ก่อนที่จะเข้ามาในเขตแดนหมอก เย่ชิงเฉิงและหมิงยู่ต่างก็จินตนาการถึงสิ่งที่พวกนางอาจจะได้พบไว้หลายรูปแบบ แต่พวกนางไม่เคยนึกไม่เคยไม่ฝันมาก่อนเลยว่าภาพที่ปรากฎขึ้นมันจะกลายเป็นแบบนี้

บนแท่นหินขนาดความกว้างราว 2 เมตรที่ถูกยกสูงจากพื้นราว 1 เมตร มีหมาสีทองที่ดูชราตัวหนึ่งกำลังนอนเอาขาหน้าไขว้กันอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังหวีขนที่อยู่ด้านหลังของมันอย่างตั้งใจ

ส่วนที่ด้านหน้าของหมาชราตัวนั้นก็มีผู้คนมากมายที่กำลังนั่งหลับตาขัดสมาธิไม่ไหวติง

เห็นได้ชัดว่าขนของหมาสีทองตัวนั้นเงางามและไม่มีจุดใดที่สกปรกเลยแม้แต่น้อย แต่ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ยังคงหวีขนของมันไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดจนมือของเขามีเลือดไหลซึมออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาหวีขนของมันมาเป็นเวลานานมาก ๆ แล้ว

“ท่านพ่อ นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่!” เย่ชิงเฉิงมองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าตกตะลึง

ทางด้านของชายวัยกลางคน เมื่อเขาเหลือบไปมองเห็นเย่ชิงเฉิง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขมขื่น แต่เขากลับไม่พูดอะไรและยังคงหวีขนให้มาสีทองตัวนั้นต่อไปอยู่เช่นเดิม

ส่วนบรรดาผู้คนที่นั่งอยู่หน้าหมาสีทองตัวนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับเสียงของเย่ชิงเฉิง พวกเขายังคงนั่งหลับตาและไม่เคลื่อนไหวใด ๆ

หลิงตู้ฉิงโยนปีกอินทรีย์ย่างไปให้กับหมาสีทองตัวนั้น ซึ่งมันก็รีบคาบรับไว้ทันทีและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อมันกินเสร็จมันก็มองไปที่มือของหลิงตู้ฉิงด้วยความคาดหวัง

แต่ทางด้านของหลิงตู้ฉิงกลับเหล่มองไปที่ เย่ชางคง และพยักหน้าเล็กน้อย

หมาชราสีทองเข้าใจในความหมายทันที มันยกขาหน้าขึ้นข้างหนึ่งโบกไปทางเย่ชางคง ส่งตัวเขาไปนั่งลงอยู่ที่ด้านหน้าแท่นหิน

“ท่านพ่อ!” เย่ชิงเฉิงตะโกนขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “สามี พ่อของข้าเป็นอะไร? เร็วเข้าท่านรีบช่วยพ่อของข้าที!”

หลิงตู้ฉิงหันกลับไปหานางและพูดว่า “หยุดพูดและนั่งลง และอย่าฟังอะไรทั้งนั้น!”

อันที่จริงถึงแม้ว่าเย่ชิงเฉิงต้องการจะฟัง นางก็คงไม่อาจฟังได้อยู่ดี เนื่องจากในตอนนี้ทั้งเย่ชิงเฉิงและหมิงยู่ต่างเห็นว่า ระยะห่างของพื้นที่ที่หลิงตู้ฉิงยืนอยู่กับพื้นที่ของพวกนางถูกยืดห่างออกจากกันจนพวกนางเห็นร่างของหลิงตู้ฉิง และผู้คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ แทนหินเป็นเพียงแค่จุดสีดำเล็ก ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะได้ยินอะไร

ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงหยิบเนื้อของสัตว์วิเศษที่ถูกย่างเสร็จเรียบร้อยจนเป็นสีทองอร่ามขึ้นมาอีกชิ้น ซึ่งหมาชราสีทองก็มองเนื้อย่างด้วยสายตาตะกละตะกราม

“ไปกับข้า!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นกับหมาชราสีทองในระหว่างที่เขายังคงถือเนื้อย่างอยู่ในมือ

หมาชราสีทองตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าไม่ใช่เขา ทำไมข้าต้องไปกับเจ้าด้วย?”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าก็คือเขา เขาก็คือข้า ดังนั้นข้าคือเจ้านายของเจ้า”

หมาชราสีทองส่ายหัวอย่างหนักแน่นและพูดว่า “เจ้าไม่ใช่เขา! วิถีที่เจ้ากำลังบ่มเพาะมันไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ข้าจะติดตามเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ตราบใดที่เขาปรากฎขึ้นอีกครั้ง ข้าจะติดตามเขาทันที!”

