ตอนที่ 443 เงื่อนไขสามข้อ (2)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 443 เงื่อนไขสามข้อ (2) โดย Ink Stone_Fantasy

“ทำไมตระกูลซ่งของเราถึงไม่มีลูกชายรับมือยากอย่างนี้บ้างนะ?”

เผชิญหน้ากับหลานคนนี้ของตัวเองแล้ว นอกจากซ่งเฮ่าเทียนจะร้องไห้หรือยิ้มก็ไม่ออกแล้ว ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจอีกด้วย ถึงแม้วิธีเหล่านี้ของเยี่ยเทียนออกจะถ่อมตน แต่ก็ทำให้ตัวเขาทำได้แค่เพียงอ่อนน้อมก้มหน้ายอมรับ

วิธีการของเยี่ยเทียนแม้จะดูอันธพาล แต่ก็สามารถกุมบานประตูชีวิตของซ่งเฮ่าเทียนไว้ได้ สถานภาพของเยี่ยเทียนในกลุ่มผู้มีคาถาอาคม ทำให้ซ่งเฮ่าเทียนเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างแท้จริง

บางทีอาจมีคนบอกว่า ต่อให้เยี่ยเทียนแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นแค่คนคนหนึ่ง ด้วยฐานะของซ่งเฮ่าเทียน จะตรงเข้าจับเขาคุมขังหรือจะสังหารเขาทิ้ง ล้วนเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง

แต่คนที่พูดแบบนี้ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่ไร้พ่อแม่ขาดญาติขาดมิตร แม้ว่าจะไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับเยี่ยเทียน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นหลานในไส้ของซ่งเฮ่าเทียน หากทำเรื่องนั้นลง หลังตายไปแล้วคงจะถูกก่นด่าประณามเป็นแน่

และอย่าเห็นว่าเยี่ยเทียนเป็นพวกใจกล้าบ้าบิ่น เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอกแม้จะมีความคิดสังหารคน แต่คนที่เขาจะฆ่าก็คือบอดี้การ์ดพวกนั้นที่มาข่มขู่ กลับไม่กล้าแตะต้องซ่งเฮ่าเทียนแม้แต่ปลายขน

“เยี่ยเทียน แล้วเงื่อนไขข้อที่สามของเธอคืออะไร? พูดออกมาได้เลย”

ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนชักรู้สึกเสียใจขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ถ้าหากตนเองใส่ใจหลานชายคนนี้ให้เร็วสักหน่อย ถึงแม้เขาไม่ได้ใช้นามสกุลซ่ง แต่ก็คงเป็นแขนขาช่วยเหลือตระกูลซ่งให้ก้าวหน้าได้เป็นอย่างดี

“เงื่อนไขข้อที่สามเหรอครับ?” เยี่ยเทียนพึมพำอยู่สักครู่ แต่กลับยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะพูดกับซ่งเฮ่าเทียนให้ชัดเจนเลยดีไหม

“เธอพูดมาเถอะ ขอให้เป็นเรื่องที่ฉันสามารถทำได้ ฉันจะตกลงทุกอย่าง!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีความลังเลเล็กน้อย ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ชักสงสัยขึ้นมา เจ้าหนูไม่สนกฎไม่กลัวฟ้าดินคนนี้ ยังจะมีอะไรให้คิดมากอีก?

“คนในตระกูลซ่งเคยลอบสังหารผมหลายครั้ง ถึงขั้นว่าจ้างองค์กรทหารรับจ้างให้มาตามล่าฆ่าผม คนผู้นั้น……”

เยี่ยเทียนพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง สายตามองยังซ่งเฮ่าเทียนอย่างเยือกเย็น ความหมายที่แฝงอยู่ภายในนั้นสามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก จิตสังหารนั่นต่อให้เป็นซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่อาจต้านทาน

หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ซ่งเฮ่าเทียนก็ตอบกลับเสียงดัง “ไม่……เป็นไปไม่ได้ คนตระกูลซ่งของฉันไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก!”

