หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเย่ชิงเฟิงเย่เทียนสุ่ยก็ได้แต่บ่นพึมพำ “เหตุใดจึงต้องเป็นข้าด้วยเล่า”
เย่ชิงเฟิงยิ้มและตอบกลับไปว่า“ในบรรดาคนตระกูลเย่ มีเจ้าเพียงคนเดียวที่หลิงหยุนดูจะเป็นมิตรที่สุด หากเจ้าไม่ไป แล้วจะให้ผู้ใดไปอีกเล่า”
“ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ…”
เย่เทียนสุ่ยเหลือบมองไปยังก้อนหินที่อยู่ในสวนพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เทียนสุ่ย.. หลิงหยุนเสมือนหินที่จะมาช่วยลับคมกระบี่ให้กับเจ้า”
“ความหมายก็คือ..หากเจ้าต้องการที่จะกลั่นกระบี่ให้สำเร็จขั้นใหญ่ เจ้าควรจะต้องไปมาหาสู่กับหลิงหยุนไว้”
เพียงแค่คำพูดของเย่ชิงเฟิงก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้วว่า เขานั้นเหนือกว่าเฉินจิ้งเฉวียนทั้งทางด้านของจิตวิทยา และความรอบรู้..
และด้วยเหตุนี้..เย่เทียนสุ่ยจึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูบ้านตระกูลหลิง!
….
“หึ..เจ้าไม่ต้องมาข่มขู่ข้า! ข้าไม่ได้มีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเที่ยวเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูบ้านคนอื่น”
เย่เทียนสุ่ยตอบโต้หลิงหยุนกลับไปทันทีพร้อมกับพูดต่ออย่างมั่นอกมั่นใจ.. “อ่อ.. ข้าไม่ได้โอ้อวดนะ เมื่อใดที่ข้ากลั่นกระบี่สำเร็จแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้ข้าเดินเคียงคู่ไปกับเจ้า ก็คงจะดูไม่แตกต่างนัก..”
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังเขาก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปตบท้องใหญ่กลมของเย่เทียนสุ่ยเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้าเช่นนั้นก็รอให้เจ้ากลั่นกระบี่เสร็จเสียก่อนสารรูปของเจ้าเช่นนี้ ใครจะกล้าเดินกับเจ้า!”
“ดูท่าเจ้าจะชื่นชอบการล้อเลียนข้ามากสินะ!”
เมื่อเห็นว่าตนเองไม่สามารถตอบโต้หลิงหยุนได้เย่เทียนสุ่ยจึงรีบกลับเข้าประเด็นทันที “ตกลงเจ้าจะรับบัตรวีไอพีนี่ไว้หรือไม่”
“รับสิ!เหตุใดต้องไม่รับด้วยเล่า!”
หลิงหยุนเอื้อมไปคว้าบัตรเชิญมาจากมือของเย่เทียนสุ่ยทันทีจากนั้นจึงตบบ่าของเย่เทียนสุ่ยพร้อมกับถามไปว่า
“หากไม่มีบัตรเชิญนี่จะไม่สามารถเข้าร่วมงานประมูลได้งั้นรึ!”
ความจริงหลิงหยุนก็ได้ศึกษากฏระเบียบการเข้าร่วมประมูลมาก่อนแล้วหากผู้ใดสามารถวางเงินมัดจำหนึ่งร้อยล้าน ก็สามารถเข้าร่วมประมูลได้เช่นกัน..
แต่เดิมหลิงหยุนยังคิดว่าจะปลอมตัวเข้าไปร่วมงานประมูลแต่ในเมื่อเย่เทียนสุ่ยนำบัตรเชิญมาให้ถึงที่บ้าน ก็คงไม่จำเป็นแล้ว.. เย่เทียนสุ่ยตอบกลับไปทันที“ตราบใดที่คนผู้นั้นสามารถวางเงินมัดจำตามที่โรงประมูลกำหนดก็สามารถเข้าได้ เพียงแต่จะไม่ใช่แขกวีไอพีเท่านั้นเอง ตำแหน่งที่นั่ง และบริการต่างๆจึงจะไม่ดีเท่ากับผู้ที่ถือบัตรวีไอพี..”
“อ่อ..เข้าใจแล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาและถามต่อทันที “แล้วมีบัตรเชิญนี่ ข้าจะพาคนติดตามไปได้กี่คนงั้นรึ”
“ก็น่าจะราวสี่ถึงห้าคนเพราะหากมากกว่านี้ ก็ไม่น่าจะสามารถเข้าไปในช่องที่จัดเตรียมไว้ให้ได้หมด..”
