เย่ซิงเฉินเหลือบมองฉินตงเฉี่วยที่นั่งนิ่งไม่ขยับแล้วจึงพูดต่อว่า “ท่านพี่ฉิน.. มีบางคำพูดที่หลิงหยุนอาจไม่สะดวกที่จะพูดกับท่านตรงๆ แต่ช่วงเวลาสองสามวันที่เขามาพักอาศัยอยู่ที่นี่ เขาได้ขอให้ข้าช่วยสืบข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักกระบี่เทียนซาน และได้บอกกับข้าว่าหลังสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธ เขาจะไปช่วยแม่ของเขาออกมาจากสำนักกระบี่เทียนซาน..”
ระหว่างที่พูดนั้นเย่ซิงเฉินได้เหลือบมองไปทางหลิงหยุนที่ยังคงยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่นอกบ้าน นางยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพูดกับฉินตงเฉี่วยต่อ
“และเรื่องของหลิงหยุนก็ย่อมเสมือนเรื่องของข้าด้วยในเมื่อเขาจะไปสำนักกระบี่เทียนซาน ข้าก็ต้องไปกับเขาด้วยเช่นกัน และที่ข้าต้องบอกเรื่องนี้กับท่านพี่ฉินในวันนี้ ก็เพื่อให้ท่านได้มีเวลาตัดสินใจ..” “ท่านพี่ฉิน..ท่านอาจารย์เป็นผู้เลี้ยงดูข้ามาแต่เล็กจนโต คำพูดคำจาของข้าจึงตรงไปตรงมาไม่มีการขัดเกลาให้ไพเราะ หากคำพูดของข้าทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ ขอท่านพี่ฉินอย่าได้ถือสา..”
ระหว่างที่นั่งฟังเย่ซิงเฉินพูดนั้นฉินตงเฉี่วยก็ได้แต่มองท่าทีสงบนิ่งของนาง และได้แต่คิดว่าในบรรดาสาวงามรอบตัวหลิงหยุนนั้น ไม่มีผู้ใดเก่งเกินเย่ซิงเฉินอีกแล้ว..
ฉินตงเฉี่วยไม่อาจรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเย่ซิงเฉินกับหลิงหยุนนั้นพัฒนาไปถึงขั้นใดแล้ว แต่จากที่ฉินตงเฉี่วยสังเกตเห็น ท่าทีของอีกฝ่ายที่มีต่อหลิงหยุนนั้น ไม่ต่างจากภรรยาที่คอยเป็นห่วงเป็นใยสามี..
อีกทั้งคำพูดคำจาของนางก็ตรงไปตรงมาไร้ซึ่งมารยาเปิดเผย และแหลมคม..
‘อืมม..นับเป็นหญิงสาวที่หาได้ยากนัก!’
หลิงหยุนที่ยังคงยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กาอยู่นอกบ้านได้แต่แอบชื่นชมอยู่ในใจพร้อมกับคิดว่า ภรรยาเช่นนางเย่ซิงเฉินนั้น ใช่ว่าจะสามารถพบเจอได้ง่ายๆ
ฉินตงเฉี่วยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “น้องซิงเฉิน.. นี่เจ้ากำลังให้ข้าเลือกระหว่างสำนักที่ถ่ายทอดวิชาให้ข้า กับพี่สาวของตนเองเช่นนี้ เจ้าว่าข้าควรตัดสินใจเช่นใดดี”
เย่ซิงเฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบไม่ตอบและไม่ตอบคำถาม จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กับฉินตงเฉี่วยพร้อมกระซิบเสียงเบา “ท่านพี่ฉิน.. ดื่มชาดีกว่า!”
ฉินตงเฉี่วยพยักหน้าแล้วจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบ หลังจากวางถ้วยชาเปล่าลงบนโต๊ะแล้ว นางจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“อย่าว่าแต่ตอนนี้ข้าเองก็ได้ถูกขับไล่ออกจากสำนักหมอสวรรค์แล้วต่อให้ข้าต้องกลายเป็นศิษย์ทรยศของสำนัก ข้าก็ยินดี..”
