บทที่ 2612 จากไป / บทที่ 2613 จากไป 2

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2612 จากไป

ตี้เฮ่าตกใจ

“ท่านแม่!”

คงมิใช่ว่าท่านแม่ของเขาจะถูกฟ้าผ่ากระมัง?

ตี้ฝูอีรั้งเขาไว้

“อย่าตระหนก วรยุทธ์ของแม่เจ้ากำลังจะกลับคืนมาแล้ว!”

ดวงตาตี้เฮ่าเปล่งประกาย เงยหน้ามองขึ้นไปในอากาศเช่นกัน กู้ซีจิ่วหลับตาพริ้มอยู่ภายในโดมแสงสีขาว สีหน้าไม่มีวี่แววว่าทุกข์ทรมานเลย รอบกายกลับมีลำแสงอ่อนจางแผ่ออกมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ แสงสีขาวนั้นก็ระเบิดขึ้น กลายเป็นระลอกแสงกระจายออกไป กู้ซีจิ่วปรากฎกายขึ้น สวมชุดสีขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะพลิ้วลอย รอบกายมีแสงมงคลอยู่รางๆ เป็นชุดบรรดาศักดิ์ของผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นซ่างเสินได้สำเร็จ…

ดวงตาตี้เฮ่าส่องประกาย ดวงตาของประชาชนทั้งหมดก็ส่องประกายเช่นกัน

ตี้ฝูอีเพิ่งจะยกมุมปากแย้มรอยยิ้มนิดๆ จู่ๆ สีหน้าก็แปรเปลี่ยน เหินร่างขึ้นไป

“ระวัง!”

ไม่น่าเชื่อเลยว่าด้านหลังกู้ซีจิ่วจะปรากฏวังน้ำวนขนาดใหญ่หลุมหนึ่งขึ้น!

วังน้ำวนนั้นซ้อนทับกัน วงสีม่วงวงสีแดงวงสีเหลือง…ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเจ็ดสีสันผสมผสานกัน

และสีสันที่อยู่ใจกลางวังวนคือสีแดงสด ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

วังวนนี้ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่ให้ผู้ใดทันตั้งตัวเลย กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้หันกลับไปมองว่าด้านหลังคืออะไร ร่างก็ลอยเข้าไปแล้ว ทั้งร่างมุดเข้าไปด้านใน หายไปในชั่วพริบตา!

“ซีจิ่ว”

ตี้ฝูอีโผเข้าไป…

ระดับความเร็วของเขามิใช่ว่าไม่รวดเร็ว แต่วังวนนี้ปรากฏขึ้นเร็วเกินไป และหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แขนเสื้อของตี้ฝูอียังไม่ทันได้สัมผัสถูกขอบวังวน มันก็เลือนหายไปเสียงดังฟุ่บ

ตี้ฝูอีตะลึงงัน!

ตี้เฮ่าตกใจ

ฝูงชนงุนงง

สายลมโบกพลิ้ว เมฆาขาวล่องลอย แดนอสุรากลับเป็นปกติอย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าสตรีชุดขาวที่เพิ่งฟื้นฟูพลังยุทธ์กลับมาได้ กลับถูกวังวนสีรุ้งดูดกลืนแล้ว หายลับไปแล้ว

เวลานี้แปดราชองครักษ์แห่งตำหนักมารล้วนอยู่กันครบ หลายคนนี้ปานถูกสายฟ้าฟาด เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า

ตี้ฝูอียืนลอยค้างอยู่กลางอากาศ สายลมพัดเสื้อคลุมเขาปลิวไสว…

ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเฟิงหรูฮั่วกลับมาก่อน รีบสั่งการให้ไพร่พลชาวมาร ออกตามหาร่องรอยกู้ซีจิ่วให้ทั่วทันที นางสงสัยว่ากู้ซีจิ่วถูกพายุพัดไปตกอยู่ที่ใดแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องตามหานาง นางไปจากแดนอสุราแล้ว”

ในที่สุดตี้ฝูอีก็เปิดปากเอ่ย ในน้ำเสียงคล้ายมีลมหนาวพัดยะเยือก

ปีนั้นเนื่องจากทัณฑ์สวรรค์ นางจึงถูกวังน้ำวนนี้ดูดเข้ามาที่แดนอสุรา ตอนนี้แดนอสุรากลับเป็นปกติแล้ว นางก็นับว่าสำเร็จผลทำคุณไถ่โทษได้ ดังนั้นวังน้ำวนนี้จึงดูดนางกลับไปแล้ว!

ตี้เฮ่าก็เหาะมาถึงข้างกายของเขาแล้ว

“ท่านพ่อ เช่นนั้นพวกเราจะทำยังไง?”