“วิถีก่อนหน้านั้นมันไร้ความหมาย…” หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างขมขื่น

หมาชราสีทองตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แต่ข้าคิดว่ามันน่าสนใจ!”

“สรุปแล้วเจ้าจะไม่ไปกับข้าใช่ไหม?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น

หมาชราสีทองส่ายหัวอีกครั้งเพื่อยืนยันการตัดสินใจของมันเอง

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นอย่างจนใจว่า “เอางั้นก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่ไปกับข้า งั้นเจ้าอยู่ที่นี่เพราะอะไร?”

ในตอนนี้หากหมาชราสีทองตัวนี้ไม่ยอมไปกับเขา เขาก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ส่วนเหตุผลที่เขาสามารถเข้ามาถึงจุดนี้ได้ก็เป็นเพราะหมาชราสีทองตัวนี้ยังคงจำเขาได้

ไม่เช่นนั้นต่อให้ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิ เขาก็คงไม่สามารถเข้ามาได้หากหมาชราสีทองตัวนี้ไม่ยินยอม

แน่นอนว่าถึงแม้ในตอนนี้หมาชราสีทองตัวนี้จะไม่ยอมไปกับเขา เขาเองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าในอนาคตเมื่อเขาพร้อมเมื่อไหร่ เขาก็จะมาพามันไปอยู่ดีไม่ว่ามันจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

ส่วนในตอนนี้ตราบใดที่เขาสามารถพาเย่ชางคงและคนอื่น ๆ ออกไปได้มันก็เพียงพอแล้ว

หมาชราสีทองจ้องไปที่ตาของหลิงตู้ฉิง และตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หากเป็นในอดีตเจ้าคงไม่ถามคำถามที่โง่เง่าเช่นนี้ออกมา! แต่ในเมื่อเจ้าถามขึ้น ข้าก็จะตอบให้ ที่ข้าอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าการนอนอยู่ที่นี่มันสบายกว่าที่อื่นก็แค่นั้น!”

หลิงตู้ฉิงแสดงสีหน้าเหนื่อยใจและพูดว่า “แต่เจ้ากำลังข่มมหาวิถีเต๋าของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อยู่”

หมาชราสีทองใช้อุ้งเท้าของมันดึงปลายหางของงูตัวหนึ่งที่หลบอยู่ใต้พื้นดินตรงหน้าของมันออกมา และเอามาวางพาดไว้ตรงหน้ามัน และมันก็เอาคางของมันหนุนหางของงูตัวนั้นไว้และเอ่ยขึ้นว่า “ข้านอนหลับสบายทุกครั้งที่ใช้เจ้างูน้อยตัวนี้เป็นหมอนหนุน!”

การดึงหางงูตัวนี้เบา ๆ มันกลับส่งผลให้พื้นที่ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสำนักสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เนื่องจากงูตัวนี้ก็คือมหาวิถีเต๋าของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ และในตอนนี้มันกลับถูกดึงเข้าไปในเขตแดนหมอกให้ลึกมากขึ้นไปอีก

“ข้าบอกแล้วว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี!” เย่ฉิงเสี่ยวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล “ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณอย่างมันจะไปทำอะไรได้กับเขตแดนหมอกนี้ที่แม้แต่เหล่าบรรพบุรุษยังไม่สามารถหาทางออกมาได้ แล้วตอนนี้พวกเจ้าทุกคนดูเอาเองก็แล้วกัน แม้แต่มหาวิถีเต๋าของเรายังถูกดึงเข้าไปข้างในอีกแบบนี้จะให้ทำยังไงต่อ!?”