หญิงสาวทั้งสองมองตากันพร้อมกับยิ้มออกมาและพูดออกไปพร้อมกันว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกัน!” ระหว่างนั้นหลิงหยุนที่แสร้งทำเป็นยืนนิ่งอยู่นอกบ้านก็ได้แต่นึกชื่นชมความเฉลียวฉลาดของเย่ซิงเฉินอยู่ในใจ..
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ซิงเฉินได้สนทนากับฉินตงเฉี่วยแต่กลับสามารถเข้าใจความสับสนในจิตใจของนางได้อย่างถ่องแท้ และสามารถใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำดึงฉินตงเฉี่วยให้เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ได้..
แม้หลิงหยุนจะมีหญิงสาวรายล้อมรอบตัวแต่ยังไม่มีผู้ใดที่เก่งกาจ และเฉลียวฉลาดดังเช่นเย่ซิงเฉินเลย..
ฉินตงเฉี่วยยิ้มให้กับเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า“น้องซิงเฉิน.. อีกราวสิบวันก็จะถึงงานชุมนุมชาวยุทธแล้ว ข้าว่าเมื่อถึงวันนั้นเจ้าจะกลายเป็นนางมารน้อยที่สังหารผู้คนได้โดยไม่กระพริบตาเลยทีเดียว!”
เย่ซิงเฉินถึงกับหัวเราะคิกคัดและตอบกลับไปว่า “คนเหล่านั้นล้วนสมควรตาย.. เพราะพวกมันบีบบังคับท่านอาจารย์ของข้า และท่านลุงหลิงให้ต้องแยกจากกัน!” ฉินตงเฉี่วยยิ้มออกมาพร้อมกับสำทับว่า“ถูกต้องแล้ว.. คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่สมควรถูกฆ่า!”
เวลานี้หญิงสาวทั้งสองต่างก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้วถึงสองเรื่องคือเรื่องของตระกูลฉิน และเรื่องของตระกูลหลิง..
หญิงงามทั้งสองคนต่างก็นั่งจิบชาต่อจนหมดกาในที่สุดเย่ซิงเฉินก็หันไปที่หน้าประตูบ้านพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“นี่เจ้าหุ่นไล่กา..เจ้าจะยืนอยู่แบบนั้น ไม่คิดที่จะเข้ามาข้างในหรือยังไง”
หลิงหยุนรีบพุ่งเข้ามาภายในบ้านทันทีพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าเรียกข้าว่าหุ่นไล่กาไม่ใช่รึ หุ่นไล่กาก็ต้องยืนนิ่งๆ หากขยับไปมาได้ ข้าก็กลายเป็นปีศาจน่ะสิ!”
เย่ซิงเฉินยิ้มกว้างพร้อมกับตอบไปว่า“หึ.. สำหรับข้าเจ้ามันร้ายยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก!”
หลิงหยุนยืดอกพร้อมตอบโต้กลับไปทันทีเช่นกัน“หึ.. ปีศาจอะไรจะมีใบหน้าหล่อเหลาเช่นนี้”
ฉินตงเฉี่วยนั่งมองคนทั้งคู่ต่อล้อต่อเถียงกันและสัมผัสได้ว่าความไม่ลงรอยกันก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปหมดแล้ว เวลานี้มีเพียงความรักใคร่ที่กำลังครุกรุ่นเท่านั้น..
หลังจากที่ทั้งสามคนนั่งดื่มชากันต่อสักครู่หลิงหยุนจึงได้ร้องตะโกนเรียกตี้เสี่ยวอู๋กับโม่วู๋เตาให้กลับมา จากนั้นทั้งห้าคนจึงได้ออกเดินทางไปโรงประมูลของตระกูลเย่..
……
เขตหลงหวังจวง..ชานเมืองด้านตะวันออกของปักกิ่ง..
โรงประมูลชาวยุทธของตระกูลเย่ถูกจัดขึ้นในที่แห่งนี้..
