ตอนที่ 830 การประชุมนัดแรก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 830 การประชุมนัดแรก

บัดนี้ว่าที่องค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่กำลังมีเรื่องทุกข์ใจอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับถึงจวนผู้ว่าการเมื่อวันที่สิบเดือนเก้า ราตรีนั้นเอง เขาได้เรียกท่าป๋าคัง ท่าป๋าเฟิงรวมถึงขุนนางทั้งหกกรมมาเข้าร่วมประชุมใหญ่เป็นคราแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งเขตปกครองตนเองขึ้นมา

“…เขตปกครองตนเองมิได้ขาดแคลนทรัพยากร ตามที่ข้าได้ไปสำรวจมาแล้วทั้งหกรัฐ พบว่าโครงร่างแผนพัฒนาระยะ 5 ปีของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนฉบับนี้ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข ข้าจะร่างแผนพัฒนาระยะ 5 ปีขึ้นมาใหม่ภายในห้าวันนับจากนี้ ส่วนพวกท่าน…”

สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกวาดมองเจ้าหน้าที่จำนวนหลายสิบคนแล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่พวกท่านต้องทำต่อไปคือนำโครงร่างแผนพัฒนานี้ไปปฏิบัติจริงภายใต้การชี้นำของผู้ว่าการท่าป๋าคัง ! ”

“ในโครงร่างฉบับนี้มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย เช่นวิธีการปลูกดอกลาเวนเดอร์ที่รัฐจื่อฉี รวมไปถึงวิธีการผลิตน้ำหอม หากพวกท่านยังมิเข้าใจก็มิเป็นไร เพราะข้าจะส่งคนมาช่วยอีกแรง”

“สิ่งที่พวกท่านทั้งหลายพึงกระทำคือให้ความร่วมมือต่อพวกเขา ช่วยพวกเขาขจัดปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ห้ามก้าวก่ายหน้าที่ของพวกเขาเป็นอันขาด ! ”

“ข้าจำต้องเน้นย้ำเรื่องนี้ต่อพวกท่านอีกครา เจ้าหน้าที่ทุกระดับของเขตปกครองตนเองจำเป็นต้องทำงานเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง ! จงละทิ้งนิสัยมิพึงปฏิบัติที่เคยมีในอดีตให้หมดสิ้นภายในสองหรือสามเดือนที่เหลือในปีนี้เสีย เพราะตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เจ้าหน้าที่ทุกระดับขั้นจะถูกจัดเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงาน”

“…ในระยะสั้นนี้ให้เน้นเกลือและเหล็กเป็นสินค้าเศรษฐกิจหลักของเขตปกครองตนเอง ทว่า 2 ปีให้หลังข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกสิ่งที่ทุ่มเทในหกรัฐของเขตปกครองตนเองจะผลิดอกออกผลได้งดงาม”

“เมื่อแผนพัฒนาทั้งหมดถูกปฏิบัติจริง พวกท่านย่อมได้เห็นเขตปกครองตนเองแตกต่างไปจากแคว้นฮวงดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ข้าเอ่ยมานี้มิเกินจริงเลยสักนิด เพราะที่แห่งนี้จะเปรียบดั่งไข่มุกส่องประกายระยับในแดนเหนือ”

“…”

การประชุมครานี้ดำเนินตั้งแต่ยามโหย่วจนถึงยามห้าย เหล่าเจ้าหน้าที่ภายใต้สังกัดของท่าป๋าคังมีประสบการณ์ในการประชุมเยี่ยงนี้เป็นคราแรก จึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่มากยิ่งนัก ชายหนุ่มที่เอ่ยอย่างมีหลักการ เขาเป็นผู้มากความสามารถอย่างแท้จริง

เขาออกเดินทางไปทั่วเขตปกครองตนเอง อีกทั้งยังมีความเข้าใจในสภาพแวดล้อมของทั้งหกรัฐอย่างถ่องแท้

เขาได้รู้จักเจ้าหน้าที่ระดับรัฐในท้องถิ่นและได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา เขาเข้าใจว่าผืนปฐพีรกร้างแห่งนี้กำลังประสบปัญหาใด อีกทั้งยังรู้ว่าควรแก้ไขสภาพความเป็นอยู่แสนล้าหลังเยี่ยงไร

เขาช่างแตกต่างจากขุนนางระดับสูงที่เคยมีมาก่อนอย่างสิ้นเชิง

ยามที่เขาออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เขามิได้เอาแต่ขลุกอยู่ในที่ว่าการเพื่อรอฟังรายงานเพียงอย่างเดียว

เขาออกเดินเตร่ไปทั่วตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ อีกทั้งยังสนทนาและร่วมกินอาหารกับชาวฮวงดั้งเดิมอีกด้วย

เขาชอบนั่งอยู่ตามท้องทุ่งว่างเปล่า และบางคราก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นราวครึ่งค่อนวัน

ทว่าส่วนใหญ่เขาใช้เวลาไปกับการเดินเที่ยวเตร่อยู่บนดินแดนรกร้าง เดินบ้างหยุดบ้างและมิมีผู้ใดเข้าใจว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่

เมื่อเขากลับมายังจวนผู้ว่าการ ก็ได้มีคำสั่งถอดถอนเจ้าหน้าที่สิบกว่าตำแหน่งจากทั้งหกรัฐและสองในนั้นยังเป็นถึงผู้ว่าราชการรัฐอีกด้วย !