เย่เทียนสุ่ยอธิบายให้หลิงหยุนฟังด้วยความอดทน..
หลิงหยุนพยักหน้าและถามกลับไปว่า “แล้วคืนนี้่จะมีการประมูลสิ่งใดบ้าง เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่?!”
“ข้าบอกไม่ได้..” เย่เทียนสุ่ยส่ายหน้า“แต่ใช่ว่าข้าจะไม่อยากบอก เพียงแต่ข้าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นักจึงไม่รู้ ไว้เจ้าไปถึงที่นั่นเจ้าก็จะรู้เองล่ะ..”
ในที่สุดเย่เทียนสุ่ยก็จ้องหน้าหลิงหยุนอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะถามขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เจ้าไม่ได้ตั้งใจที่จะไปหาเรื่องตระกูลเย่ของข้าที่โรงประมูลใช่หรือไม่”
“นี่..เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกไปพร้อมกับยิ้มให้เย่เทียนสุ่ยก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าตั้งใจจะไปเปิดหูเปิดตาโรงประมูลที่ตระกูลเย่ของเจ้าจัดขึ้นเท่านั้นเอง!”
หลิงหยุนตอบกลับไปให้เย่เทียนสุ่ยสบายใจและจุดมุ่งหมายในคืนนี้ของเขาก็ค่อนข้างชัดเจน เขาต้องการไปประมูลผ้าแพรไหมดำ..
หลังจากนั้นหลิงหยุนจึงถอยหลังกลับพร้อมกับพยักพเยิดหน้าส่งสัญญาณให้เย่เทียนสุ่ยกลับไปได้แล้ว.. “เอ่อ..”
เย่เทียนสุ่ยอ้ำอึ้ง..เพราะความจริงนั้นเย่ชิงเฟิงได้กำชับไว้ว่า หลังจากที่ส่งบัตรเชิญให้กับหลิงหยุนแล้ว ให้เขารอไปที่โรงประมูลพร้อมหลิงหยุน และให้อยู่กับหลิงหยุนจนกระทั่งเสร็จสิ้นการประมูล
ไม่เช่นนั้นแล้ว..เพียงแค่ส่งบัตรเชิญให้หลิงหยุน เหตุใดเย่เทียนสุ่ยจึงต้องมาด้วยตัวเองเล่า!
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกงั้นรึ!”
เมื่อเห็นท่าทางอ้ำอึ้งของเย่เทียนสุ่ยหลิงหยุนจึงได้ร้องถามออกไป..
“เอ่อ..หลิงหยุน ความจริงที่ข้านำบัตรเชิญมาให้เจ้าถึงที่นี่ด้วยตัวเอง ก็เพราะตั้งใจจะมาชวนเจ้าไปกินอาหารด้วยกันก่อน แล้วค่อยไปที่โรงประมูลพร้อมกัน..”
“ขอบใจสำหรับความตั้งใจดีของเจ้า!แต่ไม่จำเป็นเพราะข้าไม่สะดวก..”
หลิงหยุนตอบกลับไปพร้อมกับโบกมือไล่เย่เทียนสุ่ย “เอาล่ะ.. เจ้ากลับไปได้แล้ว!”
‘หึ..คิดว่าข้าดูไม่ออกงั้นรึ ว่าพวกเจ้าต้องการที่จะตามประกบข้า เพื่อจะได้รู้ว่าข้ามีสมบัติล้ำค่าอะไรบ้าง!’ หลิงหยุนนึกหยันอยู่ในใจ..
เย่เทียนสุ่ยรีบหันหลังเดินกลับไปทันทีและได้แต่คิดในใจว่าหลิงหยุนน่ะหรือคือที่ลับคมกระบี่ของตน เวลานี้เขาแทบไม่อยากจะทนอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว..
หลังจากที่เย่เทียนสุ่ยกลับไปหลิงหยุนก็หันหลังกลับเข้าบ้านเช่นกัน เขาเดินตรงไปหาตี้เสี่ยวอู๋กับโม่วู๋เตาเพื่อปรึกษาหารือกัน จากนั้นจึงโทรหาเสี่ยวเม่ยเม่ย และจัดการโอนเงินจำนวนห้าร้อยล้านหยวนเพื่อให้นางดำเนินการตามแผน..
……
ในบัตรเชิญวีไอพีนั้นระบุชัดเจนว่าการประมูลจะเริ่มขึ้นในเวลาสองทุ่มตรงและหลังจากบอกกล่าวหลิงลี่แล้ว หลิงหยุน ตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตาก็พากันขับรถ Mercedes-Benzเจ็ดที่นั่งออกจากบ้านตระกูลหลิงมุ่งหน้าไปรับฉินตงเฉี่วยทันที..