ในบัตรเชิญวีไอพีของหลิงหยุนนั้นระบุทั้งสถานที่และเวลาจัดงานไว้อย่างชัดเจน จึงสามารถหาได้ไม่ยากนัก อีกทั้งยังมีเย่ซิงเฉินที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีนั่งมาด้วย.. เย่ซิงเฉินอาศัยอยู่ในหุบเขาเล็กๆแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งอยู่ห่างจากเขตหลงหวังจวงนี้ไปเพียงแค่สิบกิโลเมตรเท่านั้น และขับรถเพียงแค่สิบนาทีก็ถึง ทั้งหมดจึงมาถึงที่นี่ราวหกโมงครึ่ง..
เมื่อสิบปีก่อนนั้น..หลงหวังจวงจัดเป็นเขตพื้นที่ชนบท แต่หลังจากที่มีการสร้างถนนวงแหวนที่หกขึ้นมา ทำให้หลงหวังจวงพัฒนาจากเขตชนบทมาเป็นเขตชานเมืองในทันที แต่ความเจริญรุ่งเรืองนั้นยังนับว่าห่างไกลถนนวงแหวนที่ห้ามากนัก..
และทันทีที่เข้าไปในเขตหลงหวังจวงหลิงหยุนก็สังเกตเห็นอาคารสูงโดดเด่นกว่าอาคารโดยรอบถึงสองเท่า อาคารแห่งนี้ตั้งตระหง่าน และภายนอกตกแต่งไว้อย่างหรูหราสวยงาม ดูราวกับโรงแรมห้าดาวในปักกิ่งก็ไม่ปาน..
“ตึกนั่นล่ะ..ขับรถเข้าไปได้เลย!”
เย่ซิงเฉินยกมือขึ้นชี้ไปทางอาคารที่สูงโดดเด่นพร้อมกับอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อาคารแห่งนี้เป็นของตระกูลเย่ภายในอาคารเป็นโรงแรมระดับห้าดาวด้วย แต่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าพัก ที่นี่จะรับเฉพาะชาวยุทธที่เข้ามาร่วมการประมูลเท่านั้น และผู้ที่วางเงินมัดจำหนึ่งร้อยล้านก็สามารถเข้าพัก และใช้บริการที่นี่ได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆอีก..”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้นรถของหลิงหยุนก็ได้แล่นมาถึงทางเข้าพอดี ระหว่างที่รถจอดอยู่นั้นหลิงหยุนก็เดินลงมาจากรถ
“ไม่ทราบนายท่านนำบัตรเชิญมาด้วยหรือไม่”
ทันทีที่หลิงหยุนก้าวเท้าลงจากรถชายร่างใหญ่สวมชุดสูทสีดำก็เดินตรงเข้ามาหาหลิงหยุน พร้อมกับขอบัตรเชิญจากเขาทันที จากที่หลิงหยุนสังเกตเห็นชายผู้นี้น่าจะอายุราวยี่สิบห้า หรือยี่สิบหกปีได้ และเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน คาดว่าคงจะเป็นนักรบตระกูลเย่ที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อนั่นเอง.. และที่หน้าประตูทางเข้าก็มีชายร่างใหญ่สวมชุดสูทสีดำเช่นนี้อยู่อีกราวเจ็ดถึงแปดคน..
หลิงหยุนพยักหน้าและส่งบัตรเชิญในมือให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูทั่วทั้งบริเวณ
อีกหนึ่งชั่วโมงการประมูลจึงจะเริ่มต้นขึ้นเวลานี้หลิงหยุนเห็นว่ามีทั้งหลวงจีน นักพรต แม่ชี มือกระบี่ และเหล่าชาวยุทธที่แต่งตัวแตกต่างกันไปอยู่มากมาย ซึ่งมีตั้งแต่ขั้นโฮ่วเทียน ขั้นเซียงเทียน ไปจนถึงขั้นพลังเหนือธรรมชาติ..
