บทที่ 559 หากเจ้าไม่ช่วย ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 559 หากเจ้าไม่ช่วย ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!

ในเขตแดนหมอก หลิงตู้ฉิงมองดูหมาชราสีทองที่กำลังหนุนอยู่บนมหาวิถีเต๋าของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ

เขาโยนเนื้อย่างที่ถืออยู่ไปให้หมาชราสีทองและพูดว่า “ข้าจะพาคนเหล่านี้ออกไป!”

เมื่อเห็นว่าหมาชราสีทองตัวนี้มีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้หนุนมหาวิถีเต๋าของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ หลิงตู้ฉิงก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงไม่อาจพามันออกไปได้และมันเองก็คงไม่ยอมขยับไปไหนในช่วงเวลาเร็ว ๆ นี้เช่นกัน เขาจึงตัดสินใจที่จะปล่อยวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว

เขาหันกลับมาสนใจในประเด็นการพาคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ออกไปแทน เพื่อที่อย่างน้อย ๆ เขาก็ยังสามารถทำกำไรได้กับการมาเยือนที่นี่

หมาชราสีทองเคี้ยวเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นมันก็ถามขึ้นว่า “เจ้ายังมีอีกไหม?”

หลิงตู้ฉิงโยนเนื้อทั้งหมดที่เขาเตรียมเอาไว้ให้กับหมาชราสีทองทันที ซึ่งหมาชราสีทองก็แสดงท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก

จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็เดินเข้าไปหาเย่ชางคง และพูดว่า “ไปกับข้า!”

เย่ชางคงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าประหม่า “ข้าไปได้จริง ๆ เหรอ?”

เขารู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าหมาชราสีทองตัวนี้ เขาเป็นได้เพียงแค่ตัวตลก ไม่เพียงแค่เขาที่เป็นเหมือนตัวตลก แม้กระทั่งบรรดาบรรพบุรุษก็ไม่ต่างอะไรกับตัวตลกเช่นกันเมื่ออยู่ต่อหน้าหมาตัวนี้

หลายพันปีที่ผ่านมา นาน ๆ ครั้งหมาชราสีทองตัวนี้จะปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นและสั่งให้พวกเขาช่วยหวีขนของมัน

ในตอนแรก ๆ เย่ชางคงและคนอื่น ๆ นั้นรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อครั้งแรกที่พวกเขาถูกปลุกขึ้นตื่นจากภวังค์ ซึ่งพวกเขาคิดว่ามันคงถึงเวลาที่พวกเขาจะถูกหมาตัวนี้กินแน่นอน

แต่พอหลังจากนั้นเมื่อพวกเขาเริ่มรู้ว่าหมาตัวนี้แค่ต้องการสั่งให้พวกเขาหวีขนของมันเพียงอย่างเดียว แถมในบางครั้งมันกลับชี้แนะวิธีการบ่มเพาะให้กับพวกเขา พวกเขาจึงเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและพอผ่านไปนาน ๆ เข้า มันกลับกลายเป็นว่าพวกเขากลับแทบจะรอไม่ไหวที่หมาชราสีทองจะปลุกพวกเขาขึ้นอีกที เพราะมันหมายถึงว่ามันคือช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์

บางครั้งพวกเขาถึงขนาดคิดกันในใจว่าอยากจะอยู่ในเขตแดนหมอกแห่งนี้ตลอดไปเลยด้วยซ้ำ

แต่มันก็ใช่ว่าในเขตแดนหมอกแห่งมันจะไม่มีอันตรายอะไรเลย

ในเขตแดนหมอกแห่งนี้มันไม่มีพลังวิญญาณใด ๆ สถิตอยู่แม้แต่น้อย ดังนั้นพลังวิญญาณในร่างกายของพวกเขาทุกคนจึงมีแต่ถูกใช้ออกไปเรื่อย ๆ ในทุกวันไม่มีวันฟื้นฟูกลับมา และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตสำนึกของพวกเขาก็ค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้ามันยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาก็คงจะต้องตายอยู่ภายในที่แห่งนี้โดยที่ไม่มีทางขัดขืน

แต่แล้วในขณะที่เขากำลังปลงตก เขากลับได้เจอชายหนุ่มที่น่าจะเป็นลูกเขยของเขา ซึ่งมากับลูกสาวของเขาเข้ามาในที่แห่งนี้เพื่อมาพาเขาออกไป แต่คำถามสำคัญคือ เขาสามารถออกไปได้จริง ๆ หรือ?