บ้านของฉินตงเฉี่วยนั้นอยู่ห่างจากบ้านตระกูลหลิงไปราวหกกิโลเมตรซึ่งนับว่าไม่ไกลนัก และสภาพการจราจรก็คล่องตัว ทั้งหมดจึงไปถึงบ้านของฉินตงเฉี่วยในเวลาไม่นานนัก..
คืนนี้ฉินตงเฉี่วยแต่งกายในแบบทันสมัยนางสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว และกางเกงยีนส์รัดรูปสีน้ำเงินเข้ม ใส่รองเท้าส้นสูงพร้อมกับแต่งหน้าบางๆ และปล่อยผมยาวสลวย ส่วนกางเกงยีนส์รัดรูปนั้น ก็เน้นให้เห็นช่วงขาที่เรียวยาวของนาง ดูรวมๆแล้วสวยงามราวกับดาราในวงการบันเทิงเลยทีเดียว..
และเวลานี้ฉินตงเฉี่วยก็ได้ออกมายืนรอหลิงหยุนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว..
“น้าหญิง..วันนี้ท่านงดงามมากทีเดียว!”
ทันทีที่ลงจากรถหลิงหยุนก็รีบตรงเข้าไปหาฉินตงเฉี่วยทันที พร้อมกับเอ่ยชมด้วยความรู้สึกทึ่ง..
ฉินตงเฉี่วยตั้งใจไว้ว่าจะต้องอบรมสั่งสอนหลิงหยุนทันทีที่พบหน้าแต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อได้ฟังคำชมของหลิงหยุน นางก็มีความสุขจนลืมเรื่องทั้งหมดไปเสียสิ้น..
ฉินตงเฉี่วยถึงกับหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดขึ้นว่า “หึ.. เห็นแก่ปากหวานๆของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้!”
“ขอบคุณน้าหญิง!”หลิงหยุนรีบเอ่ยขอบคุณทันที
“แต่..ข้าจะเก็บบัญชีนี้ไว้จัดการพร้อมกับความผิดของเจ้าครั้งหน้าแทน!” ฉินตงเฉี่วยทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจนัก
“น้าหญิง..รับรองได้ว่าจะไม่มีครั้งหน้าเป็นแน่!” หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับยืนยันอย่างมั่นใจ
เวลานี้ชื่อเสียงของตระกูลหลิงได้แพร่สะพรัดไปทั่วแล้วและอย่างน้อยเวลานี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาสร้างปัญหาให้กับตระกูลหลิงอีกเป็นแน่ แม้แต่ตระกูลหลงก็ตามที หลิงหยุนจึงค่อนข้างสบายอกสบายใจขึ้นมาก..
และอย่างน้อยก่อนที่จะถึงงานชุมนุมชาวยุทธอันใกล้นี้เขาก็จะได้มีเวลาว่างสำหรับฝึกวิชา และทำสิ่งต่างๆ
“เอาล่ะๆรีบๆขึ้นรถไปก่อนจะดีกว่า เห็นคนพวกนี้แล้วข้ารำคาญใจยิ่งนัก!”
ฉินตงเฉี่วยมายืนรอหลิงหยุนอยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านเช่นนี้ความสวยของนางจึงดึงดูดสายตาของผู้ชายที่อยู่ในบริเวณนั้น และทุกคนต่างก็พากันจ้องมองไม่ละสายตา..
“เสี่ยวอู๋..มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ส่วนเส้นทางก็ให้นักพรตน้อยบอกก็แล้วกัน!”
จากนั้น..ทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปรับเย่ซิงเฉินเป็นคนต่อไป
….
“หลิงหยุน..ในเมื่อเจ้าเองก็รู้ดีว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังหน่วยนภาเมื่อคืนนี้ก็คือตระกูลหลง เจ้าเองก็ต้องคอยระมัดระวังตระกูลหลงไว้ให้มาก..”
ทันทีที่ขึ้นรถ..ฉินตงเฉี่วยก็เอ่ยเตือนหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วง
“ขอบคุณน้าหญิง..ข้าจะระมัดระวังตัวให้ดี!”
“ข้าเองก็พอรู้มาว่าตระกูลหลงนั้นจ้องจะเล่นงานข้าด้วยสาเหตุใด”
หลิงหยุนตอบกลับไปพร้อมกับเล่าสาเหตุทั้งหมดให้ฉินตงเฉี่วยฟัง ฉินตงเฉี่วยถึงกับพึมพำออกมา
“มิน่า..ตระกูลหลงจึงได้จ้องเล่นงานเจ้าเช่นนี้!”