หากว่ากันตั้งแต่เริ่มแรก ตระกูลซ่งก็เคลื่อนไหวภายในวงการธุรกิจมาตลอด เพิ่งจะเข้าสู่วงการการเมืองได้เพียงยี่สิบปีก่อนเท่านั้นเอง

นักธุรกิจให้ความสำคัญกับมิตรภาพกลมเกลียวเพื่อความมั่งคั่ง แม้จะมีการแย่งชิงในสนามธุรกิจบ้าง แต่โดยพื้นฐานล้วนมีกฎเกณฑ์ที่ต้องทำตาม ไม่อาจไปทำร้ายฆ่าฟันกันอย่างพวกสังคมมาเฟีย

เรื่องที่เยี่ยเทียนพูดออกมานั้น เกินกว่าขอบเขตจิตใจของซ่งเฮ่าเทียน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจเชื่อว่า ตระกูลซ่งจะเสื่อมทรามลงไปถึงขั้นนั้น?

“น้องเหวินซวน ที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด เวลานั้นฉันก็อยู่ในสถานการณ์ ถ้าหากไม่มาพบฉันเข้า ชีวิตน้อย ๆ ของเยี่ยเทียนนี้จะรักษาไว้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

พอพูดถึงเรื่องนี้ โก่วซินเจียเองก็ไม่ได้ปกป้องซ่งเฮ่าเทียนอีก เขาเองก็รังเกียจการห้ำหั่นระหว่างสองตระกูลใหญ่ ตระกูลซ่งถึงขั้นใช้วิธีเช่นนี้ นับว่าไม่ไกลจากคำว่าเสื่อมทรามแล้ว

“พี่หยวนหยาง ที่……ที่พี่พูดมาเป็นเรื่องจริงเหรอ?”

ได้เห็นโก่วซินเจียพยักหน้า ซ่งเฮ่าเทียนก็ชะงักร่าง พลันหลังกลับกลายเป็นโค้งลง คล้ายแก่ชราขึ้นมาทั้งเนื้อตัวในทันควัน ขณะพูดจาริมฝีปากยังสั่นเครือเล็กน้อย

อุตส่าห์ทุ่มเทมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาตระกูลซ่งให้รุ่งเรืองก้าวหน้า ซ่งเฮ่าเทียนกลับนึกไม่ถึงว่า ทันใดเมื่อตัวเองแก่ชรา ตระกูลซ่งกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นเช่นนี้ ความพยายามตลอดครึ่งชีวิตแรกของเขา พอมองดูในปัจจุบันแล้วช่างน่าขันอะไรอย่างนี้ !

ที่เข้าสู่วงการการเมือง นั้นเป็นเพราะความต้องการทางการเมืองบางอย่าง แต่หากพูดถึงเนื้อแท้แล้ว ซ่งเฮ่าเทียนกลับพอใจจะเป็นนักธุรกิจธรรมดามากกว่า ทว่าเป้าหมายในการต่อสู้ดิ้นรนตลอดชีวิตของเขา ตอนนี้กลับล่มสลายไปจนหมดสิ้น

การโจมตีแบบนี้ ทำให้คนอย่างซ่งเฮ่าเทียนที่เห็นคลื่นพายุมาจนชินชา ถึงกับไม่อาจทนรับไหว

เมื่อเห็นสีหน้าโศกเศร้าอย่างสาหัสของซ่งเฮ่าเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็จึงรีบพูดขึ้น “น้องเหวินซวน ตระกูลซ่งนั้นกว้างใหญ่นัก จะเกิดเรื่องเสื่อมทรามสักสองสามเรื่องก็พอเข้าใจได้ น้องอย่าเศร้าโศกขนาดนี้เลย”

ซ่งเฮ่าเทียนสูดลมหายใจลึก มองยังโก่วซินเจียอย่างซาบซึ้ง พยักหน้ากล่าว “พี่หยวนหยาง ขอบคุณมาก เยี่ยเทียน คนที่เธอพูดถึงนั้นชื่ออะไรเหรอ? เรื่องนี้ฉันจะต้องจัดการให้เธออย่างแน่นอน!”