แต่ก็มีบางคนที่ดูเหมือนจะไม่มีวรยุทธเลยคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และไว้ใจได้ ซึ่งตระกูลใหญ่บางตระกูลส่งมาประมูลของจำเป็นบางอย่างนั่นเอง
ภายในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนยังสำรวจพบว่าภายในอาคารแห่งนี้ยังมีผู้คนอยู่ด้านในอีกราวห้าถึงหกร้อยคนเลยทีเดียว อีกทั้งในบริเวณใกล้ๆ นี้ยังมีรถที่กำลังขับมุ่งหน้ามาที่นี่อีกมากมายเช่นกัน..
หลิงหยุนได้แต่คิดว่าจริงดังที่เย่ซิงเฉินบอกจริงๆโรงประมูลที่จัดขึ้นโดยตระกูลเย่นั้น นับเป็นโรงประมูลที่ใหญ่โตที่สุด และจะมีเหล่าชาวยุทธมาร่วมประมูลนับพันคนเลยทีเดียว..
ผู้คนพากันมาร่วมประมูลมากมายถึงเพียงนี้..จะมีของที่นำออกมาประมูลมากมายเพียงใด และจะต้องใช้เวลาในการประมูลนานเพียงใด?
นั่นเพราะหากของที่จะนำออกประมูลมีน้อยราคาในการประมูลก็ย่อมจะสูงขึ้นเป็นธรรมดา..
แต่น่าแปลกที่ภายในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้นเขากลับไม่พบเสี่ยวเม่ยเม่ย และได้แต่คิดในใจว่า ‘ดูท่านางจะยังมาไม่ถึง..’
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ!”
เย่ซิงเฉินก้าวลงมาจากรถและเดินมายืนข้างหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น หลิงหยุนหันไปมองจึงพบว่าเวลานี้เย่ซิงเฉินได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเหมือนเช่นเคยไว้ เขาจึงตอบกลับไปว่า
“ไม่มีอะไร..”
“ที่นี่มีชาวยุทธมารวมตัวกันมากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
เย่ซิงเฉินตอบหลิงหยุนกลับไปว่า“ตระกูลเย่จะจัดงานประมูลสำหรับชาวยุทธขึ้นปีละสามครั้งเท่านั้น ครั้งที่สองจะจัดขึ้นในวันที่ 9 เดือน 9 ของทุกปี และเป็นครั้งที่เหล่าชาวยุทธที่มีชื่อเสียงจะมาร่วมประมูลมากที่สุด!”
เย่ซิงเฉินอธิบายให้หลิงหยุนฟังอย่างละเอียดเพราะรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกในการเข้าร่วมประมูลของหลิงหยุน..
“นายท่าน..ข้าน้อยจัดการลงทะเบียนให้เรียบร้อยแล้ว ขอเชิญนายท่านตามข้ามาทางนี้ได้เลย!”
หลังจากที่ชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำได้นำบัตรเชิญของหลิงหยุนไปลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วก็ได้ส่งบัตรเชิญคืนให้กับหลิงหยุน แล้วเดินนำทุกคนเข้าไปด้วยท่าทีเคารพนบนอบ..
เพราะที่นี่คือการประมูลที่จัดขึ้นสำหรับชาวยุทธจึงไม่มีการระบุชื่อไว้ในบัตรเชิญ แต่จะระบุเป็นหมายเลขแทน
หลิงหยุนมองไปทางกลุ่มคนที่ไม่มีบัตรและกำลังทำการวางเงินประกัน ก็ได้แต่คิดในใจว่าบัตรวีไอพีนี้ช่วยให้เขาลดขั้นตอนที่ยุ่งยากไปได้มากเลยทีเดียว..
ทางด้านตี้เสี่ยวอู๋ที่เพิ่งนำรถไปจอดเสร็จก็ได้เดินมารวมกลุ่มกับหลิงหยุน และคนอื่นๆ จากนั้นทั้งหมดก็ได้เดินนำชายร่างใหญ่ไปที่ล็อบบี้โรงแรม..