“นี่เจ้าไม่รู้บ้างเลยรึว่าปราณมังกรนั้นสำคัญกับตระกูลหลิงมากเพียงใด!”
ผู้มีอำนาจและตระกูลใหญ่ทั่วประเทศจีน ต่างก็รู้ดีว่าวิชาประจำตระกูลหลงก็คือวิชามังกรจักรพรรดิ อีกทั้งตระกูลหลงยังเสาะหาทั้งมังกรจริงๆที่ยังมีชีวิต และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมังกร ไม่ว่าจะเป็นกระดูกมังกร โลหิตมังกร น้ำลายมังกร และอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับมังกร เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมีปราณมังกรที่เป็นประโยชน์ต่อสายเลือดตระกูลหลง..
ตระกูลหลงสามารถเสาะหามังกรจริงๆที่ยังมีชีวิตได้หรือไม่นั้นคนนอกไม่อาจรู้ได้ แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าตระกูลหลงนั้นทำหน้าที่ปกป้องพระราชวังต้องห้ามมาหลายร้อยปี สถานที่แห่งนี้จึงเป็นเสมือนสมบัติตระกูลหลง หากผู้ใดกล้าคิดจะแย่งชิง ย่อมเท่ากับตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลหลง และแน่นอนว่าตระกูลหลงจะไม่ยอมปล่อยไว้เป็นแน่!
แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนเล่าให้ฉินตงเฉี่วยฟังว่าเขาดูดซับเอาปราณมังกรภายในพระราชวังต้องห้ามเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะหากเขาเล่าว่าตนเองได้ดูดซับเอาปราณมังกรทั้งหมดเข้าไป ฉินตงเฉี่วยจะยิ่งตกใจไปมากกว่านี้..
ฉินตงเฉี่วยได้แต่ย้ำเตือนหลิงหยุนด้วยความห่วงใยอีกครั้ง“หลิงหยุน.. ตระกูลหลงต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
หลิงหยุนเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของฉินตงเฉี่วยก็ได้แต่นึกซาบซึ้งอยู่ในใจ แต่ก็ตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง
“ข้าเองก็จะไม่ปล่อยตระกูลหลงไว้เช่นกัน!”
ฉินตงเฉี่วยจ้องมองใบหน้าและแววตาที่มุ่งมั่นของหลิงหยุน ก็ได้แต่คิดในใจว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดการต่อสู้ระหว่างหลิงหยุนกับตระกูลหลงขึ้นเป็นแน่!
‘หากเวลานั้นมาถึงจริง..ข้าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าเอง!’
ฉินตงเฉี่วยได้แต่คิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆและเลือกที่จะไม่ถามหลิงหยุนถึงเรื่องนี้อีก..
รถMercedez-Benz คันยาวแล่นออกจากถนนวงแหวนที่หก มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่นั่นมีหุบเขาเล็กๆ ที่เย่ซิงเฉินใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว.. ‘ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก!’
ทันทีที่ฉินตงเฉีวยก้าวลงจากรถและได้เห็นใบหน้าที่งดงามน่าหลงใหลของเย่ซิงเฉิน นางถึงกับแอบรำพึงรำพันอยู่ในใจ เพราะเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ได้พบกันตอนไปช่วยหลิงเสี่ยวนั้น เย่ซิงเฉินได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าตนเองไว้
ความงดงามของฉินตงเฉี่วยนั้นนับว่าเป็นรองเพียงแค่ไป๋เซียนเอ๋อกับหนิงหลิงยู่เท่านั้น แต่เวลานี้กลับมีหญิงงามน่าหลงใหลเพิ่มขึ้นมาในชีวิตของหลิงหยุนอีกหนึ่งคน ฉินตงเฉี่วยถึงกับแอบถอนหายใจ แต่ก็สามารถกลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
ฉินตงเฉี่วยเดินตรงเข้าไปหาเย่ซิงเฉินพร้อมกับเอ่ยชมจากใจจริง“แม่นางเย่.. พวกเราสองคนได้พบกันอีกครั้งแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะงดงามถึงเพียงนี้!”
เย่ซิงเฉินยังคงอยู่ในชุดสีดำปกปิดเรือนร่างทุกส่วนเช่นเคยแต่เวลานี้นางกำลังครุ่นคิดว่าจะต้องเรียกฉินตงเฉี่วยด้วยสรรพนามใดจึงจะเหมาะสม!