เขาเองก็อยากจะออกไปจากที่นี่มาก ๆ เช่นกัน แต่เขาก็ยังต้องการถามความเห็นของเจ้าของสถานที่ก่อน

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วมองไปที่เย่ชางคง และพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากจะออกไปจากที่นี่ก็จงรีบตามข้ามา!”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เดินไปหาเย่ชิงเฉิงและหมิงยู่ที่รออยู่ไกลลิบ และจากนั้นเขาก็เดินนำทุกคนออกไปจากเขตแดนหมอกทันที

ทางด้านของเย่ชางคง ในระหว่างที่เขากำลังเดินออกไป เขาก็หันกลับไปมองที่หมาชราสีทองที่กำลังกินเนื้อย่างอยู่อย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้างุนงง

แน่นอนว่าเขากำลังสาปแช่งอยู่ในใจ ‘ไอ้หมาบ้า! ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าดี ๆ ว่าเจ้าอยากกินเนื้อย่าง ข้าเป็นถึงเจ้าสำนักผู้สูงส่ง ขอแค่เจ้าเอ่ยปากมันจะไปมีเนื้อย่างอะไรที่ข้าหามาให้เจ้าไม่ได้!?’

เขาทำได้เพียงแค่สาปแช่งในใจเพียงเท่านั้นไม่กล้าเอ่ยมันออกมา ซึ่งแน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้รู้เลยว่าเนื้อที่หลิงตู้ฉิงย่างนั้นมันไม่ใช่การย่างแบบปกติทั่วไป

แม้แต่หลิงตู้ฉิงยังต้องใช้เวลาในการย่างมันเป็นปี!

เดินกันได้ไม่นานในที่สุดพวกเขาก็ออกมาจากเขตแดนหมอกได้สำเร็จ

ในที่สุดเย่ชางคงก็ได้สัมผัสกับพลังวิญญาณอันสดชื่นที่อยู่ด้านนอก ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องออกมาและใช้พลังเจตจำนงของเขาดูดพลังวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ เข้าสู่ร่างกายเพื่อฟื้นฟูระดับการบ่มเพาะที่เขาสูญเสียไปตอนที่ติดอยู่ในเขตแดนหมอก

ในเวลาเดียวกัน ผู้คนด้านนอกที่เห็นภาพเช่นนี้ต่างก็ตกตะลึง

มู่หลงหยานเป็นคนแรกที่ได้สติ นางรีบวิ่งเข้าไปหาเย่ชางคง และถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “สามี ท่านเป็นยังไงบ้าง?”

เย่ชางคงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร มันก็แค่รากฐานของระดับการบ่มเพาะของข้าไม่มั่นคงเหมือนก่อน ซึ่งมันคงต้องค่อย ๆ บ่มเพาะเพื่อฟื้นฟูมันใหม่ จริงสิ…น้องชาย ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก!”

เย่ชิงเฉิงยิ้มทันทีและพูดว่า “ท่านพ่อ นี่คือสามีของข้า ซึ่งข้าเป็นคนขอให้เขามาช่วยท่านเอง”

ในตอนนี้นางรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่หลิงตู้ฉิงสามารถช่วยพ่อของนางได้จริง ๆ

ทางด้านของบรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบ ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน เนื่องจากหลิงตู้ฉิงสามารถออกมาจากเขตแดนหมอกได้อย่างปลอดภัยและยังสามารถพาเจ้าสำนักของพวกเขาออกมาได้ ซึ่งมันก็หมายความว่าเขาจะต้องสามารถพาคนอื่น ๆ ออกมาได้ด้วยอย่างแน่นอน

“คุณชายหลิง…” บรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างเดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้ากระตือรือร้น

โดยเฉพาะบรรดาเหล่าคนที่มีญาติของตัวเองติดอยู่ด้านในเขตแดนหมอก พวกเขาแทบจะเก็บอาการตื่นเต้นของตัวเองไว้ไม่อยู่ และเกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามีอะไรงั้นเหรอ?”