“ผมไม่ต้องการให้คุณจัดการอะไรให้ผมหรอกครับ”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า กล่าวว่า “เรื่องของตัวผม ที่ผ่านมาไม่เคยชินให้คนอื่นจัดการให้ คุณซ่ง เงื่อนไขของผมนั้นไม่ใช่ว่าขอให้คุณจัดการให้หรอก!”

“ถ้าอย่างนั้นเธอ……เธอหมายความว่ายังไงล่ะ?”

เยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างนี้ ไม่เพียงซ่งเฮ่าเทียนที่งุนงงสับสน แต่กระทั่งคนอย่างโก่วซินเจียเองก็มองมาทางเยี่ยเทียนอย่างสงสัย เขาพูดเรื่องนี้ออกมา ไม่ใช่ว่าอยากให้ซ่งเฮ่าเทียนยื่นมือเข้าไปจัดการหรือ?

“เวลาคนอื่นติดค้างผม ผมชอบไปทวงคืนด้วยตัวเอง แต่ว่าเรื่องนี้ตระกูลซ่งเป็นฝ่ายก่อขึ้น สิ่งที่ผมต้องการก็คือตระกูลเยี่ยที่อยู่ในเมืองหลวง ขออย่าได้รับผลกระทบใด ๆ จากเรื่องนี้!”

เยี่ยเทียนยิ้มกริ่ม กล่าวต่อว่า “คนอย่างผมน่ะใจแคบ ทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้น นิสัยแย่ ๆ ยังมีอีกไม่น้อย แต่ว่าในจุดนี้ ถ้าหากใครทำร้ายคนที่ผมรักล่ะก็ ผมจะตามฆ่าไปสุดหล้าฟ้าเขียว ไม่ตายไม่เลิกรา!!”

พอเยี่ยเทียนพูดคำพูดนี้ออกมา ซ่งเฮ่าเทียนก็พลันเข้าใจได้ในทันที ถึงสาเหตุที่เจ้าหนูคนนี้พูดวนในอ่างมาเสียเนิ่นนาน ที่แท้เพียงแค่ต้องการให้ตัวเขารับประกันความปลอดภัยของตระกูลเยี่ย

ถ้าหากคนอื่นใช้น้ำเสียงอย่างจะฆ่าแกงกันแบบนี้คุยกับเขา ซ่งเฮ่าเทียนคงจะหัวเราะเยาะใส่แน่นอน ด้วยรู้สึกว่าเด็กคนนั้นยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าพอออกมาจากปากเยี่ยเทียนแล้ว เขาจะต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ

เพราะว่าถ้าหากซ่งเฮ่าเทียนตกปากรับคำกับเยี่ยเทียนแล้ว เขาจะต้องทำตามนั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นหากคนในตระกูลเยี่ยเกิดได้รับบาดเจ็บอะไรขึ้นมา เจ้าเด็กเกเรคนนี้ จะต้องมาคิดบัญชีกับตระกูลซ่งอย่างแน่นอน

“ตกลง ฉันให้สัญญากับเธอ ว่าฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อช่วยคุ้มครองความปลอดภัยของคนตระกูลเยี่ยที่อยู่ในเมืองปักกิ่ง!”

หลังจากพึมพำอยู่สักครู่ ซ่งเฮ่าเทียนก็พยักหน้ารับคำในท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะถอนตัวออกจากตำแหน่งผู้นำแล้ว แต่จะให้จัดหาคนไปคอยดูแลตระกูลเยี่ยอย่างลับ ๆ นับว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร

เพียงแต่ว่าหลังจากรับคำเงื่อนไขนี้กับเยี่ยเทียนแล้ว ภายในใจซ่งเฮ่าเทียนเกิดความรู้สึกจะร้องไห้ก็ไม่ได้หรือหัวเราะก็ไม่ออกขึ้นมา

สาเหตุเป็นเพราะเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ทั้งสองตระกูลเยี่ยและซ่งเคียดแค้นเป็นปฏิปักษ์กัน ทว่าในปัจจุบันตัวเองกลับต้องคิดหาหนทางคุ้มกันคนตระกูลเยี่ย เรื่องราวบนโลกยากจะคาดเดา  ทั้งหมดก็เพียงเท่านี้

“ดี งั้นในเมื่อคุณซ่งรับคำแล้ว ความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่ง ก็ขอให้จบลงที่ตรงนี้!”