‘แม่นางฉินหรือพี่ฉิน? หรือจะเรียกนางว่าน้าหญิงตามหลิงหยุน?’
หากตัดหลิงหยุนออกไป..ในยุทธภพนั้นฐานะของเย่ซิงเฉินจึงนับว่าเหนือกว่าฉินตงเฉี่วย เพราะนางเป็นถึงธิดาพรรคมารที่ยิ่งใหญ่กว่าคุณหนูของตระกูลฉินมากนัก
ในระหว่างที่เย่ซิงเฉินกำลังลังเลอยู่นั้นหลิงหยุนก็เดินลงมาจากรถพอดี พร้อมกับร้องบอกไปว่า
“เจ้าเรียกน้าหญิงของข้าว่า..”
“เรียกข้าว่าพี่สาวก็ได้!”
ฉินตงเฉี่วยร้องตะโกนแทรกขึ้นมาทันทีทำให้หลิงหยุนต้องกลืนคำว่า ‘น้าหญิง’ กลับลงลำคอไป..
เย่ซิงเฉินจึงรีบเดินตรงไปหาฉินตงเฉี่วยพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนของนางไว้แล้วรีบเอ่ยทักทายกลับไปทันที
“ท่านพี่ฉิน..ท่านเองก็งดงามราวกับเทพธิดา!”
หลิงหยุนถึงกับทำหน้าไม่ถูกเพราะหากเย่ซิงเฉินเรียกฉินตงเฉี่วยว่าพี่ ฐานะของเขาไม่เท่ากับต่ำกว่าเย่ซิงเฉินหรอกหรือ!
ฉินตงเฉี่วยรีบร้องบอกเย่ซิงเฉินอีกครั้ง“ซิงเฉิน.. เจ้ากับข้าล้วนเป็นชาวยุทธ เรียกข้าว่าพี่ก็พอแล้ว ไม่ต้องพิธีรีตรองมากนัก!”
“ถ้าเช่นนั้น..ขอเชิญพี่ฉินเข้าไปดื่มชาที่ข้าเตรียมไว้ให้ก่อน พวกเราพักสักครู่แล้วค่อยไปโรงประมูล”
“อืมม..ก็ดีเหมือนกัน!”
จากนั้นหญิงสาวทั้งสองคนก็ได้เดินจูงมือกันเข้าไปในบ้านไม้หลังเล็กโดยไม่สนใจหลิงหยุนอีกพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานานหลายปี
โม่วู๋เตากับตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็ขอตัวออกไปเดินเล่นทิ้งให้หลิงหยุนยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่หน้าบ้านคนเดียว.. ภายในบ้านไม้หลังเล็ก..
“อืมม..ชาชั้นเลิศ!”
ฉินตงเฉี่วยสูดดมกลิ่นหอมของชาพร้อมกับเอ่ยชมก่อนจะยกขึ้นจิบจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิงเฉิน และพูดขึ้นว่า
“น้องซิงเฉิน..หากพวกเราสองคนพบกันก่อนหน้านี้สักครึ่งปี ไม่แน่ว่าพวกเราทั้งคู่อาจจะต้องเข่นฆ่ากันจนตายไปข้างก็เป็นได้ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้กลับสามารถมานั่งจิบชาร่วมกันเช่นนี้..”
“โลกมนุษย์ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนจริงๆ!”
เย่ซิงเฉินพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะถามกลับไปว่า “ท่านพี่ฉิน.. หากท่านพบกับศิษย์สำนักดาบสวรรค์ในงานชุมนุมชาวยุทธ ท่านจะทำเช่นใด”
และคำถามของเย่ซิงเฉินก็ได้บ่งบอกว่านางรู้เรื่องที่ฉินตงเฉี่วยถูกขับไล่ออกจากสำนักแล้ว! “น้องซิงเฉิน..ข้าเองก็ยังตอบไม่ได้ ต้องดูเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่จะเกิดขึ้นในวันนั้น!”
ฉินตงเฉี่วยเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นปรปักษ์กับสำนักของตนเองอย่างน้อยนางก็นึกถึงสิ่งดีๆตลอดยี่สิบปีที่ได้รับมา
เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับท่านพี่ฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็คงต้องคิดการไว้ล่วงหน้า ท่านเองก็รู้ว่าสำนักดาบสวรรค์นั้นอยู่ในการดูแลของสำนักกระบี่เทียนซานอีกที”
“และเท่าที่ข้ารู้มาเวลานี้แม่ของหนิงหลิงยู่ก็ถูกจับตัวไว้ที่สำนักกระบี่เทียนซานเช่นกัน..”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที!