ตอนที่ 829 ข่าวดี

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 829 ข่าวดี

มิมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่ารัฐลู่ฉีซึ่งตั้งอยู่ ณ สถานที่ห่างไกลมีชนเผ่ากลุ่มหนึ่งที่มิสะดุดตามากนักอาศัยอยู่ ในชนเผ่านี้มีชาวหยูรวมอยู่ด้วย 4 คน อีกทั้งยังมีนักบวชจากแคว้นฝานอีก 1 รูป

เดิมทีนักบวชรูปนั้นปรารถนาจะเดินทางมาพบฟู่เสี่ยวกวน ทว่าก็ได้ตัดสินใจพักอาศัยอยู่กับชนเผ่านี้ในที่สุด

เขาออกไปต้อนสัตว์ในยามกลางวันเยี่ยงชาวเผ่าคนอื่น ๆ และกลับมายังเรือนสักหลาดเพื่อสวดพระคัมภีร์

บุรุษในเผ่าได้ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้กับครูฝึกเผิงในยามพลบค่ำ เมื่อยามราตรีมาเยือนก็ได้นั่งล้อมกองไฟเพื่อฟังคำเทศนาของนักบวช

ทั้งหมดนี้ล้วนได้รับความสำคัญจากหัวหน้าเผ่าหวานเหยียนหงเลี่ย เมื่อนางได้ฟังคำเทศนาของนักบวชก็รู้สึกว่าจิตใจสงบสุขแบบมิเคยเป็นมาก่อน

บัดนี้ชีวิตของชนเผ่าดีขึ้นมามาก หากสามารถนำแกะไปขายแล้วแลกเกลือมาได้ก็คงจะดีกว่านี้

เกลือที่หลงเหลือยู่ในเผ่าก็ร่อยหรอลงทุกที คาราวานที่ลักลอบนำเกลือมาขาย ปีนี้ก็ยังมิมาเสียที

นางเริ่มรู้สึกกังวลใจเพราะหากมิได้บริโภคเกลือ ร่างกายก็จะเติบโตได้มิสมบูรณ์ ซึ่งเป็นปัญหาต่อการอยู่รอดของคนในเผ่า

ทว่ากาลเวลาก็ล่วงเลยไปทั้งอย่างนี้

วันหนึ่งทุ่งหญ้าที่เคยเขียวขจีก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง นภาแจ่มใสกว่าที่เคย เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็จะมองได้ไกลกว่าที่เคย

คูฉานนั่งอยู่บนหลังอาชา จ้องมองฝูงวัวและฝูงแกะอ้วนท้วนอุดมสมบูรณ์กำลังเล็มหญ้า จากนั้นก็สลับไปมองผืนนภากว้างใหญ่แล้วตระหนักได้ว่าตนเดินทางมาอยู่ที่นี่เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว

ฤดูใบไม้ร่วงเวียนมาเยือนอีกครา

เมื่อสุริยาเอนเอียงไปทางทิศตะวันตก พวกเขาก็กลับมายังหมู่บ้าน จากนั้นก็ได้พบว่าบรรยากาศภายในหมู่บ้านคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากมีแขกแปลกหน้ามาเยือน

ทว่าคูฉานมิได้ใส่ใจ ในขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวนั่งสวดมนต์ตามปกติ บุตรสาวของเผิงยวี๋เยี่ยนนามว่าหยูรั่วซิงก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง

“หลวงพี่ หลวงพี่ ข้ามีข่าวดีมาบอกให้ท่านทราบ”

คูฉานยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “ข่าวดีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ช่วงก่อนหน้านี้ท่านหัวหน้าเผ่ากังวลว่าพวกเราจะขาดเกลือมิใช่หรือ ? บัดนี้พวกเรามีเกลือแล้ว ! ”

คูฉานหวนนึกถึงสีหน้ากลัดกลุ้มของท่านหัวหน้าเผ่าตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ทั้งเผ่ามีสมาชิกอยู่มากกว่า 300 คน หากขาดแคลนเกลือก็มิอาจมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

เรื่องนี้ก็ได้นำความกังวลใจมาให้เผิงยวี๋เยี่ยนเช่นกัน เนื่องจากเกลือเป็นสิ่งที่พวกเขาผลิตขึ้นมาเองมิได้ ทราบมาว่าเผิงยวี๋เยี่ยนได้หารือกับหัวหน้าเผ่าว่าจะเตรียมตัวไปราชวงศ์หยูเพื่อการนี้ แต่ยังมิทันได้ออกเดินทางเลยนี่ แล้วเกลือมาจากที่แห่งใดกันเล่า ?

“คาราวานลักลอบขายเกลือมาถึงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หยูรั่วซิงส่ายศีรษะไปมา “คนพวกนั้นคือชนเผ่าซิ่วซานที่อยู่มิไกลนัก พวกเขาบอกว่าเขตปกครองตนเองสามารถผลิตเกลือเองได้แล้ว ! เป็นเพราะคนแซ่ฟู่ ฟู่อันใดกวน ๆ นี่แหละ…”

คูฉานตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด “ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อืม…ใช่ใช่ใช่ เป็นฟู่เสี่ยวกวน ได้ยินมาว่าเขาทำนาเกลือขนาดมหึมาที่เขตมู่หยางในรัฐธงเขียว” หยูรั่วซิงกางสองแขนออกพลางเอ่ยโอ้อวดเกินจริง “ลือกันว่านาเกลือของเขามีแรงงานหลายหมื่นคน ในทุกวันสามารถผลิตเกลือได้ตั้งหลายพันชั่ง”

คูฉานหัวเราะออกมา บุรุษผู้นี้ช่างน่าทึ่งเสียจริง

“ท่านมิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เชื่อสิ ! อาตมาเชื่อ”

“จริงสิ ! ข้าได้เห็นเกลือที่พวกเขานำมาด้วย มันมีสีขาวโพลนราวกับหิมะ ซึ่งแตกต่างกับแท่งเกลือที่ชนเผ่ามีอย่างสิ้นเชิง เมื่อท่านหัวหน้าเผ่าได้ชิมก็ดีใจเสียจนร้องห่มร้องไห้”

คูฉานชะงักงันเมื่อได้ยินดังนั้น เกลือสีขาวเยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ?

เกลือที่ดีที่สุดมิใช่เกลือสีเขียวหรอกหรือ ?

เขาเริ่มนั่งมิติดพื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนกะทันหัน “ไป ! พาอาตมาไปดูหน่อยเถิด”

ณ เรือนสักหลาดหลังใหญ่ที่สุดของหมู่บ้าน

คูฉานเห็นชาวเผ่าซิ่วซานหลายคน ท่านหัวหน้าเผ่าและเผิงยวี๋เยี่ยนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย ๆ ตัวหนึ่ง

“ท่านป้าหวานเหยียน หลานมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวดีให้ท่านทราบ บัดนี้ท่านผู้ว่าการออกคำสั่งให้นำเกลือที่ผลิตได้เก็บไว้ให้เพียงพอต่อความต้องการของพวกเราชาวฮวง ส่วนที่เหลือให้ส่งไปยังเมืองการค้าซินโจวและเมืองการค้าหลานฉี”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นจิบชานมแล้วเอ่ยต่อว่า “บัดนี้ใกล้มืดค่ำเต็มทีแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางเถิด ท่านสามารถวางใจได้เพราะนาเกลือขาวโพลนกว้างใหญ่ไพศาลนั้นเป็นเรื่องจริง หลานชายได้ไปเห็นมากับตา มิต้องกังวลว่าจะหมดเสียก่อน”

“ยังมีข่าวดีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่ข้าเอ่ยถึงเมืองการค้าซินโจวและเมืองการค้าหลานฉีใช่หรือไม่ ? ที่นั่นได้เปิดตลาดกันแล้ว ชนเผ่าของพวกเราสามารถนำม้า วัว หรือแกะไปขายยังตลาดทั้งสองแห่งนี้ได้”

หวานเหยียนหงเลี่ยเรียกคูฉานเข้ามานั่ง จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นสุดขีดว่า “ซินโจว…มิใช่ว่าเป็นของราชวงศ์หยูหรอกหรือ ? พวกเขายอมญาติดีกับพวกเราแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ชายผู้นั้นยิ้มแล้วตอบ “ท่านคงมิรู้ว่าบัดนี้เมืองซินโจวเป็นหนึ่งในอาณาเขตของพวกเราแล้ว ติ้งอันป๋อผู้นั้นคือคนเดียวกันกับฟู่เสี่ยวกวนที่คิดค้นนาเกลือขึ้นมา เขาเป็นราชบุตรเขยของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู และเมืองซินโจวแห่งนี้คือผืนปฐพีที่ฮ่องเต้ประทานให้แก่เขา”

เผิงยวี๋เยี่ยนพยักหน้าพลางก้มหน้าที่อึมครึมลงเล็กน้อย ส่วนหวานเหยียนหงเลี่ยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้…ถึงมอบความช่วยเหลือให้แก่พวกเรา ? ”

“เอ่อ…ลูกพี่ลูกน้องของข้าที่เข้ารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอของเขตมู่หยุนเอ่ยว่า ฟู่เสี่ยวกวนเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋และกำลังจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิในเร็ววันนี้”

“อืม…เขาบัญชากองทัพราชวงศ์อู๋มายึดแคว้นฮวงของเราใช่หรือไม่ ? ”

“ชู่ว์…อย่าเอ่ยเยี่ยงนี้ให้ผู้คนภายนอกได้ยินเชียว มิแน่อาจจะเป็นการนำหายนะมาสู่ชนเผ่าก็เป็นได้ อาณาเขตฮวงของเราถูกยึดครองไปแล้วก็จริง เขตปกครองตนเองเป็นเขตที่ขึ้นตรงกับราชวงศ์อู๋ และองค์ชายพระองค์นี้ยังคงอยู่ที่เขตปกครองตนเองเพราะยังมีอีกหลายเรื่องให้สะสาง”

หวานเหยียนหงเลี่ยยิ้มร่า “ข้ามิสนหรอกว่าผู้ใดจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิ ขอเพียงพวกเรามีชีวิตที่ดีขึ้นก็เพียงพอแล้ว เจ้าเล่ามาสิว่าองค์ชายพระองค์นี้ได้ทำสิ่งใดอีกบ้าง ? ”

“เล่ากันว่ารัฐลู่ฉีของพวกเราถูกจัดให้เป็นเขตเลี้ยงสัตว์ของเขตปกครองตนเอง ซึ่งหมายความว่าต่อจากนี้ลู่ฉีจะเน้นการเลี้ยงวัว แกะ และม้าเป็นหลัก”

“พวกเขาจัดให้รัฐธงดำเป็นเขตการเกษตรเพราะที่ดินแถบนั้นอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำนาซึ่งก็คือการปลูกข้าวนั่นเอง ทว่าข้าได้ยินลูกพี่ลูกน้องเอ่ยว่าการปลูกข้าวมิใช่เรื่องที่จะกระทำได้สำเร็จในสองสามวัน เพราะองค์ชายประสงค์ให้ปลูกข้าวพันธุ์ที่เหมาะกับเขตที่หนาวเย็น ข้ามิเข้าใจถ่องแท้นักหรอก ฝ่ายคนเล่าก็มิต่างกัน”

“ยังมีรัฐจื่อฉีที่เคยเป็นสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุด แม้แต่หญ้าก็ยังมีให้เห็นบางตา องค์ชายประสงค์ให้รัฐจื่อฉีเป็นเขตอุตสาหกรรม ทว่ามิใช่อุตสาหกรรมทอผ้า แต่เป็นการปลูกดอกไม้โดยเน้นปลูกดอกไม้สีม่วงที่มีเฉพาะในพื้นที่ หลังจากนั้นก็นำดอกไม้สีม่วงไปผลิตน้ำหอม ลูกพี่ลูกน้องก็มิรู้เช่นกันว่าเจ้าน้ำหอมนั้นคือสิ่งใด”

“เอาเป็นว่าองค์ชายพระองค์นี้มิธรรมดาเอาเสียเลย แม้แต่คนเยี่ยงลูกพี่ลูกน้องของข้าที่ไร้วิชาและมิแยแสผู้ใดยังให้ความเคารพนับถือต่อองค์ชายพระองค์นี้เลย เขาเอ่ยว่าชาวฮวงจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในมิช้า”

ที่แห่งนี้มีคนนั่งอยู่สิบกว่าคน นอกจากเผิงยวี๋เยี่ยนและคูฉานที่เข้าใจแล้ว คนที่เหลือต่างก็รู้สึกสงสัยทั้งสิ้น

ชาวฮวงยากลำบากมานานนับพันปี พวกเขารอคอยคืนวันดี ๆ อยู่ทุกคืนวัน รอแล้วรอเล่าจนเลิกหวัง

ตามความเห็นของหวานเหยียนหงเลี่ยเพียงสามารถนำวัวและแกะไปขายได้ ก็จะสามารถซื้อเกลือกลับมาได้แล้ว อีกทั้งยังมีเงินเหลือเพียงพอให้ซื้อผ้าฝ้ายอีกด้วย เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว

เผิงยวี๋เยี่ยนและคูฉานเข้าใจดีว่า หากนโยบายทั้งหมดของฟู่เสี่ยวกวนดำเนินต่อไปก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีกว่าผืนปฐพีแห่งนี้จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

แน่นอนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชาวฮวงยากจะคิดฝันถึง

ฟู่เสี่ยวกวนที่เคยถูกชาวฮวงเกลียดชังเข้ากระดูกดำก็จะค่อย ๆ กลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ภายในใจของชาวฮวง !