“สิ่งใดคือรากฐานของบ้านเมืองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ราษฎรทุกหมู่เหล่าบนผืนปฐพีนี้คือรากฐานของบ้านเมือง ! ราษฏรต้องมาก่อนเสมอ ตามมาด้วยชาติบ้านเมือง และถึงจะเป็นผู้นำในท้ายที่สุด ! ”

“ข้าหวังว่าพวกท่านจะจดจำคำนี้ให้ขึ้นใจและสลักมันไว้ในหัวสมอง ให้สมองของพวกท่านพึงระลึกถึงราษฎรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ! ”

“ผู้ใดเพิกเฉยและกระทำเรื่องโฉดชั่วต่อราษฎร…” เขาเอาสองมือไพล่หลัง จากนั้นก็กวาดตามองเหล่าเจ้าหน้าที่ด้วยสายตาอำมหิต “เชื่อข้าเถิด ข้าจะทำให้ข้าราชการเยี่ยงนี้ตายทั้งเป็น ! ”

“พวกท่านจงปฏิบัติตัวให้ดีเข้าไว้ ! ”

เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหลายรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เนืองนิตย์คือเจ้าของผืนปฐพีนี้อย่างแท้จริง !

“แน่นอนว่าหากพวกท่านสามารถปฏิบัติต่อราษฎรได้เฉกเช่นเดียวกับบิดาและมารดาของตน ทำให้ราษฎรมีกินมีใช้จนเพียงพอ ข้าจะจดจำเอาไว้ในใจ และข้าราชการเยี่ยงนี้สมควรได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม ! ”

“หากทุกท่านสามารถสมัครสมานเป็นใจเดียวกับข้าได้ ทั้งหมดนี้ก็ล้วนทำเพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองของเขตปกครองตนเองทั้งสิ้น”

คำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนในที่ประชุม ได้สะเทือนไปถึงจิตวิญญาณของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย

การเป็นขุนนางมิใช่เพื่อความร่ำรวยหรอกหรือ ?

เป็นขุนนางมิใช่เพื่อให้ชนเผ่าและวงศ์ตระกูลของตนยิ่งใหญ่กว่าเดิมหรอกหรือ ?

ตำแหน่งขุนนางมิใช่มีไว้เพื่อจับชาวฮวงไปเป็นทาสหรอกหรือ ?

นี่มันต่างจากความคิดของพวกเขาราวฟ้ากับเหว !

ปฏิบัติต่อราษฎรเฉกเช่นเดียวกันกับบิดามารดา… บิดามารดามีเยอะเกินไปหรือไม่ ?

เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง เหล่าเจ้าหน้าที่ก็ได้จับกลุ่มกันย่างแกะ พร้อมกับร่ำสุราเพื่อบอกเล่าถึงความสงสัยที่เก็บไว้ในใจ

โดยที่พวกเขามิรู้เลยว่าในมุมลับแห่งหนึ่งที่มิไกลนัก มีมดงานคนหนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ เขาเฝ้ามองสถานการณ์อย่างเงียบเชียบและตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ อีกทั้งยังจดบันทึกไว้อย่างขะมักเขม้นอีกด้วย

……

……

ณ ตำหนักจื่อจิน

เขตพระราชฐานที่เคยเป็นของจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวง ทุกวันนี้ได้กลายเป็นที่พำนักของฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนกับเหล่าสตรีของตนบางส่วนกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลัง สวนดอกไม้แห่งนี้มิได้รับการดูแลเอาใจใส่มาช้านาน จึงทำให้ดอกไม้งอกออกมาอย่างไร้ระเบียบและมีกลิ่นที่มิพึงประสงค์โชยมา

“พวกเวิ่นหวินเดินทางถึงเมืองกวนหยุนเมื่อวันที่สิบเดือนเจ็ด”

“ตลอดทางราบรื่นดี มีเพียงจึเหลียงที่เป็นหวัด ทว่าโชคดีที่มีหนานกงตงเซวี๋ยร่วมเดินทางไปด้วย”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “สถานที่แห่งนี้จะมีหิมะตกช่วงปลายเดือนสิบ ข้าคิดว่าพวกเราควรออกเดินทางกลับราชวงศ์อู๋ก่อนหิมะตก”

“ข้าได้ส่งจดหมายให้จัวเปี๋ยหลี เพื่อให้เขาออกเดินทางกลับราชวงศ์อู๋ในช่วงเดียวกัน”

“ต่อไปนี้ยังมีอีกหลายเรื่องให้สะสาง กองทัพทหารดาบเทวะถูกจัดให้เป็นกองทัพเดียวในทุกวันนี้ซึ่งมีนายทหารเพียง 100,000 นายเท่านั้น พวกเขาจำต้องปักหลักอยู่ที่เขตปกครองตนเองแห่งนี้ หลังจากข้ากลับไปยังราชวงศ์อู๋แล้ว ก็จำเป็นต้องสถาปนากองทัพขึ้นมาใหม่”

“ข้ามิได้เข้าใจสถานการณ์ที่ราชวงศ์อู๋สักเท่าใดนัก ปีหน้า… ปีหน้าข้าต้องออกเดินทางไปศึกษายังสถานที่ต่าง ๆ ภายในราชอาณาจักรสักหน่อยแล้ว”

เขามองสวี่ซินเหยียนและพรรคพวกด้วยแววตาเปี่ยมความเสียใจ จากนั้นก็ฉีกยิ้มออกมา “ข้ายังปรารถนาที่จะเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินอยู่ดังเดิม ทุกวันนี้ข้าวุ่นมิเว้นวันราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ต่อไปนี้ข้าอาจจะมีเวลาอยู่เคียงข้างพวกเจ้าน้อยลง จึงต้องขอให้พวกเจ้าเข้าใจและให้อภัยข้าด้วยเถิด”

สวี่ซินเหยียนยิ้มเจื่อนให้กับเขา “ท่านเป็นทายาทของตระกูลย่อมมีเรื่องวุ่นเป็นธรรมดา มิต้องกังวลเรื่องพวกเราหรอก… สิ่งที่ข้าต้องการมิใช่สถานะสูงส่ง แต่มันคือความมั่นคงต่างหากเล่า”

“ทว่าเยี่ยงไรเสียท่านก็ควรหาเวลาว่างมาฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางบ้าง…” คำเอ่ยของสวี่ซินเหยียนทำให้อู๋หลิงเอ๋อร์หวนนึกถึงความบ้าระห่ำในราตรีนั้นขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกกลืนมิเข้าคายมิออก

ซูซูหลุดหัวเราะออกมา ส่วนฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบจมูก จากนั้นสวี่ซินเหยียนจึงเอ่ยกลบเกลื่อนว่า “อย่าเข้าใจผิดเชียว ข้าก็เพียงแค่อยากให้ร่างกายของท่านแข็งแรงและเปี่ยมไปด้วยพลัง ! ”

“คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางเป็นพลังภายในขั้นสูงของสำนักเต๋า เป็นผลดีต่อการบำรุงรากฐานของร่างกาย ท่านต้องตั้งใจฝึกฝนจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เรื่องวรยุทธ์นั้น ตั้งแต่ที่เขาสามารถก้าวเท้าเข้ามาในโลกของระดับสามแล้วสามารถฝึกวิชาตัวเบาได้ ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ความก้าวหน้าอื่นใดอีกเลย

แม้แต่ซูม่อยังรู้สึกสิ้นหวัง พลางคิดไปว่าเจ้าหมอนี่มิได้เกิดมาเพื่อฝึกยุทธอย่างแท้จริง

แม้แต่เฮ้อซานเตาก็ยังมีฝีมือล้ำหน้าเขาไปแล้ว เจ้าเฮ้อซานเตาเพิ่งจะฝึกได้นานเท่าใดกันเชียว ?

คงมิมีมนุษย์คนใดที่จะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง และความเห็นจากผู้มีฝีมือระดับสูงเยี่ยงซูม่อก็เห็นว่าเขาควรหยุดการฝึกฝนไว้ที่ระดับสามก็พอ

“เอาเถิด ! เอาเป็นว่าพวกเราจะออกเดินทางในช่วงต้นเดือนสิบ…”

ราวกับว่าเขาเพิ่งได้สติคืนมา จากนั้นจึงกวาดสายตามองเหล่าสตรีโดยรอบแล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า “สตรีทั้งหลาย ราตรีนี้ผู้ใดจะร่วมเตียงกับข้า ? ”

“นาง… ! ”

สตรีทั้งหลายต่างชี้ไปยังซูซูโดยพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้นหัวใจของซูซูก็พลันเต้นโครมครามขึ้นมา ทั้งเร็วและแรงจนเกือบจะหายใจไม่ทัน เลือดสูบฉีดจนทำให้พวกแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อ ช่างเป็นภาพที่น่ามองยิ่งนัก…