“นายท่าน..ยังเหลือเวลาอีกกว่าหนึ่งชั่วโมงที่การประมูลจะเริ่ม ไม่ทราบว่านายท่านต้องการจะขึ้นไปพักบนห้องก่อน หรือจะให้ข้าพาไปที่หอประมูลเลย”
“ไปพักบนห้องงั้นรึ!” ชายร่างใหญ่รีบอธิบายทันที“นายท่าน.. สำหรับแขกที่ถือบัตรเชิญวีไอพีมา ทางเราจะจัดห้องพักสำรองไว้ให้ทั้งหมดสามห้อง เป็นห้องเทียบเท่าโรงแรมระดับห้าดาว และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ”
แต่ถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะรู้สึกตกใจกับบริการที่ยอดเยี่ยมเขาก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับร้องบอกชายร่างใหญ่ว่า
“ไม่ดีกว่า..พาพวกเราไปที่หอประมูลเลย!”
หากเขามากับเย่ซิงเฉินลำพังเพียงสองคนเขาก็คงเลือกที่จะขึ้นไปพักผ่อนบนห้องพักก่อน แต่มีฉินตงเฉี่วยมาด้วยเช่นนี้ สู้ไปที่หอประมูลเลยจะดีกว่า..
อีกอย่าง..หลิงหยุนต้องการไปสำรวจผู้คนที่มาร่วมงาน และหอประมูลอย่างละเอียด รวมทั้งศึกษากฏระเบียบขั้นตอนการประมูลให้เข้าใจ ก่อนที่จะการประมูลจริงจะเริ่มต้นขึ้น..
“ขอเชิญนายท่านตามข้ามา..” ชายร่างใหญ่เดินนำหลิงหยุนพร้อมพรรคพวกขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสามสิบหกทันที..
“นายท่าน..ท่านเพียงแค่บอกหมายเลขที่ระบุไว้ในบัตรเชิญก็พอ เจ้าหน้าที่จะได้ให้บริการนายท่านได้อย่างถูกต้อง!”
“ขอบใจเจ้ามาก..”
หลังจากที่ประตูลิฟท์เปิดออกหลิงหยุน และคนอื่นๆต่างก็เดินออกมา แล้วตรงไปยังหอประมูลทันที
…..
“คาราวะนายท่าน..นายท่านคือผู้ที่ถือบัตรเชิญหมายเลข 9 ใช่หรือไม่”
ทันทีที่หลิงหยุนและทุกคนก้าวเดินออกมาจากลิฟท์เด็กสาวหน้าตาหมดจดงดงามอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปี ก็ได้เดินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส..
พนักงานต้อนรับภายในหอประมูลทุกคนต่างก็มีเครื่องมือสื่อสารติดตัวสำหรับใช้ติดต่อกันภายใน เพื่อให้สามารถบริการแขกเหรื่อที่มาได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับยื่นบัตรเชิญให้ดูในขณะเดียวกันก็ใช้จิตหยั่งรู้ของตนสำรวจดูเด็กสาวตรงหน้าไปด้วย และหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจเมื่อพบว่านางไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนเลยทีเดียว..
และสาเหตุที่หลิงหยุนตกใจนั้นก็ไม่ใช่เพราะเด็กสาวที่ชื่อเย่เสี่ยวชิงผู้นี้ แต่เป็นเพราะความน่ากลัวของตระกูลเย่ต่างหากเล่า ไม่เพียงคนเฝ้าหน้าประตูที่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน แม้แต่เด็กสาวที่ให้บริการด้านในยังอยู่ในขั้นเซียงเทียนด้วยเช่นกัน..
เช่นนี้แล้วจะมีผู้ใดกล้ามาก่อกวนที่นี่ได้..
“ข้าน้อยชื่อเย่เสี่ยวชิง!”
แม้ว่าจะมีป้ายชื่อติดไว้อย่างชัดเจนแต่อีกฝ่ายก็เอ่ยแนะนำตัวอย่างมีมารยาท “คืนนี้ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบดูแล และให้บริการแขกในห้องวีไอพี ยินดีที่ได้ให้บริการแก่นายท่าน..” เย่เสี่ยวชิงเป็นเด็กสาวที่พูดจาฉะฉานถึงแม้จะไม่ดูอ่อนน้อม แต่ก็ไม่ถ่อมตัวมากจนเกินไป และดูเหมือนว่าจะทำงานที่นี่มานาน และพบเจอคนใหญ่คนโตมากมายจนเคยชิน..