โดยไม่พูดถึงเรื่องของคุณแม่ ซ่งเฮ่าเทียนสามารถยอมรับข้อเรียกร้องทั้งสามข้อนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่เพียงพอแล้ว ถึงแม้ความขุ่นเคืองในใจของเยี่ยเทียนยังไม่สลายไป แต่เขาก็ยังยกชามเหล้าขึ้น ชูแล้วโบกไปมาต่อซ่งเฮ่าเทียน กล่าวว่า “วันนี้ผู้น้อยทำตัวโอหังอย่างมาก หวังว่าท่านผู้ใหญ่จะใจกว้าง ไม่ถือสาเอาความกับผมหรอกนะ?”

เกี้ยวงามต้องใช้คนหาม เยี่ยเทียนแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อตระกูลซ่งไปแล้ว ถ้าหากยังทำตัวก้าวร้าวไม่เลิก จะยิ่งเป็นการเกินเลย

แม้ว่าเยี่ยเทียนไม่มีความตั้งใจจะนับญาติกับคุณตาคนนี้ แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นผู้สูงวัยอายุถึงเจ็ดแปดสิบปี จะยังไงก็ต้องยอมถอยให้อีกฝ่าย จึงจะเป็นวิถีแห่งการครองตน

“ฉัน…ฉันถือสาเธองั้นเหรอ?”

ซ่งเฮ่าเทียนถูกเจ้าหนูเกเรคนนี้ยั่วโมโหจนจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก เยี่ยเทียนทำเหมือนเขาเป็นเด็กสามขวบเท่านั้นหรือไง? ถึงได้ตบหัวแล้วมาลูบหลังกัน?

“เอาน่า น้องเหวินซวน ฟังคำพี่หน่อย นายเองก็เป็นไม้แก่ใกล้จะลงโลงแล้ว จะไปใส่ใจเรื่องวงศ์ตระกูลให้มากมายขนาดนั้นไปทำไมกัน?”

เมื่อเห็นว่าสุดท้ายเยี่ยเทียนเจรจากับสหายเก่าได้สำเร็จ โก่วซินเจียเองก็โล่งใจเช่นกัน ดึงตัวซ่งเฮ่าเทียนมาพูด “มาๆ เล่าเรื่องอดีตที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ให้พี่ฟังเถอะ!”

“ได้ งั้นเดี๋ยวพี่ก็ต้องเล่าเหมือนกัน ว่าแขนข้างนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” พอจัดการเรื่องขุ่นเคืองในใจของเยี่ยเทียนได้บ้างแล้ว  จิตใจของซ่งเฮ่าเทียนก็เป็นสุขขึ้นมากเช่นกัน จึงยกชามเหล้าขึ้นดื่มกับโก่วซินเจีย

ทว่าเวลานั้นเยี่ยเทียนกลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย ในขณะที่กำลังคิดว่าจะกลับเรือนด้านหลังอยู่นั้น ภายในเรือนกลางกลับมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี

“ศิษย์พี่ พวกพี่เชิญดื่มไปก่อนนะ ผมจะไปรับโทรศัพท์!” เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องด้านข้าง ตรงกลางลานนี้มีพลังวิญญาณแผ่ซ่านไปทั่ว จึงโทรเข้าโทรศัพท์มือถือไม่ติด และคนที่สามารถโทรเข้าโทรศัพท์บ้านได้ ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยี่ยเทียน

“เยี่ยเทียน เจ้าเด็กบ้านี่ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีกแล้ว? ทำไมบ้านถึงมีคนล้อมเอาไว้จนทั่วล่ะ พ่อ…พ่อจะเข้าบ้านยังเข้าไม่ได้เลย?”

พอยกสายโทรศัพท์ขึ้น ก็มีเสียงหงุดหงิดของเยี่ยตงผิงดังมาจากข้างใน เจอสถานการณ์ที่แม้บ้านตัวเองยังเข้าไม่ได้อย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องโมโหเดือดดาลทั้งนั้น

“แหะ ๆ พ่อ อย่ากังวลไปเลย ผมจะไปรับพ่อเดี๋ยวนี้แหละ!” หลังจากได้ยินเสียงของพ่อแล้ว เยี่ยเทียนก็วางสายโทรศัพท์แล้วเดินออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูทางเข้าเรือนสี่ประสานก็ต้องหยุดฝีเท้าลง

หลังจากที่เยี่ยเทียนเสนอเงื่อนไขไปแล้ว เห็นซ่งเฮ่าเทียนตกปากรับคำด้วยความยินดี เขาเองก็รับปากว่าจะช่วยพ่อสะสางความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยและซ่งทั้งสองตระกูล

แต่ว่ามาตอนนี้เยี่ยเทียนถึงนึกได้ว่า อย่างไรตัวเองก็ไม่ใช่หัวหน้าตระกูลเยี่ย ถ้าหากพ่อไม่เห็นดีเห็นงามด้วยล่ะก็ เรื่องนี้จะจัดการยังไงดีล่ะ?

“เอาเถอะ จะไปใส่ใจให้มากขนาดนั้นทำไม ถ้าพ่อไม่พอใจก็ให้เขาไปคุยกับตาแก่ซ่งเอาเอง!” คิดๆ หาทางออกที่ดีไม่ได้ เยี่ยเทียนก็ไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ตรงไปเปิดประตูข้างของเรือนสี่ประสาน

เยี่ยตงผิงกำลังยืนถกเถียงอยู่กับฝูเจิ้งหมิง เห็นลูกชายออกมาก็รีบร้องเรียก “เยี่ยเทียน นี่มันเกิดอะไรขึ้นเรอะ?”

“คนนั้นคือพ่อผมเอง ให้เขาเข้ามาเถอะ!”

เยี่ยเทียนมองฝูเจิ้งหมิงอย่างเคืองๆ จนคนเหล่านั้นตกใจร้อนรนถอยห่างออกไปหลายก้าว ภาษิตว่าผู้กล้าย่อมรู้จักหลบหลีก หากทำกล้าสู้กันตัวต่อตัวกับคนที่เป็นหัวหน้า ถึงจะเอาชนะได้ก็ยังสูญเปล่า

“พ่อ ช่วงนี้ยุ่งเรื่องอะไรอยู่เหรอ? ทำไมถึงเพิ่งมาล่ะ?”

นับตั้งแต่เยี่ยเทียนกลับมาเมืองหลวง เยี่ยตงผิงเพิ่งจะปรากฎตัวให้พบหน้าเป็นวันแรก ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาวุ่นวายกับอะไรอยู่ ครั้งนี้โผล่มาหาในวันที่อากาศหนาวเหน็บ ในใจเยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าค่อนข้างแปลก

หลังจากดึงตัวเยี่ยตงผิงเข้ามาในบ้านแล้ว เยี่ยเทียนก็มองดูสีหน้าของพ่อ พลันขมวดคิ้วขึ้นมา เอ่ยปากถามว่า “พ่อ พ่อไปเจอเรื่องอะไรมา? ผมเห็นสีหน้าพ่อดูไม่ค่อยปกตินะ”

เยี่ยตงผิงหัวเราะแห้ง ๆ “ไปเจอเรื่องมาน่ะ ครั้งนี้มีปัญหาไม่น้อยเลย จึงมาหาอยากจะปรึกษาแกหน่อยได้ไหม?”

“เดี๋ยวก่อนนะพ่อ”

เยี่ยเทียนโบกมือตัดบทพ่อ กล่าวว่า “ในบ้านก็ยังมีปัญหาใหญ่กว่าอยู่ รอจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วค่อยพูดเถอะนะ”

 ……