ในตอนนี้สีหน้าของแต่ละคนต่างอยู่ในความสลด ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เสียบรรพบุรุษไปพร้อม ๆ กันถึง 3 คน แต่แล้วตอนนี้มหาวิถีเต๋าของพวกเขากลับถูกดึงเข้าไปด้านในเขตแดนหมอกเพิ่มอีก หากว่ามันถูกดึงเข้าไปข้างในจนหมด มันจะส่งผลให้บรรดาค่ายกลป้องกันและผนึกต่าง ๆ ของสำนักพวกเขาต้องหมดอำนาจลง ซึ่งมันก็หมายถึงว่าอีกไม่นานสำนักของพวกเขาคงจะต้องล่มสลาย

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันผู้หนึ่งจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวเยว่เฟิง หลงเฉิน และกลุ่มคนของหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาอาฆาตและพูดว่า “ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะพวกเจ้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าซะ!”

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันผู้นี้มีชื่อว่า หลิวไฮ่กวน ระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้อยู่ที่ชอบเขตราชันขั้นต้น และเขาคือหนึ่งในคนของเล้งเจี้ยนชิว

ในตอนแรกเขาเองก็ไม่ชอบหน้าหลิงตู้ฉิง และพรรคพวกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นในตอนนี้เมื่อมันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะลงมือ

ในขณะที่หลิวไฮ่กวนลงมือ บรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ไม่ห้ามปรามเช่นกัน เนื่องจากว่าพวกเขาเองก็กำลังอยู่ในอารมณ์โมโหและขวัญเสียและสับสนจนไม่รู้จะทำอะไรต่อดี

ส่วนทางด้านของเสี่ยวเยว่เฟิง และคนอื่น ๆ ในตอนนี้สีหน้าของพวกเขาต่างก็กลายเป็นหวาดผวาเป็นอย่างมาก หากพวกเขาถูกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันโจมตี พวกเขาคงไม่รอดแน่นอน

แต่แล้วก่อนที่หลิวไฮ่กวนจะทันได้ลงมือ เขาก็ถูกขวางเอาไว้ซะก่อนโดยมู่หลงหยาน

“ภรรยาเจ้าสำนัก ในเมื่อเรื่องราวทุกอย่างมันเป็นแบบนี้แล้วท่านยังจะปกป้องคนเหล่านี้อีกงั้นเหรอ?” หลิวไฮ่กวนถามขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล

มู่หลงหยานตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันยังคงไม่ชัดเจน! รอให้ทุกอย่างมันชัดเจนก่อนแล้วเราค่อยพูดกันใหม่เกี่ยวกับเรื่องของคนพวกนี้อีกที!”

“มันยังไม่ชัดเจนยังไงอีก? มันก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าไอ้พวกคนเหล่านี้มันยิ่งทำให้สถานการณ์ของสำนักเรายิ่งเลวร้าย!” หลิวไฮ่กวนตอบกลับอย่างไม่ยินยอม

มู่หลงหยานตะคอกกลับด้วยสีหน้าโมโห “หุบปากไปได้แล้ว! ทั้งลูกสาวของข้าและสามีต่างอยู่ข้างในหมอกนั่น ซึ่งข้าเองยังไม่ทันได้โวยวายอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำแล้วเจ้าเป็นบ้าอะไรถึงได้มาโหยหวนแถวนี้? หลิวไฮ่กวน เจ้ามีญาตที่ติดอยู่ในนั้นเหรอไง? เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้มาโวยวายแทนข้า? ตอนนี้เจ้าจงรออยู่เฉย ๆ ก่อนหน้านี้มันไม่เคยมีความเคลื่อนไหวขนาดนี้มาก่อน นี้มันอาจเป็นสัญญาณที่ดีก็เป็นได้!”

เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของมู่หลงหยานเหนือกว่าหลิวไฮ่กวนอยู่หนึ่งขอบเขตเต็ม ๆ ดังนั้นเมื่อนางโมโห หลิวไฮ่กวนจึงไม่กล้าเอ่ยตอบอะไร เขาได้แต่กระฟัดฟระเฟียดอยู่ในใจ

ส่วนทางด้านคนอื่น ๆ ก็มองไปที่มู่หลงหยานด้วยสายตาขุ่นเคืองเช่นกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากหากจะว่ากันตามจริงแล้ว มู่หลงหยานนั้นสูญเสียมากกว่าพวกเขา!