เย่เสี่ยวชิงผายมือเชื้อเชิญพร้อมกับเดินนำหลิงหยุนและทุกคนไปที่ห้องวีไอพี ระหว่างทางหลิงหยุนก็ได้สำรวจไปทั่วทั้งหอประมูล และได้แต่นึกชื่นชมในความเป็นมืออาชีพของตระกูลเย่อยู่เงียบๆ
หอประมูลแห่งนี้สูงถึงสิบเมตรภายในโอ่โถงใหญ่โต และมีลิฟท์อยู่รอบด้าน ภายในแบ่งออกเป็นสองชั้น ตรงกลางหอประมูลมีโต๊ะสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่
รอบๆหอประชุมนั้น นอกเหนือจากห้องวีไอพีแล้ว ก็มีเก้าอี้ตั้งเป็นแถวคล้ายกับที่นั่งชมบาสเก็ตบอลเรียงรายลดหลั่นกันไป และไม่ว่าจะนั่งอยู่มุมไหน ก็สามารถมองเห็นโต๊ะสี่เหลี่ยมด้านหน้าได้อย่างชัดเจน..
“นายท่าน..ห้องวีไอพีบนชั้นสองทั้งหมด จัดเตรียมไว้สำหรับแขกที่มีบัตรเชิญวีไอพีเท่านั้น ที่นี่เป็นห้องของนายท่าน!”
ทันทีที่หลิงหยุนก้าวเข้าไปในห้องเขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมา “โอ้.. ห้องนี้โอ่โถง นั่งสบายกว่าห้องรับแขกที่บ้านเสียอีก!”
ภายในห้องวีไอพีที่โอ่อ่าใหญ่โตนี้พื้นปูด้วยพรมหรูหรา พร้อมเก้าอี้โซฟาหนังชุดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อีกสามจอ
จากนั้นเย่เสี่ยวชิงจึงได้แนะนำวิธีการใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆภายในห้องให้ทุกคนได้รู้ เพื่อที่จะสามารถทำการประมูลได้อย่างถูกต้อง..
จากนั้นเย่เสี่ยวชิงก็ได้ชี้ไปที่เพดานบนศรีษะพร้อมกับอธิบายว่า“นายท่าน.. ภายในห้องวีไอพีได้ติดตั้งโปรเจ็คเตอร์ในรูปแบบโฮโลกราฟิค สิ่งของบนโต๊ะประมูลจะมาปรากฏตรงหน้าของทุกคนในห้องให้เห็นอย่างใกล้ชิด เพียงแต่จะไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือ หรือสัมผัสพลังชีวิตที่ปลดปล่อยออกมาได้..”
หลิงหยุนได้แต่อึ้งกับเทคโนโลยีบนโลกสมัยนี้..
หลังจากที่นำเครื่องดื่มมาให้กับทุกคนแล้วเย่เสี่ยวชิงก็ขอตัวออกไปด้านนอก เพื่อให้ทุกคนได้พูดคุยกันได้สะดวกใจ
ทันทีที่เย่เสี่ยวชิงเดินออกจากห้องไปโม่วู๋เตาก็ถึงกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
“เฮ้อ..ระบบการประมูลทันสมัยจนข้ารู้สึกปวดหัว แล้วก็เหนื่อยมาก..”
ส่วนหลิงหยุนนั้น..ทันทีที่เย่เสี่ยวชิงเดินออกไป เขาก็เรียกก้อนหินพลังชีวิตออกมาราวสิบกว่าก้อน และจัดการสร้างค่ายกลขึ้นเพื่อปิดกั้นจิตหยั่งรู้ของผู้คนภายนอกที่ต้องการจะสอดส่องเข้ามา