ตี้ฝูอีสูดหายใจตื้นๆ เฮือกหนึ่ง

“พวกเราย่อมต้องจากไปด้วย!”

ปีนั้นตอนที่เขามายังแดนอสุราแห่งนี้ เสินจิ่วหลีได้บอกวิธีออกจากที่นี่ให้เขาแล้ว ค่อนข้างซับซ้อนและค่อนข้างยุ่งยาก ต้องตระเตรียมวัตถุดิบชุดหนึ่ง การรวบรวมวัตถุดิบเหล่านี้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปี

เขามาที่โลกนี้ได้ปีค่อนแล้ว และรวบรวมวัตถุดิบบางอย่างได้แล้ว แต่ยังมีวัตถุดิบสำคัญสามสี่อย่างที่ต้องรอให้แดนอสุราฟื้นคืนเป็นปกติแล้ว ถึงจะเจริญเติบโตขึ้นมาได้

และการรอให้สิ่งเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาก็ต้องรออีกอย่างน้อยหนึ่งปี…

เดิมทีเขาวางแผนไว้ว่าหลังจากแดนอสุรากลับมาเป็นปกติแล้ว จะพาลูกเมียท่องแดนอสุราแห่งนี้ พลางเก็บเกี่ยววัตถุดิบเหล่านั้นด้วย รอจนกู้ซีจิ่วคลอดลูกแล้ว เติบใหญ่ขึ้นสักหน่อย ค่อยพาพวกเขากลับสู่ดินแดนเบื้องบนด้วยวิธีนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อใช้วิธีนั้นแล้วจะสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง ระหว่างขั้นตอนยังมีอุปสรรคความยากลำบากอยู่ด้วย ช่วงที่นางตั้งครรภ์หรือลูกยังเล็กเกินไป ล้วนไม่ปลอดภัย…

เขาวางแผนไว้รอบคอบยิ่ง ถึงขั้นที่ในช่วงเวลานี้จะไปท่องเที่ยวที่ใดบ้างล้วนวางแผนไว้อย่างดีแล้ว กลับคาดไม่ถึงว่าแผนการจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วยิ่ง

————————————————————————————-

บทที่ 2613 จากไป 2

ไม่นึกเลยว่ากู้ซีจิ่วจะถูกวังน้ำวนพาจากไปรวดเร็วขนาดนี้!

เขาจำที่กู้ซีจิ่วเคยบอกไว้ได้ ตอนนั้นหลังจากนางถูกวังน้ำวนดูดเข้าไป ตอนอยู่ด้านในรู้สึกราวกับตกอยู่ในทะเลคมมีด ร่างกายเจ็บปวดราวกับถูกลงทัณฑ์แล่เนื้อเถือหนัง ดังนั้นหลังจากตกสู่แดนอสุราถึงได้สูญเสียความทรงจำสูญสิ้นวรยุทธ์…

จากคำพูดของนางสามารถสันนิษฐานได้ว่าวังวนสีรุ้งนี้คือวังน้ำวนที่ดุร้ายยิ่ง ครั้งนี้นางถูกดูดกลืนเข้าไปอีกแล้ว! จะยังได้รับความทรมานแบบเดียวกันอยู่หรือไม่? ที่สำคัญกว่านั้นคือนางตั้งครรภ์อยู่!

ไม่รู้ว่าจะรับไหวหรือไม่…

นิ้วมือที่อยู่ในแขนเสื้อของตี้ฝูอีพลันกำแน่น เขาสูดหายใจเบาๆ พลันเหินร่างขึ้น พุ่งทะยานไปยังหลังคาตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง!

เกิดอะไรขึ้น?

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พบอะไร?

ฝูงชนก็กำลังจะมุ่งหน้าไปดูเช่นกัน กลับมองเห็นหลังคาตำหนักหลังนั้นมีแสงสว่างวาบขึ้นมา กลางอากาศเหนือจุดนั้นปรากฏคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา

รูปโฉมหล่อเหลาเคร่งขรึม สวมอาภรณ์สีขาวที่แทบมองไม่เห็นสีสันเดิมแล้ว ค่อนข้างสกปรก ไม่ทราบเช่นกันว่าไม่ผลัดเปลี่ยนมานานแค่ไหนแล้ว แขนเสื้อข้างหนึ่งว่างเปล่า เหนือริมฝีปากก็มีตอหนวดอยู่ เห็นได้ชัดว่าถูกปล่อยปละละเลย

อวิ๋นเยียนหลี

เพียงแต่ตัวเขาในตอนนี้ไหนเลยจะยังหยิ่งผยองภาคภูมิเช่นในอดีตอยู่? ตัวคนเสมือนคุณลุงที่ตกอับคนหนึ่ง…

ชัดเจนนัก เขาเคยใช้วิชาเร้นกายเร้นอยู่บนหลังคาตำหนักนั้น มองดู ส่วนตี้ฝูอีก็ค้นพบเขานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เปิดโปง ปล่อยให้เขาชมไปเท่านั้น

ยามนี้กลับโผเข้าไปทำลายวิชาเร้นกายของเขา ทำให้เขาปรากฏตัวออกมา…

“ตี้ฝูอี เจ้าทำอะไร?”

