มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 687
“ระยะเวลาสี่เดือนกว่าเพิ่มระดับร่างเนื้อจากแดนมกุฎช่วงปลายจนถึงแดนมหายุทธ์ช่างปายนับว่าไม่เลว ดูท่าแล้วเจ้าหนุ่มคนนี้น่าจะได้รับโอกาสที่ไม่เลวเลย” สตรีชุดม่วงยิ้มกล่าว

เหมือนกับที่ว่าเรื่องผิดปกติจักต้องมีลับลมคมในแน่ หลัวซิวเพิ่มระดับขึ้นมาได้รวดเร็วเช่นนี้ภายในสี่เดือน มันเกินกว่าปกติไป ไม่ว่าใครได้เห็นก็รู้ว่าเขาจะต้องได้รับโอกาสที่ไม่ธรรมดาแน่ มิเช่นนั้นก็คงไม่พัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นนี้

นอกจากเจ้าแดนหลิวที่มีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยแล้ว สตรีชุดม่วงนั้นสงบมาก เพราะโอกาสนั้นเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับอัจฉริยะ มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยได้รับโอกาสมาก่อน?

หลัวซิวก้าวสู้เส้นทางอัจฉริยะโดยอาศัยภูมิหลังที่แสนธรรมดา แน่นอนว่าเป็นเพราะได้รับโอกาส

สำหรับอัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่อะไร ได้พวกเขาได้ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูฝึกฝน นี่ก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน

ดังนั้นสตรีชุดม่วงถึงคิดว่าเหล่าอัจฉริยะได้รับโอกาสนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดายิ่งนัก ทั่วทั้งจักรวาลนั้นมีอยู่หลายพิภพ โอกาสเองก็มีอยู่นับไม่ถ้วน

“จื่อเยียน หรือเจ้าคิดจะ……” เจ้าแดนหลิวขมวดคิ้วขึ้นมา

เนื่องด้วยเขาและคนผู้นั้นของตำหนักดารานภาเป็นสหายเก่า ดังนั้นจึงคิดที่จะแนะนำซิงหลิงให้กับเทวทูตจื่อเยียน จากนั้นค่อยมีเทวทูตจื่อเยียนแนะนำให้กับเบื้องบนอีกที

ทว่าตอนนี้เขากลับสังเกตเห็นว่า เหมือนเทวทูตจื่อเยียนผู้นี้จะให้ความสนใจกับหลัวซิวยิ่งกว่า

“เจ้าแดนหลิว ข้ารู้ว่าท่านอยากพูดอะไร แต่ท่านจะต้องรู้ว่า พรสวรรค์ที่แสดงออกมาเพียงช่วงเวลาหนึ่งนั้นมิอาจนับอะไร ที่สำคัญคือความพากเพียรอย่างไม่ลดละ”

จื่อเยียนยิ้มอ่อน ๆ “ซิงหลิงที่ท่านว่าผู้นั้นก็นับว่าไม่เลว สามารถรับเข้ามาสังเกตพิจารณาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ หากเขาสามารถฝึกฝนจนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ภายในร้อยปี แนะนำเขาให้กับเบื้องบน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

“แต่ข้าคิดว่าหลัวซิวผู้นี้มีศักยภาพยิ่งกว่า ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะเพิ่มระดับขึ้นมากในหอคอยร่างทอง แต่ความจริงแล้วความทุกข์ทรมานที่ตนเองทนรับนั้นมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทนรับได้ แม้ว่าความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการตระหนักรู้จะสำคัญ แต่การควบคุมตนเองของจอมยุทธ์ยิ่งมาถึงช่วงปลาย ก็ยิ่งสำคัญ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ จื่อเยียนก็ลูบขนของแมวสีดำที่อุ้มเอาไว้ กล่าว: “ยิ่งไปกว่านั้นความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการตระหนักรู้ของหลัวซิวผู้นี้ ไม่ด้อยไปกว่าซิงหลิงเลย”

“เหมียว……”

จื่อเยียนปล่อยมือ แมวที่อยู่ในอ้อมแขนก็พลันกระโดดลงไป เจ้าแดนหลิวเห็นเพียงว่าเงาร่างสีดำแวบผ่านไป เจ้าแมวดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

……

ตอนที่หลัวซิวถูกส่งตัวออกมาจากหอคอยร่างทอง สายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจต่างจับจ้องมองมาที่เขา

ในบรรดาอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคน จนถึงตอนนี้มีเพียงซิงหลิงที่ผ่านชั้นที่สามไปได้ในเมื่อสักครู่

แต่ที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือ คนที่สามารถผ่านชั้นที่สามของหอคอยร่างทองมาให้เป็นรายต่อไปไม่ใช่พวกกุ่ยโยว และหวูหยุน แต่กลับเป็นหลัวซิว?

แม้ว่าหลัวซิวจะเพียงแค่ทนอยู่ด้านในจนครบเวลาหนึ่งก้านธูปแล้วถูกส่งตัวออกมา มิได้ทำลายพื้นที่สีทองของชั้นที่สามโดยตรงอย่างซิงหลิง แต่คะแนนการต่อสู้เช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะแซงหน้าอัจฉริยะส่วนใหญ่จากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แล้ว

ในตอนที่ลู่เมิ่งเหยาได้ยินข่าวนี้ บนใบหน้าเล็ก ๆ ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง นางอยากจะรู้มากว่าหลัวซิวทำได้อย่างไรกัน เพราะช่วงเวลาสี่เดือนกว่า ๆ มานี้ นางทะลวงมาได้แค่ชั้นที่สองของหอคอยเสวียนเทียน ส่วนที่เหลืออีกสามหอคอยฝึกตนนั้นยังอยู่ในชั้นที่หนึ่งอยู่เลย

เพียงแต่ว่าตอนที่นางมาถึงที่พักของหลัวซิว หลัวซิวไม่ได้อยู่ในห้อง

“ในเมื่อแดนร่างเนื้อได้มถึงจุดคอขวด เช่นนั้นก็ลองไปที่หอคอยเสวียนเทียนดุหน่อยเถอะ”

หลังจากที่ออกมาจากหอคอยร่างทอง หลัวซิวก็มุ่งหน้าไปที่หอคอยเสวียนเทียนทันที ในครึ่งทาง เงาร่างสีดำสายหนึ่งก็ได้ร่วงลงมาจากท้องฟ้า กลายร่างเป็นสตรีผู้พราวเสน่ห์ในชุดผ้าโปร่งสีดำยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของเขา

บทที่ 686

บทที่ 688