหน่อยก็แค่นั้น แต่ให้เขาเป็นคนนำหัวใจพระสูตรและพระพุทธ และองค์พระอจละออกมาก็จริง แต่นั่นเองก็สมควรเป็นเพียงของสะสมทางพุทธศาสนาของเขาเท่านั้นเอง”

“นี่ก็น่าจะพอบอกได้แล้วว่าสำหรับซูจิ้งมาที่นี่เพียงเพราะมาทำให้การเสวนาครั้งนี้ดูออกรสออกชาติขึ้นเท่านั้นเอง ยังไงซะองค์พระอจละนั่นก็เป็นของเขา มีหรือที่เขานั้นจะยอมให้ทำลายได้ง่ายๆ”
“ไม่ต้องห่วงไปเลยน่า วัดหลานเล่อนั้นมีทั้งเจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานเลยนะ”

ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในขณะที่ซูจิ้ง เจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ และพระรูปอื่นๆเดินฝ่าฝูงชนไป
พวกเขาตรงไปที่นั่งทางฝั่งตะวันออก โดยตรงนั้นเองก็ได้มีกลุ่มของพระนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หัวหน้าของกลุ่มนี้เหมือนจะเป็นพระที่อายุประมาณห้าสิบถึงหกสิบปีและห่มจีวรสีเหลืองทั้งตัว

เขานั้นคือผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพา เขาได้ทำการจ้องมองยังซูจิ้งและพระรูปอื่นๆด้วยสายตาอ่อนโยนไม่มีท่าทีเป็นศัตรูแต่อย่างใด
ตอนนี้ทำให้หลายๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานอดไม่ได้ที่จะคิดออกมาว่าเหล่าสาวกพวกนั้นมันเข้าใจผิดอะไรรึเปล่าถึงได้ไปก่อปัญหาแบบนั้นเข้า
“ยินดีต้อนรับเจ้าอาวาสซูหยุนและเหล่าประมาจารย์” ผู้นำนิกายกล่าวออกมาอย่างสงบและรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน
เจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยานและพระรูปอื่นๆต่างก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีโกรธออกมาแต่อย่างใด มีเพียงเสี่ยวไจ๋เท่านั้นที่แสดงท่าทางเป็นศัตรูขึ้นมาราวกับว่าพร้อมบวกในทันทีที่คุยกันไม่รู้เรื่อง
การเสวนาได้เริ่มขึ้นหลังจากที่ทั้งสองฝั่งมาครบแล้วไม่นานนัก เริ่มจากทางฝั่งผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาได้เริ่มการพูดคุยเกี่ยวกับพระไตรปิฏกในทันที
นี่ทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างก็ประหลาดใจอย่างมากนั่นก็เพราะเจ้าอาวาสซูหยุนนั้นนั่งนิ่งไม่ไหวติงและไม่เปิดปากพูดอะไรออกมาสักคำ
แม้แต่ปรมาจารย์เชิงหยานและพระรูปอื่นๆเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน มันเหมือนกับว่าทุกคนนั้นเหมือนจะยอมแพ้ในทันทีที่ผู้นำนิกายเมตตาฯเปิดปากออกมามากกว่าจะเป็นการเสวนาทางพระพุทธศาสนากันซะอีก นี่ไม่เหมือนกับที่ผู้นำนิกายเมตตาฯคิดไว้เลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่รู้นะว่าพระรูปนั้นพูดอะไรออกมา แต่จากการอ่านบรรยากาศดูแล้วฉันคิดว่าวัดหลานเล่อจะเจอศึกหนักแล้ว”
“นี่เจ้าอาวาสซูหยุนไม่คิดจะพูดอะไรเลยรึไงกัน”
“ฮืมม์ วัดหลานเล่อนั้นดูเหมือนจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้และยอมรับว่าเป็นพวกนอกรีตแล้วสินะ”
“ขนาดเจ้าอาวาสยังพูดเรื่องศาสนะออกมาไม่ได้สักคำเลยนี่ วัดนี่เป็นวัดอะไรกันแน่”

ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องโถงนั้นเริ่มคุกรุ่น ชายอ้วนวัยกลางคน เตียนจงยี่ และเหล่าสาวกคนอื่นๆเองก็เริ่มเป็นกังวล นั่นก็เพราะว่าทั้งเจ้าอาวาสซูหยุนและพระรูปอื่นๆจากวัดหลานเล่อต่างก็ปิดตานิ่งเงียบไม่ไหวติงไม่พูดอะไรสักคำ
ซูจิ้งนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นรอยยิ้มอันมีเลศนัยของเจ้าอาวาสถึงกับต้องขนลุกเมื่อวานนี้
ตอนแรกเขาก็คิดว่าตัวเองคิดมากไปเฉยๆแต่ดูเหมือนเขานั้นจะไม่ได้คิดผิดอะไร เจ้าอาวาสนั้นมองเขาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขานั้นจะทำอะไรกันแน่
เจ้าอาวาสเองพาตัวเองและพระรูปอื่นมาที่นี่เพียงเพื่อมาช่วยประดับบารมีให้ซูจิ้งเฉยๆก็เท่านั้นเอง เจ้าผู้นำนิกายนี่เองถึงแม้ว่าจะดูไม่เลวร้ายนัก และความรู้ของเขานั้นซูจิ้งเองก็เห็นด้วยเกือบทุกอย่าง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวก็คือเรื่องความสงบ