น้ำเสียงของอวิ๋นเยียนหลีเยียบเย็น ถึงแม้จะถูกตี้ฝูอีบีบต้อนออกมา ก็ไม่ได้ตระหนกเลย เขาเพียงยิ้มเยาะ

“เจ้าคงมิได้นึกว่าข้าสร้างวังน้ำวนสีรุ้งนั้นออกมาดูดกลืนนางไปกระมัง?!”

“ให้ค่าตัวเองน้อยๆ หน่อย เจ้ายังไม่มีความสามารถขนาดนี้”

ตี้ฝูอีตัดบทเขา

อวิ๋นเยียนหลีถูกตอกหน้าจนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเยาะอีกครั้ง

“เช่นนั้นเจ้าลากข้าออกมาทำไม? อารมณ์ไม่ดีเลยเอาข้าออกมาระบายอารมณ์หรือไง?”

ตี้ฝูอีคร้านจะเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว พูดเข้าประเด็นทันที

“บอกวิธีออกจากแดนอสุราแห่งนี้อย่างรวดเร็วที่สุดให้ข้า! ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีวิธี ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์”

อวิ๋นเยียนหลีเงียบงัน

เขารู้วิธีจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็กลับไปกลับมาหลายครั้งแล้ว

แต่ตี้ฝูอีอาศัยสิ่งใดมาให้บอกเขากัน?!

ถึงแม้พ่อแม่ของเขาจะตายเพระแผนการของจู๋ตู๋ชิง แต่คู่เสินจิ่วหลีสามีภรรยาก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ดี

ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วตี้ฝูจะช่วยปลดปล่อยพ่อแม่ของเขา แต่ก็ยังห่างไกลจากหนี้แค้นที่ช่วงชิงบ้านเมืองไป…

ยิ่งไปกว่านั้นคือตี้ฝูอียังทำลายแขนข้างหนึ่งของเขาด้วย

เขาพลันเชิดหน้า ยิ้มหยัน

“ข้ารู้วิธีจริงๆ แต่อาศัยสิ่งใดให้ข้าบอกเจ้าเล่า?”

ตี้ฝูอีหรี่ตาลงนิดๆ

อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยต่อไป

“แน่นอน เจ้าจะฟันแขนข้าทิ้งอีกข้างก็ได้ หรือจะเอาชีวิตข้าไปเลยก็ได้ ข้าล้วนไม่ไยดี แค่ถ้าคิดจะให้ข้าบอกวิธีแก่เจ้าละก็ ไม่มีวัน!”

ชัดเจนยิ่งนัก ตอนนี้อวิ๋นเยียนหลีกลายเป็นกระดูกแข็งชิ้นหนึ่งที่ยากจะเคี้ยวได้แล้ว แถมยังไม่เกรงกลัวความตาย ถึงขั้นที่ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นด้วย

ต่อกรกับคนประเภทนี้ยากเย็นเป็นที่สุด คิดจะให้เขาตายง่ายดายนัก คิดจะให้ง้างปากเขากลับยากเย็นยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก

เดิมทีคุนเสวี่ยอี๋คิดจะเข้ามาช่วยพูดให้เขาสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นเขากล่าวเช่นนี้ ก็ชะงักฝีเท้าอีกครั้ง นวดขมับอย่างค่อนข้างปวดหัว

ฝูงชนที่มุงดูอยู่ยามนี้มองตี้ฝูอีเป็นผู้กอบกู้โลกไปแล้ว ส่วนอวิ๋นเยียนหลี…

คนส่วนใหญ่ยังคงมีความชิงชังในตัวเขาอยู่ ถึงอย่างไรเขาก็ควบคุมผังดาวเหล่านั้นมาหลายปี ผู้บริสุทธิ์ที่เขาพรากชีวิตไปก็มีอยู่ไม่น้อยเลย…

ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นอวิ๋นเยียนหลีประพฤติตนมิชอบเช่นนี้ แต่ละคนต่างเคืองขุ่น พากันเปิดปากด่าทอเขา

ด่าว่าเขาเป็นคนเนรคุณ ด่าว่าเขาไม่รู้ดีรู้ชั่วก็มี