“บรรพบุรุษตระกูลของข้ายังคงติดอยู่ข้างใน ข้าคงต้องขอรบกวนให้ท่านช่วยบรรพบุรุษของข้าออกมาสักหน่อย หากท่านช่วยข้า ทั้งตระกูลของข้าจะจดจำใจบุญคุณนี้ไว้ตลอดกาล” หานหลิงอู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เรื่องช่วยคนไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากต้องการให้ข้าช่วย เจ้าก็จงลองเสนอราคาค่าตัวบรรพบุรุษของเจ้าให้ข้าฟังสักหน่อยว่าเขามีค่าตัวเท่าไหร่?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ยิ้มของหานหลิงอู่ถึงกับแข็งค้าง

ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าการกระทำก่อนหน้าของหลิงตู้ฉิงที่ดูเหมือนจะใจกว้างนั้นเป็นแค่การแสร้งทำ! ที่แท้หลิงตู้ฉิงก็รอเวลานี้เพื่อสูบเลือดพวกเขานั่นเอง!

หากจะให้ประเมินราคาชีวิตของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิ หานหลิงอู่ก็รู้ว่าต่อให้จะใช้ทรัพย์สมบัติที่พวกเขามีทั้งหมดมันก็คงไม่เพียงพอ

เมื่อคิดได้เช่นนี้มันก็ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร

หลิงตู้ฉิงถามขึ้นอีกครั้ง “มีคนของเจ้ากี่คนที่ติดอยู่ข้างใน?”

“ขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลาย 1 คน ขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นต้น 1 คน ขอบเขตจักรพรรดิ 1 คน ขอบเขตราชันอีก 2 คน และผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตสวรรค์อีก 6 คน” หานหลิงอู่รีบตอบกลับทันที

หลิงตู้ฉิงคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “อืม ไม่มีปัญหา เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เจ้าพาข้าไปที่คลังสมบัติของตระกูลเจ้า ข้าจะเลือกสิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับข้าในราคาที่เหมาะสม และจากนั้นข้าจะเข้าไปพาคนของเจ้าออกมาทั้งหมด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หานหลิงอู่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูก เขาคิดว่าหลิงตู้ฉิงคงจะกวาดสมบัติในคลังของตระกูลเขาออกไปจนหมดแน่นอน

แต่แล้วเมื่อเขาคิดทบทวนดูอีกรอบ เขาก็ทำได้แต่ตัดสินใจยอมรับ เนื่องจากเหล่าผู้คนที่อยู่ในเขตแดนหมอกนั้นมีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่อยู่ในคลังสมบัติของตระกูล

ทางด้านของตระกูลอื่น ๆ ที่เห็นว่าตระกูลหานเจรจาเสร็จเรียบร้อย พวกเขาต่างก็พากันเดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงเพื่อขอเจรจาราคาบ้าง

ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็ตอบรับทุกคำขอและแจ้งเงื่อนไขแบบเดียวกับตระกูลหานไปทั้งหมด ซึ่งทุกตระกูลต่างก็ได้แต่ยอมรับอย่างขมขื่น

แต่แล้วเมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นว่าเย่ฉิงเสี่ยวเดินเข้ามาหา และขอให้เขาช่วยเหลือ หลิงตู้ฉิงก็ตอบกลับทันที “ข้าเคยบอกกับเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าหากเจ้าต้องการให้ข้าพาพ่อของเจ้าออกมา เจ้าจะต้องคลานเข่าเข้ามาหาข้า ดังนั้นจงถอยออกไปและคลานเข่าเข้ามาหาข้า ข้าถึงจะตกลงพาพ่อเจ้าออกมาให้!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเย่ฉิงเสี่ยวถึงกับมืดหม่นลงทันที เขาที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิจะลดศักดิ์ศรีตัวเองลงไปคลานเข่าให้กับผู้เชี่ยวชาฐขอบเขตประสานทะเลปราณได้ยังไง?

“อย่าคิดว่าแค่เจ้ามีความสามารถเข้าหน่อยก็สามารถข่มเหงผู้อื่นได้อย่างใจนึก!” เย่ฉิงเสี่ยวพูดขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล

หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ถ้างั้นเจ้าคงไม่ต้องการให้ข้าพาพ่อของเจ้าออกมาสินะ?”

เย่ฉิงเสี่ยวมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาอาฆาต และพูดขึ้นว่า “หากเจ้าไม่ช่วยพาพ่อของข้าออกมา ข้าจะฆ่าเข้าซะ!”

เมื่อพูดจบ เย่ฉิงเสี่ยวก็พุ่งเข้าไปประชิดตัวหลิงตู้ฉิงทันที และวางมือของเขาไว้บนไหล่ของหลิงตู้ฉิง!